เมื่อสิบปีก่อนพอดิบพอดี เจอร์เก้น คลิ้นซ์มันน์ได้ถือกำเหนิดมาเป็นบุนเดสเทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมันแบบฉุกเฉิน ที่เมื่อมองจากปัจจุบันย้อนกลับไป ถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ทำให้ทีมชาติเอยรมันได้ดาวดวงที่สี่ในวันนี้
มันเริ่มต้นจากเนื้อหาตอนหนึ่งของนิตยสารคิกเกอร์ที่มองดูแล้วเหมือนการเขียนใบสมัคร ‘เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ค.ของเจอร์เก้น คลิ้นซ์มันน์ กล่าวไว้ในหน้า 2 บางช่วงบางตอนดังนี้ “เราต้องการทีมชาติที่มีสิ่งรายล้อมแบบมืออาชีพ เริ่มต้นด้วยผู้จัดการทีม … มองดูแล้วอย่างเช่นการที่ทีมไม่มีนักจิตวิทยาการกีฬาทำงานด้วย ผมว่าเป็นสิ่งที่แย่มาก หรือมมาดูในประเด็นเรื่องความเร็ว ตรงนี้ในเยอรมันมีการเทรนกันเป็นพิเศษให้เห็นที่ไหนกันบ้าง? เราย่ำเท้าอยู่กับที่มา 20 ปีแล้ว” การวิเคราะห์อย่างไม่ไว้หน้าใครของคลิ้นซ์มันน์ หลังจากทีมชาติอินทรีเหล็กตกรอบแรกยูโร 2004 แบบน่าเอาปิ๊ปมาคุมหัวกลับบ้าน ตอนนั้นลึกๆแล้วเขามีอะไรอยู่ในหัวที่จะเข้ามาดำเนินการผ่าตัดถอนรากถอนโคนขนานใหญ่ในรังเดเอฟเบด้วยตนเอง ตามที่เขาได้กล่าวเอาไว้ที่อื่นไหม?
ตอนนั้น ทั้งแฟนๆ ตลอดจนเหล่าผู้สัดทัดกรณีมองอดีตกองหน้าระดับโลกวันเกือบ 40 ปี ตอนนั้นว่าเป็นบาปแน่ๆ เช่นเดียวกับ ‘คณะเสาะหาเทรนเนอร์’ ของเดเอฟเบที่ประกอบด้วย ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเวอร์, ประธานเดเอฟเบ แกร์ฮาร์ด ไมเออร์ ฟอร์เฟลเดอร์, เลขาธิการ ฮอร์สห์ อาร์ ชมิดห์ และนายใหญ่เดเอฟเอล แวร์เนอร์ ฮัคค์มันน์ ได้รับการปฏิเสธจากกุนซือดังๆ หลายต่อหลายคน หลังจากที่ รูดี้ โฟลเลอร์ ลาออกจากตำแหน่งทีมเชฟหลังล้มเหลวในบอลยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยยอดฝีมือดังกล่าวก็มี อ๊อตมาร์ ฮิทซ์เฟลด์ ที่เป็นทางเลือกระดับท๊อป, อ๊อตโต้ เรห์ฮากัล ผู้โชว์ฝีมือพากรีซคว้าแชมป์ยุโรปมาหมาดๆ, อาร์เซน เวนเกอร์ ทุกคนตอบปฏิเสธโดยพร้อมเพรียงกัน และทำให้เดเอฟเบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปไม่เป็นขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในวันที่ 21 ก.ค. คณะทำงานฯ ได้มีผลลัพท์ออกมา ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้เลย ‘คลิ้นซ์มันน์รับจะทำงาน’ ที่คิกเกอร์ขึ้นพาดหัวหน้า 1 ของผู้เลือกที่จะพำนักในแคลลิเฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ไร้ซึ่งประสบการณ์การเป็นเทรนเนอร์คุมทีมใดๆ ทั้งสิ้น จะมาเป็นเบอร์หนึ่งคุมทีมชาติอินทรีเหล็กชุดใหญ่ ที่ทำให้โมเดลนี้ถูกผู้คนในวงการลูกหนังมองด้วยสายตาที่กังขาอย่างมากไปทั่ว ที่ยังรวมถึง จุ๊ปป์ ไฮย์เกสผู้เป็นเทรนเนอร์ชาลเก้ 04 ตอนนั้นรวมอยู่ด้วย แต่เมื่อมองไปจากปัจจุบันนั้น คลิ้นซ์มันน์เริ่มต้นยุคใหม่ในการพัฒนาจากศูนย์สนิท ที่อีก 10 ปีต่อมา นำไปสู่การคว้าแชมป์ของทีมชาติเยอรมัน
ผู้มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับคลิ้นซ์มันน์คือ แบร์ตี้ โฟ้กทส์ อดีตบุนเดสเทรนเอร์ ผู้ไปพักร้อนที่แคลลิฟอร์เนีย ไปกินอาหารกับคลิ้นซ์มันน์ และเอ่ยปากชักชวนอดีตกัปตันทีมของเขา ถามว่าพร้อมไหมในการที่จะมาเป็นบุนเดสเทรนเนอร์ โฟ้กทส์นำการตอบสนองที่ดี ส่งข้อมูลผ่านมาให้เลขาธิการ ชมิดท์ ผู้ซึ่งจากนั้นได้ทำการติดต่อกับคลิ้นซ์มันน์อย่างเป็นทางการ การทำงานกับควมหวังคนใหม่ไม่ง่ายเลย ซึ่งผู้บริหารเดเอฟเบรู้สึกได้หลังจากนำเขามาทำหน้าที่เพียง 2-3 วัน น้องใหม่ในวงการจะต้องมีเทรนเนอร์ผู้มากประสบการณ์คอยประกบด้วย ที่ทุกคนในหมู่ผู้บริหารเดเอฟเบเห็นพ้องต้องกันว่าควรเป็น โฮลเกอร์ โอเชียค ผู้ช่วยของ ฟร้านซ์ เบคเค่นบราวเออร์ เมื่อคราวที่คว้าแชมป์โลกปี 1990 แต่แค่การพบกันหนแรกส่วนตัวของคลิ้นซ์มัน และโอเชียค ดีลนี้พังพาบไปด้วยความเห็นที่ต่างกันอย่างรุนแรง โอเชียคกล่าวให้สัมภาษณ์ตอนนั้นว่า “มันชัดเจนมากเลยว่า เราไม่สามารถทำงานร่วมกันได้แน่”
สำหรับผู้เฝ้าดูบางคนมอวว่านี่คือจุดเริ่มต้นของจุดจบ “การผจญภัยของคลิ้นซ์มันน์” รู้ดี อัสเซาเออร์ ผู้จัดการทั่วไปของชาลเก้ 04 ออกมายิ้นเยาะว่าเป็น “ครม. โจ๊ก” ที่ เคล้าส์ อัลลอฟส์ผู้จัดการเบรเมนที่สุขุมมากๆ ในตอนนั้นยังเอ่ยปากว่า “เรื่องนี้คงไปไม่รอดแน่ๆ” จากนั้น คลิ้นซ์มันน์เป็นผู้เลือก โยอัคคิม เลิฟ มาเป็นผู้ช่วยหักด่านของเดเอฟเบด้วยตัวเอง ที่คลิ้นส์มันน์บอกว่า ตอนเข้าเรียนหลักสูตรโปไลเซนต์ด้วยกในปี 2000 เลิฟเป็นคนแรกในคลาสที่สมารถอธิบายถึงการเล่นแบบแบ็กโฟร์ให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี จากเหตุผลที่ไม่ธรรมดาและดื้อรั้นเช่นนี้ ยังมีอีกหลายมาตรการที่คลิ้นซ์มันน์ออกแล้ว ทำให้ผู้คนหน้าเลิกลั่กตามไม่ทัน แต่คลิ้นซี่ผลักดันไอเดียของเขาได้เสมอ และตอนนี้ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้ว โอลิเวอร์ เบียร์ฮอฟ ผู้จัดการทีมก็ปักหลักทำงานและเป็นที่ยอมรับอย่างดีมาตลอด 10 ปี ตลอดจนนักจิตวิทยาการกีฬา ฮันซ์-ดีเตอร์ แฮร์มันน์ หรือทีมงาน เทรนเนอร์ฟิตเนสจากอเมริกา นำโดย มาร์ค แฟร์สเตเก้น และมาตอนนี้ โยกี้ เลิฟ อยู่ที่ริมฝีปากชาวเยอรมันทั้งประเทศ
การคว้าแชมป์โลกที่ริโอ เดอจาเนโร ทำให้เยอรมมันปลดล็อกที่ได้มาแค่เกือบถึงแชมป์ได้เสียที ฮีโร่รายใหม่ที่เกิดขึ้นได้รับการเฉลิมฉลองอย่างสุดเหวี่ยง แต่ในการนี้ ชื่อของ เจอร์เก้น คลิ้นซ์มันน์ ไม่สามารถถูกลืมไปได้เลย
(ต่อ)
[บทความอินทรีเหล็ก 2014-07-24] การเริ่มต้นที่ศูนย์เมื่อ 10 ปีก่อน (โดยเจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์)
มันเริ่มต้นจากเนื้อหาตอนหนึ่งของนิตยสารคิกเกอร์ที่มองดูแล้วเหมือนการเขียนใบสมัคร ‘เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ค.ของเจอร์เก้น คลิ้นซ์มันน์ กล่าวไว้ในหน้า 2 บางช่วงบางตอนดังนี้ “เราต้องการทีมชาติที่มีสิ่งรายล้อมแบบมืออาชีพ เริ่มต้นด้วยผู้จัดการทีม … มองดูแล้วอย่างเช่นการที่ทีมไม่มีนักจิตวิทยาการกีฬาทำงานด้วย ผมว่าเป็นสิ่งที่แย่มาก หรือมมาดูในประเด็นเรื่องความเร็ว ตรงนี้ในเยอรมันมีการเทรนกันเป็นพิเศษให้เห็นที่ไหนกันบ้าง? เราย่ำเท้าอยู่กับที่มา 20 ปีแล้ว” การวิเคราะห์อย่างไม่ไว้หน้าใครของคลิ้นซ์มันน์ หลังจากทีมชาติอินทรีเหล็กตกรอบแรกยูโร 2004 แบบน่าเอาปิ๊ปมาคุมหัวกลับบ้าน ตอนนั้นลึกๆแล้วเขามีอะไรอยู่ในหัวที่จะเข้ามาดำเนินการผ่าตัดถอนรากถอนโคนขนานใหญ่ในรังเดเอฟเบด้วยตนเอง ตามที่เขาได้กล่าวเอาไว้ที่อื่นไหม?
ตอนนั้น ทั้งแฟนๆ ตลอดจนเหล่าผู้สัดทัดกรณีมองอดีตกองหน้าระดับโลกวันเกือบ 40 ปี ตอนนั้นว่าเป็นบาปแน่ๆ เช่นเดียวกับ ‘คณะเสาะหาเทรนเนอร์’ ของเดเอฟเบที่ประกอบด้วย ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเวอร์, ประธานเดเอฟเบ แกร์ฮาร์ด ไมเออร์ ฟอร์เฟลเดอร์, เลขาธิการ ฮอร์สห์ อาร์ ชมิดห์ และนายใหญ่เดเอฟเอล แวร์เนอร์ ฮัคค์มันน์ ได้รับการปฏิเสธจากกุนซือดังๆ หลายต่อหลายคน หลังจากที่ รูดี้ โฟลเลอร์ ลาออกจากตำแหน่งทีมเชฟหลังล้มเหลวในบอลยูโร 2004 ที่โปรตุเกส โดยยอดฝีมือดังกล่าวก็มี อ๊อตมาร์ ฮิทซ์เฟลด์ ที่เป็นทางเลือกระดับท๊อป, อ๊อตโต้ เรห์ฮากัล ผู้โชว์ฝีมือพากรีซคว้าแชมป์ยุโรปมาหมาดๆ, อาร์เซน เวนเกอร์ ทุกคนตอบปฏิเสธโดยพร้อมเพรียงกัน และทำให้เดเอฟเบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปไม่เป็นขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในวันที่ 21 ก.ค. คณะทำงานฯ ได้มีผลลัพท์ออกมา ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้เลย ‘คลิ้นซ์มันน์รับจะทำงาน’ ที่คิกเกอร์ขึ้นพาดหัวหน้า 1 ของผู้เลือกที่จะพำนักในแคลลิเฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ไร้ซึ่งประสบการณ์การเป็นเทรนเนอร์คุมทีมใดๆ ทั้งสิ้น จะมาเป็นเบอร์หนึ่งคุมทีมชาติอินทรีเหล็กชุดใหญ่ ที่ทำให้โมเดลนี้ถูกผู้คนในวงการลูกหนังมองด้วยสายตาที่กังขาอย่างมากไปทั่ว ที่ยังรวมถึง จุ๊ปป์ ไฮย์เกสผู้เป็นเทรนเนอร์ชาลเก้ 04 ตอนนั้นรวมอยู่ด้วย แต่เมื่อมองไปจากปัจจุบันนั้น คลิ้นซ์มันน์เริ่มต้นยุคใหม่ในการพัฒนาจากศูนย์สนิท ที่อีก 10 ปีต่อมา นำไปสู่การคว้าแชมป์ของทีมชาติเยอรมัน
ผู้มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับคลิ้นซ์มันน์คือ แบร์ตี้ โฟ้กทส์ อดีตบุนเดสเทรนเอร์ ผู้ไปพักร้อนที่แคลลิฟอร์เนีย ไปกินอาหารกับคลิ้นซ์มันน์ และเอ่ยปากชักชวนอดีตกัปตันทีมของเขา ถามว่าพร้อมไหมในการที่จะมาเป็นบุนเดสเทรนเนอร์ โฟ้กทส์นำการตอบสนองที่ดี ส่งข้อมูลผ่านมาให้เลขาธิการ ชมิดท์ ผู้ซึ่งจากนั้นได้ทำการติดต่อกับคลิ้นซ์มันน์อย่างเป็นทางการ การทำงานกับควมหวังคนใหม่ไม่ง่ายเลย ซึ่งผู้บริหารเดเอฟเบรู้สึกได้หลังจากนำเขามาทำหน้าที่เพียง 2-3 วัน น้องใหม่ในวงการจะต้องมีเทรนเนอร์ผู้มากประสบการณ์คอยประกบด้วย ที่ทุกคนในหมู่ผู้บริหารเดเอฟเบเห็นพ้องต้องกันว่าควรเป็น โฮลเกอร์ โอเชียค ผู้ช่วยของ ฟร้านซ์ เบคเค่นบราวเออร์ เมื่อคราวที่คว้าแชมป์โลกปี 1990 แต่แค่การพบกันหนแรกส่วนตัวของคลิ้นซ์มัน และโอเชียค ดีลนี้พังพาบไปด้วยความเห็นที่ต่างกันอย่างรุนแรง โอเชียคกล่าวให้สัมภาษณ์ตอนนั้นว่า “มันชัดเจนมากเลยว่า เราไม่สามารถทำงานร่วมกันได้แน่”
สำหรับผู้เฝ้าดูบางคนมอวว่านี่คือจุดเริ่มต้นของจุดจบ “การผจญภัยของคลิ้นซ์มันน์” รู้ดี อัสเซาเออร์ ผู้จัดการทั่วไปของชาลเก้ 04 ออกมายิ้นเยาะว่าเป็น “ครม. โจ๊ก” ที่ เคล้าส์ อัลลอฟส์ผู้จัดการเบรเมนที่สุขุมมากๆ ในตอนนั้นยังเอ่ยปากว่า “เรื่องนี้คงไปไม่รอดแน่ๆ” จากนั้น คลิ้นซ์มันน์เป็นผู้เลือก โยอัคคิม เลิฟ มาเป็นผู้ช่วยหักด่านของเดเอฟเบด้วยตัวเอง ที่คลิ้นส์มันน์บอกว่า ตอนเข้าเรียนหลักสูตรโปไลเซนต์ด้วยกในปี 2000 เลิฟเป็นคนแรกในคลาสที่สมารถอธิบายถึงการเล่นแบบแบ็กโฟร์ให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี จากเหตุผลที่ไม่ธรรมดาและดื้อรั้นเช่นนี้ ยังมีอีกหลายมาตรการที่คลิ้นซ์มันน์ออกแล้ว ทำให้ผู้คนหน้าเลิกลั่กตามไม่ทัน แต่คลิ้นซี่ผลักดันไอเดียของเขาได้เสมอ และตอนนี้ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้ว โอลิเวอร์ เบียร์ฮอฟ ผู้จัดการทีมก็ปักหลักทำงานและเป็นที่ยอมรับอย่างดีมาตลอด 10 ปี ตลอดจนนักจิตวิทยาการกีฬา ฮันซ์-ดีเตอร์ แฮร์มันน์ หรือทีมงาน เทรนเนอร์ฟิตเนสจากอเมริกา นำโดย มาร์ค แฟร์สเตเก้น และมาตอนนี้ โยกี้ เลิฟ อยู่ที่ริมฝีปากชาวเยอรมันทั้งประเทศ
การคว้าแชมป์โลกที่ริโอ เดอจาเนโร ทำให้เยอรมมันปลดล็อกที่ได้มาแค่เกือบถึงแชมป์ได้เสียที ฮีโร่รายใหม่ที่เกิดขึ้นได้รับการเฉลิมฉลองอย่างสุดเหวี่ยง แต่ในการนี้ ชื่อของ เจอร์เก้น คลิ้นซ์มันน์ ไม่สามารถถูกลืมไปได้เลย
(ต่อ)