ไม่ใช่การค้นพบใหม่ๆที่ว่าดนตรีนั้นมีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ เพราะท่วงทำนองของดนตรีนั้นคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่หล่อหลอมและหล่อเลี้ยงจิตใจของมนุษย์เรากันมาช้านาน ดังเช่นท่อนหนึ่งของเพลงลูกทุ่งยอดฮิตที่ร้องว่า "ดนตรีนั้นคือชีวิต" และคนเราก็มักจะปล่อยอารมณ์ให้คล้อยตามไปโดยไม่รู้ตัวไปกับจังหวะหนักเบาของดนตรี ไม่ว่าจะเป็น สุข เศร้า เหงา ทุกข์ ตื่นเต้นระคนหวาดระแวง แล้วแต่เมโลดี้จะนำพา
ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็มีมิติอันหลายหลายทางดนตรีจากมุมมองของเราที่ไม่ได้มีความรู้ทางด้านตัวโน๊ต หรือทำงานเกี่ยวกับแวดวงดนตรี แต่ได้ถูกสอนรวมถึงสังเกตมาซักระยะ และได้ลองทดสอบกับตัวเองดูจึงพบว่ามีสิ่งที่น่าสนใจอันหลากหลายของเสียงดนตรีที่อยากจะแชร์ให้อ่านกันค่ะ

เริ่มแรกเลยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราเคยเรียน Discussion อยู่กับเพื่อนของเราคนหนึ่งชื่อย่อว่า D ซึ่งปกติแล้วในห้องเรียนจะไม่มีเสียงรบกวนอื่นใดเลยนอกจากเสียงของเรากับ D ที่ถกประเด็นเกี่ยวกับ issues หรือ case studies ต่างๆที่ของคลาส Discussion อย่างเอาเป็นเอาตายราวกับว่าเป็นหัวข้อที่ Urgent ที่สุดในโลก มีอยู่วันหนึ่งที่เราไปเรียนตามปกติ เราได้ยินเสียงเพลงคลาสสิกจากเครื่องโทรศัพท์มือถือของ D ที่หรี่เสียงไว้ค่อนข้างเบาวางไว้บนโต๊ะหน้าห้องเรียน ถึงเสียงจะไม่ดัง แต่ก็ยังถือว่าพอจะได้ยินอยู่บ้าง เราก็คิดว่าเดี้ยว D คงจะเดินไปปิด แต่ก็ไม่.. อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เป็นเสียงที่น่ารบกวนอะไร แต่มันก็อดมีคำถามไม่ได้กับเสียงเพลงคลาสสิกที่ได้ยินตลอดเวลาจากโทรศัพท์มือถือที่ดูเหมือนจะเปิดฟังทิ้งไว้แล้วก็ลืมปิด หรือขี้เกียจเดินไปปิด D ในตอนนั้นก็(สักแต่) สอนราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเพลงนั้นเลย
และวันหนึ่งเราก็ได้รู้คำตอบแกมแซวเล่นว่า "รู้มั้ยว่าผลผลลิตของน้ำนมวัวจะเพิ่มขึ้น และวัวก็ยังมี IQ ที่สูงขึ้น หลังจากที่วัวได้ฟังเพลงคลาสสิกอย่างสม่ำเสมอ ที่ผมเปิดเพลงให้เมย์ฟังตอนเรียน เมย์จะได้ฉลาดขึ้นไง"
5555
จาก Clip นี้ ถึงวัตถุประสงค์ในการทำคือให้เพลงคลาสสิกได้เข้าถึงกลุ่มคนที่มากขึ้น
โดยใช้ Story ของวัวเป็นตัวล่อ แต่ก็แสดงให้เราเห็นว่าน้องวัวทั้งหลายนั้น
ฟังเพลงคลาสสิกแล้วส่งผลให้มีน้ำนมที่มากขึ้นจริงๆค่ะ > _ <
และนั่นทำให้เราระลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนนั้นเคยมีกระแสแนะนำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ และทารกน้อยที่พึ่งเกิดทั้งหลายฟังเพลงคลาสสิก เนื่องจากเชื่อว่าจะสามารถเสริมสร้างอัจฉริยะภาพในตัวของเด็กให้สูงขึ้นได้ เราเลยเริ่มตระหนักว่ามันคงไม่ใช่เพียงแต่กระแสอย่างเดียวซะล่ะมั้ง แต่คงเป็นการนำมาทดลองแล้ววัดผลได้ว่ากลุ่มตัวอย่างที่ฟังเพลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ฟังเพลง มีพฤติกรรมการเรียนรู้ หรือพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
จะว่าไปแล้วเราลืมไปได้ยังไงนะว่าในสมัยที่เราเด็กๆ เราเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าต้นไม้ชอบฟังเพลง และในตอนนั้นเราได้ลองปลูกต้นหอมในถ้วยไอศครีมเล็กๆพร้อมกับเพื่อนๆในห้องที่โรงเรียน ในช่วงที่มีการพักเบรกหรือโรงเรียนเลิก เราก็จะแวะมาร้องเพลงให้ต้นหอมของเราฟังอยู่บ่อยๆ ผลปรากฏว่าต้นหอมของเราโตเร็วกว่าต้นหอมของเพื่อนๆอยู่หลายเท่าตัว
มาถึงตรงนี้แล้วคงต้องบอกว่า นอกจากมนุษย์ ดนตรีนั้นมีผลต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกด้วยเนอะ
แล้วมันมีบทบาทไหนบ้างที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเรานอกเหนือจากที่กล่าวมาบ้างล่ะ?
♫ ง่ายๆเลยลองสังเกตตัวเราในเวลาขับรถกันดู ถ้าสมมุติว่าเราเปิดเพลงเร็ว เรามีแนวโน้มที่จะขับรถเร็วขึ้นกว่าปกติ หรือในทางกลับกันถ้าเราเปิดเพลงช้าๆ สบายๆ เราก็จะขับรถช้าลง เวลามีใครมาปาดก็ไม่ค่อยโกรธ
♫ ถ้าเป็นในแง่ธุรกิจที่เราสังเกตได้ง่ายที่สุดจากตัวเราเองและคนรอบตัวคือช่วงเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Christmas ปีใหม่ Valentines ในห้างร้านล้วนแล้วแต่เปิดเพลงในทำนองที่สดใส ให้ความรู้กระปรี้กระเปร่า เราก็ดูจะจับจ่ายใช้สอยกันอย่างมือเติบมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงลดกระหน่ำ Mid Year Sale เพลงที่เปิดส่วนใหญ่ก็ล้วนสนับสนุนให้เกิดความรู้สึกอยากหยิบ อยากลองสินค้าทุกชิ้นที่สนใจมากกว่าปกติ บางทีกว่าจะได้สติก็ตอนที่เดินออกมาถึงลานจอดรถพร้อมถุง Shopping พะรุงพะรังกันนั่นแหละค่ะ(เพราะไม่ได้ยินเสียงเพลงแล้ว)
นอกจากนี้ปัจจุปันนี้มี Music for shopping สำหรับร้านค้าออนไลน์ของ ITunes ให้ดาวโหลด์กันอีกด้วย
♫ เสียงเพลงรอสายในโทรศัพท์ระหว่างติดต่อประสานงานตามองกรณ์ชั้นนำต่างๆเพื่อให้ลูกค้าจดจำในแบรนด์ก็ใช่ ถ้าได้ยินอีกจากที่อื่นก็ก่อให้เกิดการ Recalled นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้รอสายรู้สึกได้ว่าการรอคอยนั้นไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก
♫ เสียงเพลงช่วยกระตุ้นต่อมการรับรส เช่นได้ยินเสียงเมโลดี้ของไอศครีม Wall แล้วอยากกินไอศครีมขึ้นมาทันที
♫ ในละครหรือภาพยนต์ เช่นเวลาที่ตัวละครเริ่มเข้าโหมดเศร้า หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ถ้าสังเกตก็จะเห็นได้ว่าทำนองเพลงอันเศร้าสร้อยก็จะแทรกเข้ามาในทันทีเพื่อ Build อารมณ์ของคนดูให้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละครมากขึ้น เคยร้องไห้ในโรงหนังกันใช่มั้ยล่ะคะ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งมาจากเพลงที่เปิดขึ้นในช่วงนั้นมันช่างขมขึ่นชวนให้สงสารในชะตากรรมของเขาหรือเธอกันซะเหลือเกิน
ไม่มีตัวอย่างที่ไหนเห็นภาพได้มากที่สุดเท่านี้อีกแล้ว
และจากประสบการณ์ส่วนตัวของเราเองที่ลองเปิดเพลงบรรเลงที่ขึ้นชื่อว่าช่วยโฟกัสในการทำงานระหว่างทำงานมา 3-4 เดือน และเปิดอย่างสม่ำเสมอจริงจังทุกวันในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ เราพบว่าตัวเราเองมีสมาธิที่ยาวนานขึ้น ไม่หลุดโฟกัส และทำงานได้มีประสิทธิผลที่มากขึ้นตามไปด้วย โดยวัดจากข้อผิดพลาดในการทำงานลดน้อยลง ไม่หงุดหงิดระหว่างวัน ทักษะในการรับฟัง และสื่อสารกับผู้คนได้ดีขึ้น ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และยอดขายที่ Stable ขึ้นเรื่อยๆ(แน่นอนว่าต้องมีปัจจัยอื่นเป็นส่วนประกอปอีก แต่เรากล้าพูดจริงๆว่าเพลงบรรเลงเหล่านี้ช่วยเราได้มาก)
เทคนิคง่ายๆของเราคือเข้า YouTube แล้วค้นคำเหล่านี้ในช่องค้นหาค่ะ
• Music for studying
• Music for studying concentration
• Music for studying concentration and focus
• Music for brain power
โดยเลือกประเภทให้เข้ากับจุดประสงค์ที่ต้องการในช่วงนั้นว่าต้องการ Focus อะไร ถ้าอ่านหนังสือหรือต้องทำความเข้าใจกับเรื่องใหม่ๆก็จะเป็น Music for study แต่ถ้าเป็นวันสบายๆแล้วนัดเพื่อนออกไปทานข้าวข้างนอกกันก็จะเปิด Music for relaxation and concentration ในขณะที่แต่งหน้าไปด้วย 555 (ขอลอง Applied หมดด)
ข้อดีของการเปิดฟังใน YouTube คือ
1. เพียงพิมพ์ชื่อประเภทเครื่องดนตรีชนิดต่างๆตามหลังก็จะเจอบางคลิปที่มีเพลงที่เราต้องการฟังในรูปแบบของเครื่องดนตรีที่เราชอบได้ด้วย
2. แต่ล่ะคลิปเพลงจะยาวมาก 1-2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปกดเปลี่ยนเพลงบ่อยๆ
3. หรือเพลงไหนที่ฟังแล้วรู้สึกไม่โอก็กดเปลี่ยนได้ทันทีแค่ปลายนิ้ว
หรือบางทีอยากดิบหน่อย ขอฟังเพลงคลาสสิกแบบ Original ดั้งเดิมของแท้ เราก็พิมพ์ชื่อนักดนตรีเข้าไปเลยอย่างเช่น
• Chopang music
• Beethoven music
ประมาณนี้ค่ะ หวังว่าคงเป็นสิ่งที่มีประโยนช์กับเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อย เราเชื่อว่ายังมีตัวอย่างอีกมากมายอีกหลายรูปแบบเกี่ยวกับการใช้เสียงดนตรีในการช่วยในการเปลี่ยนพฤติกรรม ใครเคยลองทำแบบไหน อย่างไร หรือนึกขึ้นมาได้มาแชร์กันได้นะคะ ^_____^
รู้ทันดนตรี: ดนตรีมีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์อย่างไรบ้าง?
ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็มีมิติอันหลายหลายทางดนตรีจากมุมมองของเราที่ไม่ได้มีความรู้ทางด้านตัวโน๊ต หรือทำงานเกี่ยวกับแวดวงดนตรี แต่ได้ถูกสอนรวมถึงสังเกตมาซักระยะ และได้ลองทดสอบกับตัวเองดูจึงพบว่ามีสิ่งที่น่าสนใจอันหลากหลายของเสียงดนตรีที่อยากจะแชร์ให้อ่านกันค่ะ
เริ่มแรกเลยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราเคยเรียน Discussion อยู่กับเพื่อนของเราคนหนึ่งชื่อย่อว่า D ซึ่งปกติแล้วในห้องเรียนจะไม่มีเสียงรบกวนอื่นใดเลยนอกจากเสียงของเรากับ D ที่ถกประเด็นเกี่ยวกับ issues หรือ case studies ต่างๆที่ของคลาส Discussion อย่างเอาเป็นเอาตายราวกับว่าเป็นหัวข้อที่ Urgent ที่สุดในโลก มีอยู่วันหนึ่งที่เราไปเรียนตามปกติ เราได้ยินเสียงเพลงคลาสสิกจากเครื่องโทรศัพท์มือถือของ D ที่หรี่เสียงไว้ค่อนข้างเบาวางไว้บนโต๊ะหน้าห้องเรียน ถึงเสียงจะไม่ดัง แต่ก็ยังถือว่าพอจะได้ยินอยู่บ้าง เราก็คิดว่าเดี้ยว D คงจะเดินไปปิด แต่ก็ไม่.. อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เป็นเสียงที่น่ารบกวนอะไร แต่มันก็อดมีคำถามไม่ได้กับเสียงเพลงคลาสสิกที่ได้ยินตลอดเวลาจากโทรศัพท์มือถือที่ดูเหมือนจะเปิดฟังทิ้งไว้แล้วก็ลืมปิด หรือขี้เกียจเดินไปปิด D ในตอนนั้นก็(สักแต่) สอนราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเพลงนั้นเลย
และวันหนึ่งเราก็ได้รู้คำตอบแกมแซวเล่นว่า "รู้มั้ยว่าผลผลลิตของน้ำนมวัวจะเพิ่มขึ้น และวัวก็ยังมี IQ ที่สูงขึ้น หลังจากที่วัวได้ฟังเพลงคลาสสิกอย่างสม่ำเสมอ ที่ผมเปิดเพลงให้เมย์ฟังตอนเรียน เมย์จะได้ฉลาดขึ้นไง"
5555
โดยใช้ Story ของวัวเป็นตัวล่อ แต่ก็แสดงให้เราเห็นว่าน้องวัวทั้งหลายนั้น
ฟังเพลงคลาสสิกแล้วส่งผลให้มีน้ำนมที่มากขึ้นจริงๆค่ะ > _ <
และนั่นทำให้เราระลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนนั้นเคยมีกระแสแนะนำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ และทารกน้อยที่พึ่งเกิดทั้งหลายฟังเพลงคลาสสิก เนื่องจากเชื่อว่าจะสามารถเสริมสร้างอัจฉริยะภาพในตัวของเด็กให้สูงขึ้นได้ เราเลยเริ่มตระหนักว่ามันคงไม่ใช่เพียงแต่กระแสอย่างเดียวซะล่ะมั้ง แต่คงเป็นการนำมาทดลองแล้ววัดผลได้ว่ากลุ่มตัวอย่างที่ฟังเพลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ฟังเพลง มีพฤติกรรมการเรียนรู้ หรือพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
จะว่าไปแล้วเราลืมไปได้ยังไงนะว่าในสมัยที่เราเด็กๆ เราเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าต้นไม้ชอบฟังเพลง และในตอนนั้นเราได้ลองปลูกต้นหอมในถ้วยไอศครีมเล็กๆพร้อมกับเพื่อนๆในห้องที่โรงเรียน ในช่วงที่มีการพักเบรกหรือโรงเรียนเลิก เราก็จะแวะมาร้องเพลงให้ต้นหอมของเราฟังอยู่บ่อยๆ ผลปรากฏว่าต้นหอมของเราโตเร็วกว่าต้นหอมของเพื่อนๆอยู่หลายเท่าตัว
มาถึงตรงนี้แล้วคงต้องบอกว่า นอกจากมนุษย์ ดนตรีนั้นมีผลต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีกด้วยเนอะ
แล้วมันมีบทบาทไหนบ้างที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเรานอกเหนือจากที่กล่าวมาบ้างล่ะ?
♫ ง่ายๆเลยลองสังเกตตัวเราในเวลาขับรถกันดู ถ้าสมมุติว่าเราเปิดเพลงเร็ว เรามีแนวโน้มที่จะขับรถเร็วขึ้นกว่าปกติ หรือในทางกลับกันถ้าเราเปิดเพลงช้าๆ สบายๆ เราก็จะขับรถช้าลง เวลามีใครมาปาดก็ไม่ค่อยโกรธ
♫ ถ้าเป็นในแง่ธุรกิจที่เราสังเกตได้ง่ายที่สุดจากตัวเราเองและคนรอบตัวคือช่วงเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Christmas ปีใหม่ Valentines ในห้างร้านล้วนแล้วแต่เปิดเพลงในทำนองที่สดใส ให้ความรู้กระปรี้กระเปร่า เราก็ดูจะจับจ่ายใช้สอยกันอย่างมือเติบมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงลดกระหน่ำ Mid Year Sale เพลงที่เปิดส่วนใหญ่ก็ล้วนสนับสนุนให้เกิดความรู้สึกอยากหยิบ อยากลองสินค้าทุกชิ้นที่สนใจมากกว่าปกติ บางทีกว่าจะได้สติก็ตอนที่เดินออกมาถึงลานจอดรถพร้อมถุง Shopping พะรุงพะรังกันนั่นแหละค่ะ(เพราะไม่ได้ยินเสียงเพลงแล้ว)
นอกจากนี้ปัจจุปันนี้มี Music for shopping สำหรับร้านค้าออนไลน์ของ ITunes ให้ดาวโหลด์กันอีกด้วย
♫ เสียงเพลงรอสายในโทรศัพท์ระหว่างติดต่อประสานงานตามองกรณ์ชั้นนำต่างๆเพื่อให้ลูกค้าจดจำในแบรนด์ก็ใช่ ถ้าได้ยินอีกจากที่อื่นก็ก่อให้เกิดการ Recalled นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้รอสายรู้สึกได้ว่าการรอคอยนั้นไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก
♫ เสียงเพลงช่วยกระตุ้นต่อมการรับรส เช่นได้ยินเสียงเมโลดี้ของไอศครีม Wall แล้วอยากกินไอศครีมขึ้นมาทันที
♫ ในละครหรือภาพยนต์ เช่นเวลาที่ตัวละครเริ่มเข้าโหมดเศร้า หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ถ้าสังเกตก็จะเห็นได้ว่าทำนองเพลงอันเศร้าสร้อยก็จะแทรกเข้ามาในทันทีเพื่อ Build อารมณ์ของคนดูให้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละครมากขึ้น เคยร้องไห้ในโรงหนังกันใช่มั้ยล่ะคะ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งมาจากเพลงที่เปิดขึ้นในช่วงนั้นมันช่างขมขึ่นชวนให้สงสารในชะตากรรมของเขาหรือเธอกันซะเหลือเกิน
และจากประสบการณ์ส่วนตัวของเราเองที่ลองเปิดเพลงบรรเลงที่ขึ้นชื่อว่าช่วยโฟกัสในการทำงานระหว่างทำงานมา 3-4 เดือน และเปิดอย่างสม่ำเสมอจริงจังทุกวันในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ เราพบว่าตัวเราเองมีสมาธิที่ยาวนานขึ้น ไม่หลุดโฟกัส และทำงานได้มีประสิทธิผลที่มากขึ้นตามไปด้วย โดยวัดจากข้อผิดพลาดในการทำงานลดน้อยลง ไม่หงุดหงิดระหว่างวัน ทักษะในการรับฟัง และสื่อสารกับผู้คนได้ดีขึ้น ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และยอดขายที่ Stable ขึ้นเรื่อยๆ(แน่นอนว่าต้องมีปัจจัยอื่นเป็นส่วนประกอปอีก แต่เรากล้าพูดจริงๆว่าเพลงบรรเลงเหล่านี้ช่วยเราได้มาก)
เทคนิคง่ายๆของเราคือเข้า YouTube แล้วค้นคำเหล่านี้ในช่องค้นหาค่ะ
• Music for studying
• Music for studying concentration
• Music for studying concentration and focus
• Music for brain power
โดยเลือกประเภทให้เข้ากับจุดประสงค์ที่ต้องการในช่วงนั้นว่าต้องการ Focus อะไร ถ้าอ่านหนังสือหรือต้องทำความเข้าใจกับเรื่องใหม่ๆก็จะเป็น Music for study แต่ถ้าเป็นวันสบายๆแล้วนัดเพื่อนออกไปทานข้าวข้างนอกกันก็จะเปิด Music for relaxation and concentration ในขณะที่แต่งหน้าไปด้วย 555 (ขอลอง Applied หมดด)
ข้อดีของการเปิดฟังใน YouTube คือ
1. เพียงพิมพ์ชื่อประเภทเครื่องดนตรีชนิดต่างๆตามหลังก็จะเจอบางคลิปที่มีเพลงที่เราต้องการฟังในรูปแบบของเครื่องดนตรีที่เราชอบได้ด้วย
2. แต่ล่ะคลิปเพลงจะยาวมาก 1-2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปกดเปลี่ยนเพลงบ่อยๆ
3. หรือเพลงไหนที่ฟังแล้วรู้สึกไม่โอก็กดเปลี่ยนได้ทันทีแค่ปลายนิ้ว
หรือบางทีอยากดิบหน่อย ขอฟังเพลงคลาสสิกแบบ Original ดั้งเดิมของแท้ เราก็พิมพ์ชื่อนักดนตรีเข้าไปเลยอย่างเช่น
• Chopang music
• Beethoven music
ประมาณนี้ค่ะ หวังว่าคงเป็นสิ่งที่มีประโยนช์กับเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อย เราเชื่อว่ายังมีตัวอย่างอีกมากมายอีกหลายรูปแบบเกี่ยวกับการใช้เสียงดนตรีในการช่วยในการเปลี่ยนพฤติกรรม ใครเคยลองทำแบบไหน อย่างไร หรือนึกขึ้นมาได้มาแชร์กันได้นะคะ ^_____^