เพราะคำสอนนั้นมาจากความจริงของธรรมชาติ ที่เราทุกคนก็สามารถจะ เข้าใจ และเห็นแจ้งได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครจะไปคัดง้างกับความจริงได้
อย่างเช่น ที่สอนว่า เมื่อจิตเกิดกิเลส จิตก็จะเกิดความทุกข์ทันที แต่เมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะไม่มีทุกข์ทันที เมื่อจิตไม่มีทุกข์ ก็สมมติเรียกว่า นิพพาน ที่หมายถึง ความสงบเย็น
หรือ อย่างเช่น ธรรมชาติจะมีกฎสูงสุดอยู่ที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น" (ข้อนี้ใครค้านบ้าง?) และจิตหรือวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง คือต้องอาศัยร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่และสิ่งภายนอก (อายตนะภายนอก) เพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น (ตามหลักที่ว่า เมื่ออายตนะภายนอกมาถึงกันเข้ากับอายตนะภายในที่ตรงกัน วิญญาณทางอายตนะภายในนั้นก็จะเกิดขึ้นทันที)
และเมื่อมาพิจารณาในทางกลับกัน เมื่อไม่มีเหตุหรือปัจจัย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็จะไม่มี หรือถึงมีอยู่แล้วก็จะหายไป อย่างเช่น ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่มีจิตหรือไม่มีวิญญาณ เป็นต้น ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่าความเชื่อเรื่องหลังความตาย เช่น นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้น (ซึ่งเป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่คำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว) ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้เลย
นี่คือตัวอย่าง ที่เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่ไม่มีใครจะโต้แย้งด้วยเหตผลได้ (ยกเว้นคนพาลที่ไม่ชอบเหตุผล) แต่ถ้าคำสอนใดสามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลได้ คำสอนนั้นจะไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ้าเป็นความเชื่อตามตำรา หรือตามคนอื่นที่เขาบอกมา เป็นต้นนั้น คนที่เขาไม่เชื่อเขาก็สามารถโต้แย้งได้
อย่างเช่น ถ้ามีคนที่เขาไม่เชื่อว่าตำรานั้นคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แล้วเขาถามคุณว่า... คุณรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนในตำรานั้นคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า? เป็นต้น แล้วเราจะตอบเขาว่าอย่างไร? ถ้าตอบเขาว่ามีพระอริยะที่เขาปฏิบัติได้แล้วเป็นผู้รับรอง เราก็จะถูกเขาถามต่อไปอีกว่า แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอริยะจริง? แล้วเราจะตอบเขาว่าอย่างไร? หรือถ้าเราตอบเขาไปว่า เราสามารถปฏิบัติได้แล้วจึงเชื่อว่าเป็นจริง... อย่างนี้คนถามเขาก็ต้องถามกลับอีกว่า เมื่อคุณเชื่อว่ามีนรกใต้ดิน มีสวรรค์บนฟ้า แล้วคุณเคยพบนรกใต้ดิน กับสวรรค์บนฟ้านั้นแล้วหรือจึงได้บอกว่ามีจริง? เราจะตอบเขาว่าอย่างไร? ถ้าบอกเขาว่ายังไม่เคยได้พบ คนถามเขาก็จะหัวเราะเยาะเอา หรือถ้าตอบเขาว่า เคยได้พบแล้ว ที่นี้ละเขาก็จะถามคำถามต่อๆไปอีกมากมาย จนคนถูกถามอาจโมโหได้
ซึ่งนี่คือตัวอย่างคำสอนที่ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่สามารถถูกคัดค้านหรือโต้แย้งได้ เพราะเป็นแค่ความเชื่อลมๆแล้งๆและไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ แต่ถ้าเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า จะไม่มีใครสามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลได้ เพราะคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้น จะตั้งอยู่บนความจริง ที่เราทุกคนก็สามารถเข้าใจและเห็นแจ้ง (สัมผัสหรือพิสูจน์) ได้ จะมีก็เพียงคนพาลเท่านั้นที่จะโต้แย้งว่าไม่จริง แม้เขาจะรู้อยู่ว่าเป็นความจริง (พระพุทธเจ้าสอนว่า การไม่คบคนพาลเป็นมงคลอันอุดม)
คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครจะโต้แย้งด้วยเหตุผลได้
อย่างเช่น ที่สอนว่า เมื่อจิตเกิดกิเลส จิตก็จะเกิดความทุกข์ทันที แต่เมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะไม่มีทุกข์ทันที เมื่อจิตไม่มีทุกข์ ก็สมมติเรียกว่า นิพพาน ที่หมายถึง ความสงบเย็น
หรือ อย่างเช่น ธรรมชาติจะมีกฎสูงสุดอยู่ที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น" (ข้อนี้ใครค้านบ้าง?) และจิตหรือวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง คือต้องอาศัยร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่และสิ่งภายนอก (อายตนะภายนอก) เพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น (ตามหลักที่ว่า เมื่ออายตนะภายนอกมาถึงกันเข้ากับอายตนะภายในที่ตรงกัน วิญญาณทางอายตนะภายในนั้นก็จะเกิดขึ้นทันที)
และเมื่อมาพิจารณาในทางกลับกัน เมื่อไม่มีเหตุหรือปัจจัย สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็จะไม่มี หรือถึงมีอยู่แล้วก็จะหายไป อย่างเช่น ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่มีจิตหรือไม่มีวิญญาณ เป็นต้น ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่าความเชื่อเรื่องหลังความตาย เช่น นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้น (ซึ่งเป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่คำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว) ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้เลย
นี่คือตัวอย่าง ที่เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่ไม่มีใครจะโต้แย้งด้วยเหตผลได้ (ยกเว้นคนพาลที่ไม่ชอบเหตุผล) แต่ถ้าคำสอนใดสามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลได้ คำสอนนั้นจะไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งถ้าเป็นความเชื่อตามตำรา หรือตามคนอื่นที่เขาบอกมา เป็นต้นนั้น คนที่เขาไม่เชื่อเขาก็สามารถโต้แย้งได้
อย่างเช่น ถ้ามีคนที่เขาไม่เชื่อว่าตำรานั้นคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แล้วเขาถามคุณว่า... คุณรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนในตำรานั้นคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า? เป็นต้น แล้วเราจะตอบเขาว่าอย่างไร? ถ้าตอบเขาว่ามีพระอริยะที่เขาปฏิบัติได้แล้วเป็นผู้รับรอง เราก็จะถูกเขาถามต่อไปอีกว่า แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอริยะจริง? แล้วเราจะตอบเขาว่าอย่างไร? หรือถ้าเราตอบเขาไปว่า เราสามารถปฏิบัติได้แล้วจึงเชื่อว่าเป็นจริง... อย่างนี้คนถามเขาก็ต้องถามกลับอีกว่า เมื่อคุณเชื่อว่ามีนรกใต้ดิน มีสวรรค์บนฟ้า แล้วคุณเคยพบนรกใต้ดิน กับสวรรค์บนฟ้านั้นแล้วหรือจึงได้บอกว่ามีจริง? เราจะตอบเขาว่าอย่างไร? ถ้าบอกเขาว่ายังไม่เคยได้พบ คนถามเขาก็จะหัวเราะเยาะเอา หรือถ้าตอบเขาว่า เคยได้พบแล้ว ที่นี้ละเขาก็จะถามคำถามต่อๆไปอีกมากมาย จนคนถูกถามอาจโมโหได้
ซึ่งนี่คือตัวอย่างคำสอนที่ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่สามารถถูกคัดค้านหรือโต้แย้งได้ เพราะเป็นแค่ความเชื่อลมๆแล้งๆและไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ แต่ถ้าเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า จะไม่มีใครสามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลได้ เพราะคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้น จะตั้งอยู่บนความจริง ที่เราทุกคนก็สามารถเข้าใจและเห็นแจ้ง (สัมผัสหรือพิสูจน์) ได้ จะมีก็เพียงคนพาลเท่านั้นที่จะโต้แย้งว่าไม่จริง แม้เขาจะรู้อยู่ว่าเป็นความจริง (พระพุทธเจ้าสอนว่า การไม่คบคนพาลเป็นมงคลอันอุดม)