ในช่วงชีวิตมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัย ปฏิเสธไม่ได้ว่านายแพทย์คนนี้มีอิทธิพลต่อตัวผมค่อนข้างมาก
ทั้งในแนวทางที่ว่า เดิมพันเป้าหมายด้วยชีวิตของตนเอง หรือ ขอแค่มีความพยายามสิ่งใดก็ตามล้วนสำเร็จ
ทุกๆครั้งที่รู้สึกขี้เกียจอยากอ่านหนังสือ ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
ถ้าไม่มาเกรียนในพันทิป ผมก็มักจะหยิบประวัติของนายแพทย์ท่านนี้มาอ่านอยู่เสมอ
ซึ่งมักเป็น แรงบรรดาลใจชั้นยอดให้คนธรรมดาอย่างผมซึ่งมีโอกาสดีกว่านายแพทย์ท่านนี้เป็นล้านเท่าได้
สู้ต่อไปและเชื่อมั่นจากก้นบึ้งของหัวใจว่าสิ่งที่ผมทำจะสำเร็จในซักวัน
ต่อไปนี้จะเล่าประวัติในมุมมองของนายแพทย์โทขุดะ โทราโอะนะครับ เรื่องนี้จะแบ่งเป็นสองภาค
ภาคแรกจะเล่าเรื่องตั้งแต่วัยเด็ก การเตรียมตัวสอบถึงสอบเข้าได้
ภาคสองจะเล่าเรื่องตอนทำงานจนถึงตอนสร้างโรงพยาบาลครับ

นายแพทย์โทขุดะ โทราโอะ(คนกลาง)
ภาคสอบเข้า
ก่อนไปโอซาก้า คุณพ่อได้พูดกับผมที่ท่าเรื่อว่า
"เมื่อบอกว่าจะสอบเข้าแพทย์ให้ได้ ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าสอบไม่ก็ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า
ปิดเทอมฤดูร้อนก็ไม่ต้องกลับมา เพราะจะเปลืองค่าเดินทางเป็นจำนวนมาก"
"ถ้าสอบเข้าแพทย์ไม่ได้ ระหว่างโอซาก้าถึงโทขุโนะชิมะ มีทั้งทางรถไฟและทะเล
จงเลือกวิธีจบชีวิตตัวเองก็แล้วกัน"
ผมได้อยากเป็นหมอตั้งแต่ต้น สารภาพว่าความคิดอยากเป็นหมอไม่เคยมีอยู่ในหัวผมเลย
ตั้งแต่เด็กผมก็ไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือ ตอนเรียนประถมทำคะแนนอย่างมากที่ก็ได้แค่ที่ 10 จากนักเรียนทั้งหมด 35 คน
ของโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามาตรฐานการศึกษาค่อนข้างต่ำกว่าในเมืองอยู่มาก
อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีอะไร บ้านที่อาศัยก็เป็นเพียงบ้านหลังเก่าๆ ขนาดที่ว่าพอฝนตกหลังคาก็รั่ว
ถ้ามองย้อนกลับไปแล้วความฝันที่อยากเป็นหมอก็ดูเหมือนจะไกลเหลือเกิน
ตอนชั้นมัธยมต้น อาจจะโชคดีหน่อยที่ผมได้ครูภาษาอังกฤษดี ทำให้ผมตั้งใจเรียน ผลการเรียนก็กระเตื้องขึ้นมาบ้าง
แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร หรือจะเป็นเพราะสมองผมด้อยกว่าคนอื่น ความคิดนี้รบกวนจิตใจผมเป็นอันมาก
ความคิดที่อยากเป็นหมอเกิดขึ้นตอนที่ผมป่วยเป็นโรคโพรงจมูกอักเสบ ขณะนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง
ผมได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลโอซาก้า เพื่อรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเฉพาะ
ตอนนั้นผมก็ได้แต่คิดว่า
"หมอคงรีบผ่าตัด เพราะ พวกเขาอยากได้เงินเร็วๆ"
แต่พอไปถึง อาจารย์แพทย์ที่มหาวิทยาลัยโอซาก้ากลับบอกผมว่า
"อย่าเพิ่งผ่าเลย อีกหนึ่งปีค่อยมาผ่าใหม่"
ผมเริ่มมองเห็นว่าหมอไม่ได้เป็นพวกที่เห็นแก่เงินเป็นหลัก หมอที่เป็นคนดีก็มีอยู่
และหมอที่ดีแบบนี้ในมหาวิทยาลัยโอซาก้าคงไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่ๆ
ตอนนี้เองทำให้ผมเกิดความคิดที่จะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยโอซาก้า
เดิมผมอยู่โรงเรียนบนเกาะโทขุโนะชิมะ เป็นโรงเรียนบนเกาะเล็กๆเรื่องความหวังที่จะสอบเข้าแพทย์นั้น
เหมือนความฝันที่ไกลเกินเอื้อมเนื่องจากมาตรฐานวิชาการของเกาะนี้ค่อนข้างต่ำ
อีกทั้งตั้งแต่สงครามโลกจบลงยังไม่เคยมีนักเรียนคนใดในเกาะที่สอบเข้าแพทย์ได้เลยแม้แต่คนเดียว
อย่างแรกที่ผมต้องทำคือย้ายโรงเรียน ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะย้ายไปโรงเรียน คิตาโนะ
โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งของโอซาก้า น่าเสียดายที่การสอบย้ายโรงเรียนในปีนั้นได้ผ่านไปแล้ว
อีกทั้งอาจารย์ใหญ่ยังทำน้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตรพร้อมบอกกับผมว่า
"ยังไม่เคยมีนักเรียนจากเกาะโทขุโนะชิมะมายื่นใบสมัครโรงเรียนนี้เลย เธอควรไปสอบเข้าโรงเรียนอื่นดีกว่า"
ตอนม.ปลายผมเรียนที่มหาวิทยาลัยอิมะมิยะ เป็นโรงเรียนรัฐบาลชั้นสอง ปีๆหนึ่งจะมีเด็กสอบติดแพทยศาสตร์โอซาก้า
ปีละหนึ่งถึงสองคน บางปีก็ไม่มีเลย ซึ่งผมตั้งใจว่า
"ผมต้องเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยเหล่านั้นให้ได้"
ช่วงเวลาหกเดือนก่อนสอบเข้าโรงเรียนม.ปลายอิมะมิยะ ผมอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนไม่ว่าจะวันหยุดเสาร์อาทิตย์
หรือวันขึ้นปีใหม่ งานกีฬาสีของโรงเรียนก็ไม่ได้เข้าร่วม ทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อนสอบเข้าม.ปลาย
นักเรียมหาวิทยาลัยอิมะมิยะ มีทั้งหมด 440 คนนอกจากจะต้องแข่งขันกับพวกเพื่อนๆแล้วผมยังต้องแข่งขันเพื่อสอบเข้า
มหาวิทยาลัยโอซาก้าอีก ตอนแรกผมตั้งเป้าไว้ว่าปีสองจะต้องสอบให้ติด 1 ใน 30 ส่วนปีสามต้องเป็นที่ 1 ไม่ก็ที่ 2
ความหวังที่จะสอบติดแพทย์มหาวิทยาลัยโอซาก้าคงจะพอเป็นจริงได้บ้าง
แต่ความเป็นจริงช่างสวนทางกับความเพ้อฝันของผม ผมสอบได้ที่ 161 ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร
อันดับของผมก็ไม่กระเตื้องขึ้น อันดับที่ 1-10 ก็ยังคงหน้าเดิมๆ ความหวังที่จะสอบเข้าแพทย์มหาวิทยาลัยโอซาก้า
ตอนนี้ช่างดูริบหรี่นัก เมื่อครั้งยังอยู่บนเกาะโทขุโนะชิมะ ผมเคยพูดอย่างไม่อายว่าผมจะต้องสอบเข้าแพทย์
มหาวิทยาลัยโอซาก้าให้ได้ตอนนี้ผมรู้สึกเสียใจที่พูดไปแบบนั้น ไหนจะญาติพี่น้องที่จ้องจะคอยทับถมเมื่อผมสอบเข้าไม่ได้
อันที่จริงผมไม่มีเงินจะเรียนมหาวิทยาลัยโอซาก้าหรอก เพียงแต่ผมโน้มน้าวพ่อ สุดท้ายพ่อก็ยอมที่จะขายนาส่งผมเรียน
ก่อนผมออกเดินทางพ่อได้บอกกับผมว่า
"ที่ยกก็เพราะเอ็งคือลูกชายคนโต ข้าได้ขายที่นาของบรรพบุรุษส่งเอ็งเรียนแล้ว นั่นหมายความว่า เอ็งต้องสอบเข้าให้ได้ก่อนที่
ข้าจะขายที่นาหมด"
"ถ้าสอบเข้าแพทย์ไม่ได้ ระหว่างโอซาก้าถึงโทขุโนะชิมะ มีทั้งทางรถไฟและทะเลจงเลือกวิธีจบชีวิตตัวเองก็แล้วกัน"
ด้วยสภาพเช่นนี้ผมต้องสอบให้ติดให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ผมเขียนลงบนตารางอ่านหนังสือว่า "ตาย-เป็น"
ยุทธวิธีที่ผมใช้คือสะสมความสามารถของตัวเองทีละน้อย ทุกครั้งที่สอบไม่ว่าจะเป็นการสอบกลางภาค ปลายภาค
หรือการสอบที่เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ผมจะตั้งใจสอบ เพราะเชื่อว่าถ้าผมสอบได้ที่ 1 ทุกครั้งระดับความสามารถผมคงเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ผมเตรียมตัวสอบโดยนอนเพียงแค่วันละ 6 ชั่วโมง ที่เหลืออีก 18 ชั่วโมง ผมจะใช้ให้เกิดประโยชน์เต็มที่
กินข้าวครั้งละ 3 นาที เข้าห้องน้ำ 2 นาที ส่วนอาบน้ำ อาบ 10 วันหน เพราะไม่เคยได้ยินว่าถ้าไม่อาบน้ำจะตายอะไร
ด้วยเหตุนี้ผมจึงมีเวลาอ่านหนังสือสอบมากกว่าวันละ 16 ชั่วโมง
แม้จะเป็นเช่นนั้นผมเองก็ยังไม่รู้สึกว่าเวลาอ่านหนังสือของผมเพียงพอ เนื่องจากผมหัวไม่ค่อยดีนัก
คนปกติทั่วไปมักจะหยุดอ่านหนังสือในวันหยุดเทศกาลเช่นวันปีใหม่หรือลดเวลาการอ่านลงจากวันละ 12 ชั่วโมงเหลือ 10 ชั่วโมง
ผมมองว่านี่คือโอกาสของผมที่จะไล่ทันพวกเขาเหล่านี้
แม้จะเป็นวันหยุดเทศกาลผมก็อ่านหนังสือ 16 ชั่วโมงเหมือนเดิม อย่างน้อยการนำหน้าในด้านเวลาก็ทำให้เบาใจมากขึ้น
เวลาที่คนอื่นผ่อนคลายเป็นเวลาที่ผมกำลังรุดหน้า การอ่านหนังสือในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือ วันหยุดเทศกาลช่วยให้ผมไล่ทันคนอื่นได้เป็นพิเศษ
ผมได้ที่ 50 ตอนที่จบวิทยาลัยอิมะมิยะ เคยได้ที่ 5 จากการสอบซ้อม และสอบติดคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยโอซาก้า
ที่มาครับ:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้าสอบเข้าแพทย์ไม่ได้ผมจะจบชีวิตตัวเอง จากเด็กซิ่วลูกชาวนาสู่เจ้าของโรงพยาบาลเก้าแห่ง:นายแพทย์โทขุดะ โทราโอะ
ทั้งในแนวทางที่ว่า เดิมพันเป้าหมายด้วยชีวิตของตนเอง หรือ ขอแค่มีความพยายามสิ่งใดก็ตามล้วนสำเร็จ
ทุกๆครั้งที่รู้สึกขี้เกียจอยากอ่านหนังสือ ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
ถ้าไม่มาเกรียนในพันทิป ผมก็มักจะหยิบประวัติของนายแพทย์ท่านนี้มาอ่านอยู่เสมอ
ซึ่งมักเป็น แรงบรรดาลใจชั้นยอดให้คนธรรมดาอย่างผมซึ่งมีโอกาสดีกว่านายแพทย์ท่านนี้เป็นล้านเท่าได้
สู้ต่อไปและเชื่อมั่นจากก้นบึ้งของหัวใจว่าสิ่งที่ผมทำจะสำเร็จในซักวัน
ต่อไปนี้จะเล่าประวัติในมุมมองของนายแพทย์โทขุดะ โทราโอะนะครับ เรื่องนี้จะแบ่งเป็นสองภาค
ภาคแรกจะเล่าเรื่องตั้งแต่วัยเด็ก การเตรียมตัวสอบถึงสอบเข้าได้
ภาคสองจะเล่าเรื่องตอนทำงานจนถึงตอนสร้างโรงพยาบาลครับ
นายแพทย์โทขุดะ โทราโอะ(คนกลาง)
ภาคสอบเข้า
ก่อนไปโอซาก้า คุณพ่อได้พูดกับผมที่ท่าเรื่อว่า
"เมื่อบอกว่าจะสอบเข้าแพทย์ให้ได้ ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าสอบไม่ก็ไม่ต้องกลับมาให้เห็นหน้า
ปิดเทอมฤดูร้อนก็ไม่ต้องกลับมา เพราะจะเปลืองค่าเดินทางเป็นจำนวนมาก"
"ถ้าสอบเข้าแพทย์ไม่ได้ ระหว่างโอซาก้าถึงโทขุโนะชิมะ มีทั้งทางรถไฟและทะเล
จงเลือกวิธีจบชีวิตตัวเองก็แล้วกัน"
ผมได้อยากเป็นหมอตั้งแต่ต้น สารภาพว่าความคิดอยากเป็นหมอไม่เคยมีอยู่ในหัวผมเลย
ตั้งแต่เด็กผมก็ไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือ ตอนเรียนประถมทำคะแนนอย่างมากที่ก็ได้แค่ที่ 10 จากนักเรียนทั้งหมด 35 คน
ของโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามาตรฐานการศึกษาค่อนข้างต่ำกว่าในเมืองอยู่มาก
อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีอะไร บ้านที่อาศัยก็เป็นเพียงบ้านหลังเก่าๆ ขนาดที่ว่าพอฝนตกหลังคาก็รั่ว
ถ้ามองย้อนกลับไปแล้วความฝันที่อยากเป็นหมอก็ดูเหมือนจะไกลเหลือเกิน
ตอนชั้นมัธยมต้น อาจจะโชคดีหน่อยที่ผมได้ครูภาษาอังกฤษดี ทำให้ผมตั้งใจเรียน ผลการเรียนก็กระเตื้องขึ้นมาบ้าง
แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร หรือจะเป็นเพราะสมองผมด้อยกว่าคนอื่น ความคิดนี้รบกวนจิตใจผมเป็นอันมาก
ความคิดที่อยากเป็นหมอเกิดขึ้นตอนที่ผมป่วยเป็นโรคโพรงจมูกอักเสบ ขณะนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง
ผมได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลโอซาก้า เพื่อรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเฉพาะ
ตอนนั้นผมก็ได้แต่คิดว่า
"หมอคงรีบผ่าตัด เพราะ พวกเขาอยากได้เงินเร็วๆ"
แต่พอไปถึง อาจารย์แพทย์ที่มหาวิทยาลัยโอซาก้ากลับบอกผมว่า
"อย่าเพิ่งผ่าเลย อีกหนึ่งปีค่อยมาผ่าใหม่"
ผมเริ่มมองเห็นว่าหมอไม่ได้เป็นพวกที่เห็นแก่เงินเป็นหลัก หมอที่เป็นคนดีก็มีอยู่
และหมอที่ดีแบบนี้ในมหาวิทยาลัยโอซาก้าคงไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่ๆ
ตอนนี้เองทำให้ผมเกิดความคิดที่จะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยโอซาก้า
เดิมผมอยู่โรงเรียนบนเกาะโทขุโนะชิมะ เป็นโรงเรียนบนเกาะเล็กๆเรื่องความหวังที่จะสอบเข้าแพทย์นั้น
เหมือนความฝันที่ไกลเกินเอื้อมเนื่องจากมาตรฐานวิชาการของเกาะนี้ค่อนข้างต่ำ
อีกทั้งตั้งแต่สงครามโลกจบลงยังไม่เคยมีนักเรียนคนใดในเกาะที่สอบเข้าแพทย์ได้เลยแม้แต่คนเดียว
อย่างแรกที่ผมต้องทำคือย้ายโรงเรียน ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะย้ายไปโรงเรียน คิตาโนะ
โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งของโอซาก้า น่าเสียดายที่การสอบย้ายโรงเรียนในปีนั้นได้ผ่านไปแล้ว
อีกทั้งอาจารย์ใหญ่ยังทำน้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตรพร้อมบอกกับผมว่า
"ยังไม่เคยมีนักเรียนจากเกาะโทขุโนะชิมะมายื่นใบสมัครโรงเรียนนี้เลย เธอควรไปสอบเข้าโรงเรียนอื่นดีกว่า"
ตอนม.ปลายผมเรียนที่มหาวิทยาลัยอิมะมิยะ เป็นโรงเรียนรัฐบาลชั้นสอง ปีๆหนึ่งจะมีเด็กสอบติดแพทยศาสตร์โอซาก้า
ปีละหนึ่งถึงสองคน บางปีก็ไม่มีเลย ซึ่งผมตั้งใจว่า "ผมต้องเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยเหล่านั้นให้ได้"
ช่วงเวลาหกเดือนก่อนสอบเข้าโรงเรียนม.ปลายอิมะมิยะ ผมอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนไม่ว่าจะวันหยุดเสาร์อาทิตย์
หรือวันขึ้นปีใหม่ งานกีฬาสีของโรงเรียนก็ไม่ได้เข้าร่วม ทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อนสอบเข้าม.ปลาย
นักเรียมหาวิทยาลัยอิมะมิยะ มีทั้งหมด 440 คนนอกจากจะต้องแข่งขันกับพวกเพื่อนๆแล้วผมยังต้องแข่งขันเพื่อสอบเข้า
มหาวิทยาลัยโอซาก้าอีก ตอนแรกผมตั้งเป้าไว้ว่าปีสองจะต้องสอบให้ติด 1 ใน 30 ส่วนปีสามต้องเป็นที่ 1 ไม่ก็ที่ 2
ความหวังที่จะสอบติดแพทย์มหาวิทยาลัยโอซาก้าคงจะพอเป็นจริงได้บ้าง
แต่ความเป็นจริงช่างสวนทางกับความเพ้อฝันของผม ผมสอบได้ที่ 161 ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร
อันดับของผมก็ไม่กระเตื้องขึ้น อันดับที่ 1-10 ก็ยังคงหน้าเดิมๆ ความหวังที่จะสอบเข้าแพทย์มหาวิทยาลัยโอซาก้า
ตอนนี้ช่างดูริบหรี่นัก เมื่อครั้งยังอยู่บนเกาะโทขุโนะชิมะ ผมเคยพูดอย่างไม่อายว่าผมจะต้องสอบเข้าแพทย์
มหาวิทยาลัยโอซาก้าให้ได้ตอนนี้ผมรู้สึกเสียใจที่พูดไปแบบนั้น ไหนจะญาติพี่น้องที่จ้องจะคอยทับถมเมื่อผมสอบเข้าไม่ได้
อันที่จริงผมไม่มีเงินจะเรียนมหาวิทยาลัยโอซาก้าหรอก เพียงแต่ผมโน้มน้าวพ่อ สุดท้ายพ่อก็ยอมที่จะขายนาส่งผมเรียน
ก่อนผมออกเดินทางพ่อได้บอกกับผมว่า
"ที่ยกก็เพราะเอ็งคือลูกชายคนโต ข้าได้ขายที่นาของบรรพบุรุษส่งเอ็งเรียนแล้ว นั่นหมายความว่า เอ็งต้องสอบเข้าให้ได้ก่อนที่
ข้าจะขายที่นาหมด"
"ถ้าสอบเข้าแพทย์ไม่ได้ ระหว่างโอซาก้าถึงโทขุโนะชิมะ มีทั้งทางรถไฟและทะเลจงเลือกวิธีจบชีวิตตัวเองก็แล้วกัน"
ด้วยสภาพเช่นนี้ผมต้องสอบให้ติดให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ผมเขียนลงบนตารางอ่านหนังสือว่า "ตาย-เป็น"
ยุทธวิธีที่ผมใช้คือสะสมความสามารถของตัวเองทีละน้อย ทุกครั้งที่สอบไม่ว่าจะเป็นการสอบกลางภาค ปลายภาค
หรือการสอบที่เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ผมจะตั้งใจสอบ เพราะเชื่อว่าถ้าผมสอบได้ที่ 1 ทุกครั้งระดับความสามารถผมคงเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ผมเตรียมตัวสอบโดยนอนเพียงแค่วันละ 6 ชั่วโมง ที่เหลืออีก 18 ชั่วโมง ผมจะใช้ให้เกิดประโยชน์เต็มที่
กินข้าวครั้งละ 3 นาที เข้าห้องน้ำ 2 นาที ส่วนอาบน้ำ อาบ 10 วันหน เพราะไม่เคยได้ยินว่าถ้าไม่อาบน้ำจะตายอะไร
ด้วยเหตุนี้ผมจึงมีเวลาอ่านหนังสือสอบมากกว่าวันละ 16 ชั่วโมง
แม้จะเป็นเช่นนั้นผมเองก็ยังไม่รู้สึกว่าเวลาอ่านหนังสือของผมเพียงพอ เนื่องจากผมหัวไม่ค่อยดีนัก
คนปกติทั่วไปมักจะหยุดอ่านหนังสือในวันหยุดเทศกาลเช่นวันปีใหม่หรือลดเวลาการอ่านลงจากวันละ 12 ชั่วโมงเหลือ 10 ชั่วโมง
ผมมองว่านี่คือโอกาสของผมที่จะไล่ทันพวกเขาเหล่านี้
แม้จะเป็นวันหยุดเทศกาลผมก็อ่านหนังสือ 16 ชั่วโมงเหมือนเดิม อย่างน้อยการนำหน้าในด้านเวลาก็ทำให้เบาใจมากขึ้น
เวลาที่คนอื่นผ่อนคลายเป็นเวลาที่ผมกำลังรุดหน้า การอ่านหนังสือในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือ วันหยุดเทศกาลช่วยให้ผมไล่ทันคนอื่นได้เป็นพิเศษ
ผมได้ที่ 50 ตอนที่จบวิทยาลัยอิมะมิยะ เคยได้ที่ 5 จากการสอบซ้อม และสอบติดคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยโอซาก้า
ที่มาครับ:[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้