สมัยมัธยมปลาย ผมเรียนและอาศัยอยู่ที่เมืองๆนึงในมณฑลกวางตุ้งของประเทศจีน
เมืองจีนในขณะนั้น ขึ้นชื่อในเรื่องของความไร้มนุษยธรรม มีเหตุอาชญากรรม และคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมาย(ไล่แทงเด็กอนุบาล, ฆาตกรต่อเนื่องฆ่าตัดหัว, คนงานเอาขวานจามหัวเมียเจ้านายและลูกวัยไม่ถึงขวบ, ขับรถทับเด็ก คนเดินผ่านเกือบ 20 คน ไม่มีใครมาช่วย) เมืองที่ผมอยู่มีพวกโจรและมาเฟียค่อนข้างเยอะ
มีอยู่วันนึง ผมขึ้นรถเมล์จีนเพื่อเดินทางเข้าตัวเมือง นั่งอยู่แถวเกือบหลังสุด ลักษณะของผังที่นั่งรถเมล์จีนจะเป็นแบบในภาพ
ทุกทีเวลานั่งรถเมล์จีน ผมจะภาวนาทุกครั้งไม่ให้เจอคนจีนที่มากันเป็นกลุ่มและคุยเสียงดัง รอบนี้ก็มีกลุ่มนักเรียนชายซ่านั่งโม้นั่งแกล้งกันอยู่ตามรูปบน เสียงดังมากกก ส่วนนักเรียนหญิงที่นั่งเยื้องแถวหน้าผมนั่น นั่งหลับ...(คิดในใจมิงหลับไปได้ไงวะเสียงยังกับนรกแตก)
ทีนี้รถเมล์มันก็มาจอดที่สถานีนึง ซึ่งก็มีชายฉกรรจ์เดินขึ้นมาบนรถ ทางประตูหน้า 2 คน ทางประตูกลาง 3 คน รวม 5 คน ดูจากลักษณะภายนอกเหมือนพวกโจร หน้าตาดูน่ากลัว ผมก็คิดในใจว่าเค้าคงไม่มานั่งข้างเราแน่ เพราะที่นั่งด้านหน้ายังมีเหลือเยอะ แต่ปรากฏว่าแจ๊คพอตครับ ชายทั้ง 5 คนพร้อมใจกันมานั่งข้างหลังหมดเลย กลายเป็นป่าล้อมเมือง เหมือนในภาพนี้ครับ
ผมก็เริ่มเอะใจแล้วว่า พวกนี้มาด้วยกันรึป่าวถึงต้องมานั่งใกล้กัน แล้วถ้ามาด้วยกันทำไมขึ้นคนละประตู ถ้ารู้จักกันทำไมไม่พูดคุยกันเลย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ก็ใจลอยคิดเรื่องอื่นไป จนกระทั่งเริ่มสังเกตว่าเสียงของกลุ่มนักเรียนชายซ่าเริ่มเงียบลง และซักพักก็ย้ายที่ไปนั่งหน้ารถทั้งกลุ่มเลย ผมก็งงว่าจะย้ายทำไม ปรากฏว่าพอหันไปดูข้างตัว ภาพที่เห็นคือ ไอ้ชายเบอร์ 3 ที่นั่งข้างผม มันกำลังพยายามเอามือสอดเข้าไประหว่างเก้าอี้หน้ากับตัวรถ เพื่อจะขโมยกระเป๋าเงินของนักเรียนหญิงที่หลับอยู่(กระเป๋าอยู่ซ้าย ติดตัวรถ นร.หญิงกอดอยู่ด้วย มันยังกล้า) แต่มือมันใหญ่ไป เลยสอดไปไม่ถึง
ผมก็ตกใจว่าเห้ย มิงไม่กลัวคนอื่นเห็นเลยหรอวะ ตกใจได้ไม่ทันไร ไอ้ชายเบอร์ 4 ก็ยืนขึ้น แล้วเอามือเอื้อมผ่านหน้านร.หญิงไปล้วงกระเป๋าหน้าตาเฉย ตลอดเวลานั้น นร.หญิงยังคงหลับไม่รู้เรื่อง(ไม่รู้โดนป้ายยาด้วยรึป่าว)
ขณะที่กลุ่มโจรกำลังจะขโมยสำเร็จ ต่อมความดีของผมจึงเริ่มทำงาน(หลังจากต่อมตกใจหมดฤทธิ์) ผมจึงสะกิดไอ้เบอร์ 4 ขณะที่มันกำลังยืนล้วงเลยครับ
และสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คือไอ้เบอร์ 2 มันสะกิดหลังผม พอผมหันไป มันเอามีดมาจี้คอผม แล้วบอกว่าให้ผมเงียบไม่งั้นผมตาย วินาทีนั้นถ้ารถเบรคแรง ผมคงโดนมีดแทงคอไปแล้วครับ
พอมันขู่และมีมีดมาจี้คอแบบนั้นปุ๊ป ต่อมความดีผมเริ่มหด แต่ต่อมปัญญาและต่อมเอาตัวรอดนี่มาเต็ม ผมคิดหาวิธีพูดกับมันให้เลิกขโมยโดยที่มันไม่ฆ่าผม และต้องคิดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ไม่เกิน 5 วินาทีหลังจากมันขู่และจี้คอผมอยู่ ผมจึงตอบกลับไปว่า ผมมาด้วยกันกับนร. หญิงคนนั้น เป็นเพื่อนกัน เพื่อทำให้มันรู้สึกว่าเราไม่ใช่แค่พลเมืองดีที่มาเจือกห้าม แต่เราคือเพื่อนของเหยื่อคนนั้น ถ้ากุไม่ห้ามมิง แล้วจะให้กุไปห้ามใคร แล้วใครจะห้ามมิงล่ะ กุเป็นเพื่อนเค้ากุมากับเค้ากุต้องห้ามสิ กุมีส่วนร่วมนะเนี่ย... ผมพยายามทำให้การมีส่วนร่วมของผมดูมีน้ำหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะจากประสบการณ์ โจรที่เห็นๆกันจะมี 2 แบบ
1. แบบใช้ความรุนแรงแต่แรก เปิดเผยตัวตน ฉกชิงให้เห็นกันจะๆ ชัดๆ พวกนี้ใช้กำลังตั้งแต่ต้นจนจบ
2. แบบแอบขโมย หรือใช้อุบาย พวกนี้ไม่ค่อยกล้าเปิดเผยตัวตนให้เหยื่อเห็น พวกล้วงกระเป๋า ย่องเบา ตีนแมว ก็คือกลุ่มนี้ และส่วนใหญ่กลุ่มนี้ถ้าโดนเหยื่อจับได้หรือเห็น มักจะวิ่งหนีหรือเลิกขโมย เพราะอายหรืออะไรอันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน
ผมจึงจัดว่าไอโจร 5 คนนี้เป็นประเภทที่ 2 คือไม่อยากให้เหยื่อเห็น(หากคนอื่นที่ไม่ใช่เหยื่อเห็นมันก็ไม่สนใจ เพราะเมืองจีน คนจีนไม่ช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ตัวใครตัวมัน ดูพวกเด็กซ่าเป็นต้นพอเห็นเหตุการณ์ก็ย้ายไปนั่งหน้ากันหมด ทำให้มันยิ่งทำงานง่าย เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจ)
ผมจึงใช้อุบายนั้น เพื่อทำให้มันมองว่าเราก็คือเหยื่อของมันเหมือนกัน เพราะเราเป็นเพื่อนกับนร.หญิงคนนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องเต็มๆ ไม่ใช่เพียงคนนอกที่มายุ่ง
และมันก็ได้ผลครับ! หลังจากผมบอกมันไปว่าเป็นเพื่อนนร.หญิง มันก็คุยกันเป็นภาษาจีนอีสาน คือจีนสำเนียงพื้นเมืองของมันซึ่งผมฟังไม่ออก แต่จากที่ผมดูการคุย ผมมองว่ามันคงรู้สึกว่าตัวเองหน้าแตก อะไรประมาณนั้น พอคุยกับเพื่อนจบมันก็หันกลับมาคุยกับผมว่า โอเค โอเค แล้วมันก็เลิกขโมย และนั่งบนรถเฉยๆ แต่...
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ครับ ปรากฏว่าก่อนถึงสถานีแห่งนึง นร.หญิงคนนั้นตื่นขึ้นมา และหันหลังมองมาที่ผมและพวกโจร เหมือนเค้าจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากระเป๋าเค้าถูกล้วงมา เค้าหันหน้ามามองผม เสมือนว่าผมเป็นหัวหน้าของพวกโจรเหล่านั้น เป็นพวกเดียวกันกับโจรทั้ง 5...
เธอมองค้อนอยู่ซักพักแล้วก็เดินลงสถานีถัดไป โดยปล่อยให้ผมนั่งต่อกับพวกโจรเหล่านั้น ในใจตอนนั้นผมคิดแล้วว่า ชิหายแล้วกู ความแตกแล้ว โจรมันคงรู้ตัวแล้วว่าผมหลอกมัน มันคงรู้แล้วว่าผมไม่ได้รู้จักกับนร.หญิงคนนั้น...
แต่ปรากฏว่า มันไม่สนใจเลยครับ ดูมันทำหน้าเฉย นั่งนิ่งมองวิวต่อไป ตอนนั้นผมไม่รู้ในใจมันแอบด่าผมรึป่าว แต่ผมโล่งใจมากที่มันเงียบกัน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก เมื่อรถกำลังจอดที่สถานีนึง โจรคนเดิมที่มันสะกิดและเอามีดจี้คอผม มาสะกิดหลังผมเป็นครั้งที่ 2...(ตอนนั้นในใจผมคิด มันจะเอาอาวุธอะไรมาจี้ผมอีกวะเนี่ย หรือรอบนี้มันจะทิ่มเลยแล้ววิ่งลงรถ) วินาทีนั้น เสียวคอมากครับ
หลังจากมันสะกิดผมจึงหันไป ปรากฏว่ามันชี้ไปที่ที่นั่งเดิมของกลุ่มเด็กซ่า แล้วพูดกับผมว่า ไอเด็กพวกนั้นมันลืมแฟ้มชีทไว้ ให้ผมเอาไปคืน...(ในใจคิด วันอะไรวะเนี่ย สะกิดรอบแรกโดนจี้คอบอกให้เงียบปาก สะกิดรอบนี้โดนโจรใช้ให้เอาของไปคืนคน แต่ก็แอบคิดว่า เออมันก็ยังดีนะ ยังมีน้ำใจ แต่ถ้าไม่ใช่ชีทเรียนก็คงเสร็จโจรโรงเรียนจีนไปแล้ว)
และผมก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดีครับ ผมเดินไปเอาแฟ้มชีท แล้วก็เดินไปคืนเด็กซ่าที่กำลังเดินลงรถ เด็กก็บอกขอบคุณผม
แล้วผมก็นั่งมากับพวกโจรต่อจนถึงสถานีนึง มันก็เดินลงแล้วจากผมไปในหมู่ฝูงชน ปล่อยให้ผมนั่งครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง
ในใจตอนนั้นผมคิดครับว่า นี่เราทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปแท้ๆ ไม่เพียงแค่ไม่ได้รับคำขอบคุณใดๆแล้ว แต่ยังถูกคนที่เราช่วย มองเราด้วยสายตารังเกียจเรา สายตาที่มองแบบตำหนิว่าเราเป็นผู้ร้าย ถูกเหมารวมว่าเราเป็นกลุ่มเดียวกับโจรล้วงกระเป๋า...
แต่พอลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้น ผมจึงคิดได้ครับว่า จุดประสงค์ที่เรายื่นมือเข้าไปช่วยเค้านั้น หาใช่เพราะอยากให้เค้ามาชื่นชมเราไม่ แต่เราช่วยเพราะอยากให้เค้าไม่เดือดร้อน อยากให้เค้าไม่ถูกล้วงกระเป๋า อยากให้กระเป๋าของเค้ายังอยู่ดี อยากให้เงินที่เค้ามียังอยู่ครบ
ผมจึงตระหนักได้ว่า สิ่งที่ผมทำลงไปนั้น ถือว่าบรรลุจุดประสงค์และสำเร็จแล้ว เราช่วยเหลือให้เค้าไม่เดือดร้อน นั่นคือสิ่งที่เราควรตระหนักและพอใจแล้วว่าเราทำสำเร็จ ส่วนเค้าจะมองเรายังไง นั่นเป็นอีกเรื่องนึง หากเค้าขอบคุณเรา นั่นคือโบนัส หากเค้ามองเราไม่ดี ก็ให้คิดว่าอย่างน้อยเราได้ช่วยคนๆนึงไม่ให้เดือดร้อน เพียงแค่นั้นก็คุ้มสำหรับสิ่งที่เราทำแล้วครับ
เห็นหลายคนถามมาว่า ผมลุกไปคืนชีทแล้วทำไมถึงกลับไปนั่งที่เดิมกับโจร?
หลังจากโจรสะกิดผมรอบ 2 และบอกให้ผมเอาชีทไปคืนเด็ก ผมมองว่าเราคุยกันเรื่องอื่นแล้ว เรื่องที่ผ่านมามันจบลงไปแล้ว จึงไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปย้ายที่ และผมว่าการที่เราไปย้ายที่ ฟังดูมันเหมือนปลอดภัยขึ้นแต่จริงๆมันอาจเป็นการ provocation หรือสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มโจรนั้นได้(รังเกียจพวกกูหรอ?) ส่วนเรื่องหนีลงรถนั่น มันไม่ใช่แนวทางของผมครับ
มีหลายคนถามผมมาอีกว่า ทำไมผมไม่นั่งริมหน้าต่าง แล้วโจรมันเข้าไปนั่งริมหน้าต่างได้ยังไง?
ผมเองจำไม่ได้เหมือนกันแต่คิดว่าน่าจะเพราะตอนผมขึ้นมีคนนั่งข้างในอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงนั่งริมทางเดิน พอคนลงผมก็เถิบให้เค้าออกแต่ไม่ได้ย้ายเข้าไปนั่งด้านในเพราะรถมันโล่งอยู่และที่นั่งด้านในช่วงล้อหลังมันจะมีเนินล้อซึ่งแคบกว่าที่นั่งริมทางเดิน และผมขายาวเลยสะดวกนั่งด้านนอก ที่จีนไม่มีธรรมเนียมว่ามาก่อนให้นั่งใน มาหลังให้นั่งนอกครับ ใครอยากนั่งตรงไหนก็นั่งได้เลย ถ้าคนมาทีหลังจะเข้าก็แค่กระเถิบให้เดินเข้าไป รถเมล์ที่จีนใหญ่ครับแทรกเข้าไปได้ไม่ยาก
หลายคนถามผมเพิ่มอีกว่าทำไมผมไม่เดินตามนร.หญิงคนนั้นลงไป
1. ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องลงตามเค้าไป สายตาที่เค้ามองผมบนรถ ชัดเจนอยู่แล้วว่าผมไม่สามารถเนียนต่อไปได้ว่ารู้จักกับเค้า
2. ถ้าโจรจะทำผม ก็คงทำเพราะโมโหที่โดนผมหลอก ตั้งแต่ตอนที่นร.หญิงหันมามองผม แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรซึ่งก็ดีอยู่แล้ว ผมจึงไม่อยากสร้างความเสี่ยงอะไรขึ้นมาใหม่อีก นั่งเฉยๆนิ่งๆไปจนถึงสถานีที่ตัวเองจะลง ดีที่สุด
3. การที่ผมเดินตามนร.หญิงลงไป ไม่ได้การันตีว่าพวกโจรจะไม่เดินตามผมลงมาปล้น ปล้นบนพื้น หนีง่ายและสะดวกกว่าปล้นบนรถนะครับ จะหนีทางไหนก็ได้
4. หากคุณเป็นนร.หญิงคนนั้นและเข้าใจผิดว่าผมเป็นโจรที่พยายามล้วงกระเป๋าคุณ แล้วตอนเดินลงรถผมยังเดินตามคุณลงมาอีก คุณจะกลัวผมมั้ย? จะหันกลับไปโวยวายให้คนได้ยินและช่วย จะด่าเสียงดังๆให้ผมตกใจและเลิกขโมย หรือจะวิ่งหนีผมมั้ย? แค่สายตาที่มองบนรถ ผมก็หน้าแตกพออยู่แล้ว เดินลงตามเค้าไปอาจเจอหนักกว่าเดิมอีก เผลอๆโจรจากที่มันเงียบๆ พอเห็นแล้วอาจจะเข้ามาร่วมวงก็ได้ สถานการณ์วุ่นวาย ไม่รู้ใครเป็นใคร โจรยิ่งทำอะไรง่ายเข้าไปใหญ่
จริงๆผมแค่ต้องการตั้งกระทู้เตือนภัย ว่าการที่เรากอดกระเป๋าไว้ในขณะหลับบนรถโดยสารไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป โจรใจกล้าหน้าด้านล้วงมาหยิบแบบนี้ มันมีอยู่ครับ อยากให้ระวังกัน แค่นั้นเอง
แชร์ประสบการณ์เกือบถูก "ฆ่าปาดคอ" ที่จีน
เมืองจีนในขณะนั้น ขึ้นชื่อในเรื่องของความไร้มนุษยธรรม มีเหตุอาชญากรรม และคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมาย(ไล่แทงเด็กอนุบาล, ฆาตกรต่อเนื่องฆ่าตัดหัว, คนงานเอาขวานจามหัวเมียเจ้านายและลูกวัยไม่ถึงขวบ, ขับรถทับเด็ก คนเดินผ่านเกือบ 20 คน ไม่มีใครมาช่วย) เมืองที่ผมอยู่มีพวกโจรและมาเฟียค่อนข้างเยอะ
มีอยู่วันนึง ผมขึ้นรถเมล์จีนเพื่อเดินทางเข้าตัวเมือง นั่งอยู่แถวเกือบหลังสุด ลักษณะของผังที่นั่งรถเมล์จีนจะเป็นแบบในภาพ
ทุกทีเวลานั่งรถเมล์จีน ผมจะภาวนาทุกครั้งไม่ให้เจอคนจีนที่มากันเป็นกลุ่มและคุยเสียงดัง รอบนี้ก็มีกลุ่มนักเรียนชายซ่านั่งโม้นั่งแกล้งกันอยู่ตามรูปบน เสียงดังมากกก ส่วนนักเรียนหญิงที่นั่งเยื้องแถวหน้าผมนั่น นั่งหลับ...(คิดในใจมิงหลับไปได้ไงวะเสียงยังกับนรกแตก)
ทีนี้รถเมล์มันก็มาจอดที่สถานีนึง ซึ่งก็มีชายฉกรรจ์เดินขึ้นมาบนรถ ทางประตูหน้า 2 คน ทางประตูกลาง 3 คน รวม 5 คน ดูจากลักษณะภายนอกเหมือนพวกโจร หน้าตาดูน่ากลัว ผมก็คิดในใจว่าเค้าคงไม่มานั่งข้างเราแน่ เพราะที่นั่งด้านหน้ายังมีเหลือเยอะ แต่ปรากฏว่าแจ๊คพอตครับ ชายทั้ง 5 คนพร้อมใจกันมานั่งข้างหลังหมดเลย กลายเป็นป่าล้อมเมือง เหมือนในภาพนี้ครับ
ผมก็เริ่มเอะใจแล้วว่า พวกนี้มาด้วยกันรึป่าวถึงต้องมานั่งใกล้กัน แล้วถ้ามาด้วยกันทำไมขึ้นคนละประตู ถ้ารู้จักกันทำไมไม่พูดคุยกันเลย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ก็ใจลอยคิดเรื่องอื่นไป จนกระทั่งเริ่มสังเกตว่าเสียงของกลุ่มนักเรียนชายซ่าเริ่มเงียบลง และซักพักก็ย้ายที่ไปนั่งหน้ารถทั้งกลุ่มเลย ผมก็งงว่าจะย้ายทำไม ปรากฏว่าพอหันไปดูข้างตัว ภาพที่เห็นคือ ไอ้ชายเบอร์ 3 ที่นั่งข้างผม มันกำลังพยายามเอามือสอดเข้าไประหว่างเก้าอี้หน้ากับตัวรถ เพื่อจะขโมยกระเป๋าเงินของนักเรียนหญิงที่หลับอยู่(กระเป๋าอยู่ซ้าย ติดตัวรถ นร.หญิงกอดอยู่ด้วย มันยังกล้า) แต่มือมันใหญ่ไป เลยสอดไปไม่ถึง
ผมก็ตกใจว่าเห้ย มิงไม่กลัวคนอื่นเห็นเลยหรอวะ ตกใจได้ไม่ทันไร ไอ้ชายเบอร์ 4 ก็ยืนขึ้น แล้วเอามือเอื้อมผ่านหน้านร.หญิงไปล้วงกระเป๋าหน้าตาเฉย ตลอดเวลานั้น นร.หญิงยังคงหลับไม่รู้เรื่อง(ไม่รู้โดนป้ายยาด้วยรึป่าว)
ขณะที่กลุ่มโจรกำลังจะขโมยสำเร็จ ต่อมความดีของผมจึงเริ่มทำงาน(หลังจากต่อมตกใจหมดฤทธิ์) ผมจึงสะกิดไอ้เบอร์ 4 ขณะที่มันกำลังยืนล้วงเลยครับ
และสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คือไอ้เบอร์ 2 มันสะกิดหลังผม พอผมหันไป มันเอามีดมาจี้คอผม แล้วบอกว่าให้ผมเงียบไม่งั้นผมตาย วินาทีนั้นถ้ารถเบรคแรง ผมคงโดนมีดแทงคอไปแล้วครับ
พอมันขู่และมีมีดมาจี้คอแบบนั้นปุ๊ป ต่อมความดีผมเริ่มหด แต่ต่อมปัญญาและต่อมเอาตัวรอดนี่มาเต็ม ผมคิดหาวิธีพูดกับมันให้เลิกขโมยโดยที่มันไม่ฆ่าผม และต้องคิดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ไม่เกิน 5 วินาทีหลังจากมันขู่และจี้คอผมอยู่ ผมจึงตอบกลับไปว่า ผมมาด้วยกันกับนร. หญิงคนนั้น เป็นเพื่อนกัน เพื่อทำให้มันรู้สึกว่าเราไม่ใช่แค่พลเมืองดีที่มาเจือกห้าม แต่เราคือเพื่อนของเหยื่อคนนั้น ถ้ากุไม่ห้ามมิง แล้วจะให้กุไปห้ามใคร แล้วใครจะห้ามมิงล่ะ กุเป็นเพื่อนเค้ากุมากับเค้ากุต้องห้ามสิ กุมีส่วนร่วมนะเนี่ย... ผมพยายามทำให้การมีส่วนร่วมของผมดูมีน้ำหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะจากประสบการณ์ โจรที่เห็นๆกันจะมี 2 แบบ
1. แบบใช้ความรุนแรงแต่แรก เปิดเผยตัวตน ฉกชิงให้เห็นกันจะๆ ชัดๆ พวกนี้ใช้กำลังตั้งแต่ต้นจนจบ
2. แบบแอบขโมย หรือใช้อุบาย พวกนี้ไม่ค่อยกล้าเปิดเผยตัวตนให้เหยื่อเห็น พวกล้วงกระเป๋า ย่องเบา ตีนแมว ก็คือกลุ่มนี้ และส่วนใหญ่กลุ่มนี้ถ้าโดนเหยื่อจับได้หรือเห็น มักจะวิ่งหนีหรือเลิกขโมย เพราะอายหรืออะไรอันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน
ผมจึงจัดว่าไอโจร 5 คนนี้เป็นประเภทที่ 2 คือไม่อยากให้เหยื่อเห็น(หากคนอื่นที่ไม่ใช่เหยื่อเห็นมันก็ไม่สนใจ เพราะเมืองจีน คนจีนไม่ช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ตัวใครตัวมัน ดูพวกเด็กซ่าเป็นต้นพอเห็นเหตุการณ์ก็ย้ายไปนั่งหน้ากันหมด ทำให้มันยิ่งทำงานง่าย เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจ)
ผมจึงใช้อุบายนั้น เพื่อทำให้มันมองว่าเราก็คือเหยื่อของมันเหมือนกัน เพราะเราเป็นเพื่อนกับนร.หญิงคนนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องเต็มๆ ไม่ใช่เพียงคนนอกที่มายุ่ง
และมันก็ได้ผลครับ! หลังจากผมบอกมันไปว่าเป็นเพื่อนนร.หญิง มันก็คุยกันเป็นภาษาจีนอีสาน คือจีนสำเนียงพื้นเมืองของมันซึ่งผมฟังไม่ออก แต่จากที่ผมดูการคุย ผมมองว่ามันคงรู้สึกว่าตัวเองหน้าแตก อะไรประมาณนั้น พอคุยกับเพื่อนจบมันก็หันกลับมาคุยกับผมว่า โอเค โอเค แล้วมันก็เลิกขโมย และนั่งบนรถเฉยๆ แต่...
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ครับ ปรากฏว่าก่อนถึงสถานีแห่งนึง นร.หญิงคนนั้นตื่นขึ้นมา และหันหลังมองมาที่ผมและพวกโจร เหมือนเค้าจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากระเป๋าเค้าถูกล้วงมา เค้าหันหน้ามามองผม เสมือนว่าผมเป็นหัวหน้าของพวกโจรเหล่านั้น เป็นพวกเดียวกันกับโจรทั้ง 5...
เธอมองค้อนอยู่ซักพักแล้วก็เดินลงสถานีถัดไป โดยปล่อยให้ผมนั่งต่อกับพวกโจรเหล่านั้น ในใจตอนนั้นผมคิดแล้วว่า ชิหายแล้วกู ความแตกแล้ว โจรมันคงรู้ตัวแล้วว่าผมหลอกมัน มันคงรู้แล้วว่าผมไม่ได้รู้จักกับนร.หญิงคนนั้น...
แต่ปรากฏว่า มันไม่สนใจเลยครับ ดูมันทำหน้าเฉย นั่งนิ่งมองวิวต่อไป ตอนนั้นผมไม่รู้ในใจมันแอบด่าผมรึป่าว แต่ผมโล่งใจมากที่มันเงียบกัน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก เมื่อรถกำลังจอดที่สถานีนึง โจรคนเดิมที่มันสะกิดและเอามีดจี้คอผม มาสะกิดหลังผมเป็นครั้งที่ 2...(ตอนนั้นในใจผมคิด มันจะเอาอาวุธอะไรมาจี้ผมอีกวะเนี่ย หรือรอบนี้มันจะทิ่มเลยแล้ววิ่งลงรถ) วินาทีนั้น เสียวคอมากครับ
หลังจากมันสะกิดผมจึงหันไป ปรากฏว่ามันชี้ไปที่ที่นั่งเดิมของกลุ่มเด็กซ่า แล้วพูดกับผมว่า ไอเด็กพวกนั้นมันลืมแฟ้มชีทไว้ ให้ผมเอาไปคืน...(ในใจคิด วันอะไรวะเนี่ย สะกิดรอบแรกโดนจี้คอบอกให้เงียบปาก สะกิดรอบนี้โดนโจรใช้ให้เอาของไปคืนคน แต่ก็แอบคิดว่า เออมันก็ยังดีนะ ยังมีน้ำใจ แต่ถ้าไม่ใช่ชีทเรียนก็คงเสร็จโจรโรงเรียนจีนไปแล้ว)
และผมก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดีครับ ผมเดินไปเอาแฟ้มชีท แล้วก็เดินไปคืนเด็กซ่าที่กำลังเดินลงรถ เด็กก็บอกขอบคุณผม
แล้วผมก็นั่งมากับพวกโจรต่อจนถึงสถานีนึง มันก็เดินลงแล้วจากผมไปในหมู่ฝูงชน ปล่อยให้ผมนั่งครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง
ในใจตอนนั้นผมคิดครับว่า นี่เราทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปแท้ๆ ไม่เพียงแค่ไม่ได้รับคำขอบคุณใดๆแล้ว แต่ยังถูกคนที่เราช่วย มองเราด้วยสายตารังเกียจเรา สายตาที่มองแบบตำหนิว่าเราเป็นผู้ร้าย ถูกเหมารวมว่าเราเป็นกลุ่มเดียวกับโจรล้วงกระเป๋า...
แต่พอลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้น ผมจึงคิดได้ครับว่า จุดประสงค์ที่เรายื่นมือเข้าไปช่วยเค้านั้น หาใช่เพราะอยากให้เค้ามาชื่นชมเราไม่ แต่เราช่วยเพราะอยากให้เค้าไม่เดือดร้อน อยากให้เค้าไม่ถูกล้วงกระเป๋า อยากให้กระเป๋าของเค้ายังอยู่ดี อยากให้เงินที่เค้ามียังอยู่ครบ
ผมจึงตระหนักได้ว่า สิ่งที่ผมทำลงไปนั้น ถือว่าบรรลุจุดประสงค์และสำเร็จแล้ว เราช่วยเหลือให้เค้าไม่เดือดร้อน นั่นคือสิ่งที่เราควรตระหนักและพอใจแล้วว่าเราทำสำเร็จ ส่วนเค้าจะมองเรายังไง นั่นเป็นอีกเรื่องนึง หากเค้าขอบคุณเรา นั่นคือโบนัส หากเค้ามองเราไม่ดี ก็ให้คิดว่าอย่างน้อยเราได้ช่วยคนๆนึงไม่ให้เดือดร้อน เพียงแค่นั้นก็คุ้มสำหรับสิ่งที่เราทำแล้วครับ
เห็นหลายคนถามมาว่า ผมลุกไปคืนชีทแล้วทำไมถึงกลับไปนั่งที่เดิมกับโจร?
หลังจากโจรสะกิดผมรอบ 2 และบอกให้ผมเอาชีทไปคืนเด็ก ผมมองว่าเราคุยกันเรื่องอื่นแล้ว เรื่องที่ผ่านมามันจบลงไปแล้ว จึงไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปย้ายที่ และผมว่าการที่เราไปย้ายที่ ฟังดูมันเหมือนปลอดภัยขึ้นแต่จริงๆมันอาจเป็นการ provocation หรือสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มโจรนั้นได้(รังเกียจพวกกูหรอ?) ส่วนเรื่องหนีลงรถนั่น มันไม่ใช่แนวทางของผมครับ
มีหลายคนถามผมมาอีกว่า ทำไมผมไม่นั่งริมหน้าต่าง แล้วโจรมันเข้าไปนั่งริมหน้าต่างได้ยังไง?
ผมเองจำไม่ได้เหมือนกันแต่คิดว่าน่าจะเพราะตอนผมขึ้นมีคนนั่งข้างในอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงนั่งริมทางเดิน พอคนลงผมก็เถิบให้เค้าออกแต่ไม่ได้ย้ายเข้าไปนั่งด้านในเพราะรถมันโล่งอยู่และที่นั่งด้านในช่วงล้อหลังมันจะมีเนินล้อซึ่งแคบกว่าที่นั่งริมทางเดิน และผมขายาวเลยสะดวกนั่งด้านนอก ที่จีนไม่มีธรรมเนียมว่ามาก่อนให้นั่งใน มาหลังให้นั่งนอกครับ ใครอยากนั่งตรงไหนก็นั่งได้เลย ถ้าคนมาทีหลังจะเข้าก็แค่กระเถิบให้เดินเข้าไป รถเมล์ที่จีนใหญ่ครับแทรกเข้าไปได้ไม่ยาก
หลายคนถามผมเพิ่มอีกว่าทำไมผมไม่เดินตามนร.หญิงคนนั้นลงไป
1. ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องลงตามเค้าไป สายตาที่เค้ามองผมบนรถ ชัดเจนอยู่แล้วว่าผมไม่สามารถเนียนต่อไปได้ว่ารู้จักกับเค้า
2. ถ้าโจรจะทำผม ก็คงทำเพราะโมโหที่โดนผมหลอก ตั้งแต่ตอนที่นร.หญิงหันมามองผม แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรซึ่งก็ดีอยู่แล้ว ผมจึงไม่อยากสร้างความเสี่ยงอะไรขึ้นมาใหม่อีก นั่งเฉยๆนิ่งๆไปจนถึงสถานีที่ตัวเองจะลง ดีที่สุด
3. การที่ผมเดินตามนร.หญิงลงไป ไม่ได้การันตีว่าพวกโจรจะไม่เดินตามผมลงมาปล้น ปล้นบนพื้น หนีง่ายและสะดวกกว่าปล้นบนรถนะครับ จะหนีทางไหนก็ได้
4. หากคุณเป็นนร.หญิงคนนั้นและเข้าใจผิดว่าผมเป็นโจรที่พยายามล้วงกระเป๋าคุณ แล้วตอนเดินลงรถผมยังเดินตามคุณลงมาอีก คุณจะกลัวผมมั้ย? จะหันกลับไปโวยวายให้คนได้ยินและช่วย จะด่าเสียงดังๆให้ผมตกใจและเลิกขโมย หรือจะวิ่งหนีผมมั้ย? แค่สายตาที่มองบนรถ ผมก็หน้าแตกพออยู่แล้ว เดินลงตามเค้าไปอาจเจอหนักกว่าเดิมอีก เผลอๆโจรจากที่มันเงียบๆ พอเห็นแล้วอาจจะเข้ามาร่วมวงก็ได้ สถานการณ์วุ่นวาย ไม่รู้ใครเป็นใคร โจรยิ่งทำอะไรง่ายเข้าไปใหญ่
จริงๆผมแค่ต้องการตั้งกระทู้เตือนภัย ว่าการที่เรากอดกระเป๋าไว้ในขณะหลับบนรถโดยสารไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป โจรใจกล้าหน้าด้านล้วงมาหยิบแบบนี้ มันมีอยู่ครับ อยากให้ระวังกัน แค่นั้นเอง