
สมัยก่อนเรามีแค่กล้องฟิล์มใช้ จะถ่ายรูปทีก็ต้องโพสท่าที่ต้องคิดแล้วคิดอีกเพราะกดชัทเตอร์หนึ่งทีหมายถึงฟิล์มหนึ่งบานถ่ายแล้วติดเลย ไม่ว่าจะล้างออกมาแล้วยิ้มแหย ตาเข ก็ต้องทำใจยอมรับ ไม่มีที่จะมาไฮเทครีทัชได้เหมือนกับรูปที่เกิดจากกล้องดิจิตอลในปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่พัฒนามาไกล บวกกับโลกออนไลน์ที่ทำให้ทุกคนเชื่อมถึงกันได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วคลิก ปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่ายก็ตามมา
เราไม่ขอเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ในเรื่องนี้ แน่นอนว่าทั่วโลกกำลังพัฒนาเรื่อง "การเคารพลิขสิทธิ์" ไปในทิศทางเดียวกัน แต่เมื่อพื้นฐานและปัจจัยของแต่ละประเทศนั้นต่างกัน การบอกว่า "ประเทศคุณไม่พัฒนา คนยังโหลดฟรีเต็มไปหมดอยู่เลย" ก็อาจจะฟังดูใจแคบไป
เราขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาของเราเอง ย้อนไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2554 เป็นช่วงที่เรารับปริญญา เราจ้างช่างภาพมาถ่ายรูปสองวัน วันซ้อมกับวันจริง ช่างภาพอิสระสองคนมาถ่ายให้เราคนละวัน ค่าจ้างวันละ 3-4 พัน เราออกค่าใช้จ่ายเองเพราะทำงานมีรายได้แล้ว
วันซ้อมเราถ่ายกับเพื่อนๆ มีทั้งบัณฑิตด้วยกันและผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดี มีการโพสถ่ายภาพต่างๆ นาๆ ตามสไตล์เด็กจบใหม่ที่ดีใจว่าเรียนจบ ซึ่งแน่นอนว่าทุกท่าที่โพสอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ทำให้เครื่องแบบพระราชทานที่สวมอยู่เสื่อมเสีย วันนั้นพอพี่ตากล้องถ่ายเสร็จก็แยกย้ายกัน อีกสองอาทิตย์ถัดมาพี่เค้าก็ส่งซีดีไฟล์ภาพมาให้ ไม่มีการเอาภาพของเราลงโลกออนไลน์แต่อย่างใด ผ่านมาแล้วสองปีรูปก็ยังอยู่แค่ในซีดีเหมือนเดิม
ส่วนวันจริง เป็นวันที่ครอบครัวเรามาร่วมงาน มีพ่อ แม่ ป้าและน้องชาย จังหวะถึงวันรับจริงนี่เราเริ่มเหนื่อยกับการถ่ายภาพเฮฮาแล้ว เราตั้งใจมาวันจริงเพื่อรูปแค่สองบาน ภาพถ่ายที่เราวาดไว้ในหัวตั้งแต่สอบติดเข้ามหาลัยได้ ภาพแรกคือภาพรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตพระเทพฯ และภาพที่สอง ภาพเราก้มกราบพ่อกับแม่ สองพระอรหันต์ที่ส่งเสียเราจนเรียนจบและทำให้มีเราในทุกวันนี้
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นที่มาของภาพที่สองซึ่งเราไม่เคยแชร์ให้ใครฟังมาก่อน เราเป็นเด็กบ้านนอก ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย การเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แม้เราจะเป็นนักเรียนทุน แต่พ่อกับแม่เราก็เหนื่อยไม่น้อยเลยหละ ตอนเรียนต่างจังหวัดเราก็ได้เกรดสี่เกือบทุกปี แต่พอเข้ามาเรียนมหาลัยนี่เจอเลขสองเข้าไปแล้วน้ำตามันก็ร่วงไง ถามว่าท้อไหม บอกเลยว่ามาก โชคดีที่เรามีเพื่อนเก่งและดี ให้กำลังใจกันตลอด คะแนนกลางภาคเราออกมาเน่าก็ช่วยกันติวช่วยกันอ่าน แต่พอถึงเวลาที่มันหดหู่หนักมากๆ เพื่อนก็ช่วยไม่ได้นะ อย่างเช่น F สองตัวซ้อนวิชาหลักเป็นต้น สิ่งที่ทำให้เรารอด ล้มแล้วลุกได้ตอนเฟลหนักๆ คือการคิดถึงว่าพ่อกับแม่เหนื่อยเพื่อเราขนาดไหน แล้วจินตนาการภาพเราเองใส่ชุดครุยแถบสีเลือดหมู ติดตราพระเกี้ยว ก้มกราบเท้าทั้งสองท่านในวันรับปริญญา บอกท่านว่า หนูทำสำเร็จแล้วนะ ปริญญานี้ของพ่อกับแม่จ้ะ มันทำให้เรารู้สึกว่าหนักกว่านี้ก็ไหว แล้วน้ำตาที่ไหลมันคือน้ำตาแห่งความปิติไม่ใช่น้ำตาคนแพ้อ่ะ
เราขอให้พี่ตากล้องถ่ายภาพเรากราบพ่อแม่ให้ตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน เพราะคนเยอะแล้วพี่ตากล้องก็เป็นคนที่เต็มที่กับงานถ่ายภาพมาก พี่เค้ามาคนเดียว ไม่มีทีมงาน แบกกล้องสองตัวพร้อมแฟลชอันใหญ่ เรียกได้ว่ายกมาครบเซ็ตจริงๆ พอได้ภาพนั้นเราก็เลยบอกว่าพี่กลับเลยก็ได้ค่ะ พอแล้ว แต่พี่ตากล้องใจดีมากกลัวเราขาดทุน ยืนยันอยู่ถ่ายให้เราจนถึงเย็น จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ เราจ่ายค่าจ้างให้พี่ตากล้องล่วงหน้าทั้งหมดในเย็นวันนั้น และอีกราวหนึ่งเดือนถัดมาเราก็ได้ซีดีไฟล์ภาพถ่ายวันรับจริง ซึ่งก็ยังอยู่แค่ในซีดีเช่นกัน
ในช่วงเวลาก่อนรับซีดีไฟล์รูป เรากับพี่ตากล้องก็มีติดต่อกันบ้างผ่านเฟชบุ๊ค มีวันหนึ่งพี่เค้าก็ส่งลิ้งพันทิพมาให้ บอกว่าภาพของเราได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ จากนั้นพี่เค้าก็ขออนุญาตเราเอารูปไปลง ภาพดังกล่าวก็คือภาพที่เรากราบพ่อแม่ค่ะ โพสลงพันทิพโดยพี่ช่างภาพเอง ไม่มีการ Process และการลงลายน้ำแสดงความเป็นเจ้าของแต่อย่างใด
มีคนให้ความสนใจภาพเยอะพอตัวจนได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ พอเห็นอย่างนั้นเราก็ดีใจที่ภาพของเรามีคุณค่าทางจิตใจ มีความหมาย มีคนชื่นชม เพื่อนๆ ที่สนิทเราพอรู้เข้าก็มีมาแซวบ้างว่าดังใหญ่แล้วนะ แต่เรื่องจริงคือเราไม่เคยคิดในแง่นั้นเลย พ่อแม่เราไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ไม่มีคนรู้จักท่านนอกจากญาติๆ ของเรา ตัวเราเองก็ก้มลงกราบท่านทั้งสอง เห็นแค่ด้านข้าง ไม่มีใครรู้ว่าเด็กผู้หญิงในภาพเป็นใคร อีกอย่างคนเหล่านั้นก็ชอบที่ตัวภาพ ไม่ใช่ตัวบุคคล มาตั้งแต่ต้น
แล้วเรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ มีเฟจของร้านหนังสือชื่อดังเอารูปนั้นไปโพสแต่ไม่ได้ให้เครดิตพี่ช่างภาพ ร้อนไปถึงเหล่าช่างภาพที่รับไม่ได้กับเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ มีการเรียกร้องให้ขอโทษและใส่เครดิตเพิ่มเข้าไป ซึ่งทางเฟจก็ได้ทำให้หลังจากที่มีการเรียกร้องกันหนักข้อขึ้น นอกจากเฟจหนังสือชื่อดังแล้วก็ยังมีเฟจอื่นๆ ประปรายที่เอารูปนี้ไปใช้แล้วไม่ให้เครดิตช่างภาพ ตอนนั้นเราไม่ได้แสดงตัว ไม่แสดงความเป็นเจ้าของภาพ แต่ลึกๆ ก็เห็นใจหัวอกคนเป็นตากล้องอยู่เหมือนกัน ลองคิดดูว่าถ้าเราทำงานดีมีผลงาน วันหนึ่งมีคนเอาผลงานของเราไปใช้แต่ไม่ให้เครดิตอะไรเราเลย มันก็น่าเสียกำลังใจเหมือนกัน จริงไหมคะ
เวลาผ่านไป 2 ปี เรื่องก็เงียบๆ ไป เราเองก็ยุ่งๆ กับงาน จนเมื่อวานนี้เพื่อนเราคนหนึ่ง แชร์รูปนั้นให้เราบนวอลเฟชบุ๊คอีกครั้ง คราวนี้เป็นเพจของพระสงฆ์รูปหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาทั้วโลก รูปที่นำไปใช้ไม่รู้ว่าได้มาจากที่ไหน ไฟล์ภาพแตกไม่คมชัด มีการเติมคำพูดลงไปว่าเคารพพ่อแม่มีแต่เจริญ รอบนี้มีคนกดไลค์สามแสนกว่าคน แวบแรกเราดีใจที่ภาพของเราได้มีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่ก็มีแวบถัดมาก็คือห่วงพระสงฆ์ผู้หวังเผยแพร่พระพุทธศาสนากับความรู้สึกของพี่ตากล้องผู้โดนพรากผลงาน ทั้งคู่กำลังตกเป็นเหยื่อของความที่ประเทศไทยเรายังไม่มีความรู้และเสถียรภาพของเรื่องลิขสิทธิ์ที่มากพอ
เรื่องมุมของคนเป็นตากล้องนั้นเราได้อธิบายไปแล้ว ส่วนมุมของคนเอาภาพไปใช้แต่ไม่ได้ให้เครดิตนี่มองได้หลายอย่าง แต่ที่เราคิดว่าที่เป็นกันมากคือ ความไม่รู้ ความรู้เรื่องลิขสิทธิ์ยังรู้กันแคบๆ ในวงคนทำงานที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนใหญ่ กฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีก็ไม่ได้มีผลบังคับใช้จริงจัง แถมการฟ้องร้องเอาความก็ยังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่มีคนออกมาเรียกร้องเมื่อเกิดเหตุการณ์เอารูปไปใช้แบบไม่ให้เครดิต หมายความว่ามีคนตระหนักเห็นความสำคัญของเรื่องนี้อยู่พอสมควร และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสัญญาณดีว่าเรากำลังพัฒนาไปข้างหน้า แต่ก่อนจะถึงวันนั้นก็ต้องอาศัยเวลาพอสมควรและรวมถึงความร่วมมือของหลายๆ ฝ่าย
เราเองไม่ใช่นักกฎหมาย และไม่มีกำลังพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องลิขสิทธิ์ เป็นแค่นักเขียนไร้ชื่อ ที่อยากแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองที่มี โดยบทความนี้เขียนขึ้นด้วยสองจุดประสงค์หลัก คือหวังให้คนตระหนักถึงลิขสิทธิ์ของภาพมากขึ้น และหวังให้คนในวงการถ่ายภาพเข้าใจสถานการณ์ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาและใจเย็นมากขึ้น ถ้าเจอคนที่เอาภาพผลงานพี่ๆ ไปใช้อย่าเพิ่งไปใช้ไม้แข็งประนามเค้าให้อับอายเลยนะคะ ไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่าเป็นขโมย อีกทั้งโอกาสได้ประโยชน์จากวิธีนี้ก็มีน้อย และสงสารคนที่แชร์ภาพด้วยเจตนาดีแต่ติดตรงความไม่รู้ด้วย ซึ่งกรณีนี้เราคิดว่าแค่คุยกันง่ายๆ เค้าก็คงขอโทษและยินดีเติมเครดิตให้ แต่สำหรับคนที่รู้แต่ยังยืนยันที่จะทำต่อไปนี่ก็ไม่ไหว ใจเขาใจเรา อย่ารอให้ตัวเองโดนเอาเปรียบก่อนค่อยมารู้สึกเลยนะคะ
บทความโดย Pitch Taniteerawong
เครดิตช่างภาพ C4DART
ภาพถ่ายเป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ เรื่องใกล้ตัวที่คนไทยควรรู้
สมัยก่อนเรามีแค่กล้องฟิล์มใช้ จะถ่ายรูปทีก็ต้องโพสท่าที่ต้องคิดแล้วคิดอีกเพราะกดชัทเตอร์หนึ่งทีหมายถึงฟิล์มหนึ่งบานถ่ายแล้วติดเลย ไม่ว่าจะล้างออกมาแล้วยิ้มแหย ตาเข ก็ต้องทำใจยอมรับ ไม่มีที่จะมาไฮเทครีทัชได้เหมือนกับรูปที่เกิดจากกล้องดิจิตอลในปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่พัฒนามาไกล บวกกับโลกออนไลน์ที่ทำให้ทุกคนเชื่อมถึงกันได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้วคลิก ปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่ายก็ตามมา
เราไม่ขอเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ในเรื่องนี้ แน่นอนว่าทั่วโลกกำลังพัฒนาเรื่อง "การเคารพลิขสิทธิ์" ไปในทิศทางเดียวกัน แต่เมื่อพื้นฐานและปัจจัยของแต่ละประเทศนั้นต่างกัน การบอกว่า "ประเทศคุณไม่พัฒนา คนยังโหลดฟรีเต็มไปหมดอยู่เลย" ก็อาจจะฟังดูใจแคบไป
เราขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาของเราเอง ย้อนไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2554 เป็นช่วงที่เรารับปริญญา เราจ้างช่างภาพมาถ่ายรูปสองวัน วันซ้อมกับวันจริง ช่างภาพอิสระสองคนมาถ่ายให้เราคนละวัน ค่าจ้างวันละ 3-4 พัน เราออกค่าใช้จ่ายเองเพราะทำงานมีรายได้แล้ว
วันซ้อมเราถ่ายกับเพื่อนๆ มีทั้งบัณฑิตด้วยกันและผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดี มีการโพสถ่ายภาพต่างๆ นาๆ ตามสไตล์เด็กจบใหม่ที่ดีใจว่าเรียนจบ ซึ่งแน่นอนว่าทุกท่าที่โพสอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ทำให้เครื่องแบบพระราชทานที่สวมอยู่เสื่อมเสีย วันนั้นพอพี่ตากล้องถ่ายเสร็จก็แยกย้ายกัน อีกสองอาทิตย์ถัดมาพี่เค้าก็ส่งซีดีไฟล์ภาพมาให้ ไม่มีการเอาภาพของเราลงโลกออนไลน์แต่อย่างใด ผ่านมาแล้วสองปีรูปก็ยังอยู่แค่ในซีดีเหมือนเดิม
ส่วนวันจริง เป็นวันที่ครอบครัวเรามาร่วมงาน มีพ่อ แม่ ป้าและน้องชาย จังหวะถึงวันรับจริงนี่เราเริ่มเหนื่อยกับการถ่ายภาพเฮฮาแล้ว เราตั้งใจมาวันจริงเพื่อรูปแค่สองบาน ภาพถ่ายที่เราวาดไว้ในหัวตั้งแต่สอบติดเข้ามหาลัยได้ ภาพแรกคือภาพรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตพระเทพฯ และภาพที่สอง ภาพเราก้มกราบพ่อกับแม่ สองพระอรหันต์ที่ส่งเสียเราจนเรียนจบและทำให้มีเราในทุกวันนี้
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นที่มาของภาพที่สองซึ่งเราไม่เคยแชร์ให้ใครฟังมาก่อน เราเป็นเด็กบ้านนอก ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย การเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แม้เราจะเป็นนักเรียนทุน แต่พ่อกับแม่เราก็เหนื่อยไม่น้อยเลยหละ ตอนเรียนต่างจังหวัดเราก็ได้เกรดสี่เกือบทุกปี แต่พอเข้ามาเรียนมหาลัยนี่เจอเลขสองเข้าไปแล้วน้ำตามันก็ร่วงไง ถามว่าท้อไหม บอกเลยว่ามาก โชคดีที่เรามีเพื่อนเก่งและดี ให้กำลังใจกันตลอด คะแนนกลางภาคเราออกมาเน่าก็ช่วยกันติวช่วยกันอ่าน แต่พอถึงเวลาที่มันหดหู่หนักมากๆ เพื่อนก็ช่วยไม่ได้นะ อย่างเช่น F สองตัวซ้อนวิชาหลักเป็นต้น สิ่งที่ทำให้เรารอด ล้มแล้วลุกได้ตอนเฟลหนักๆ คือการคิดถึงว่าพ่อกับแม่เหนื่อยเพื่อเราขนาดไหน แล้วจินตนาการภาพเราเองใส่ชุดครุยแถบสีเลือดหมู ติดตราพระเกี้ยว ก้มกราบเท้าทั้งสองท่านในวันรับปริญญา บอกท่านว่า หนูทำสำเร็จแล้วนะ ปริญญานี้ของพ่อกับแม่จ้ะ มันทำให้เรารู้สึกว่าหนักกว่านี้ก็ไหว แล้วน้ำตาที่ไหลมันคือน้ำตาแห่งความปิติไม่ใช่น้ำตาคนแพ้อ่ะ
เราขอให้พี่ตากล้องถ่ายภาพเรากราบพ่อแม่ให้ตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน เพราะคนเยอะแล้วพี่ตากล้องก็เป็นคนที่เต็มที่กับงานถ่ายภาพมาก พี่เค้ามาคนเดียว ไม่มีทีมงาน แบกกล้องสองตัวพร้อมแฟลชอันใหญ่ เรียกได้ว่ายกมาครบเซ็ตจริงๆ พอได้ภาพนั้นเราก็เลยบอกว่าพี่กลับเลยก็ได้ค่ะ พอแล้ว แต่พี่ตากล้องใจดีมากกลัวเราขาดทุน ยืนยันอยู่ถ่ายให้เราจนถึงเย็น จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ เราจ่ายค่าจ้างให้พี่ตากล้องล่วงหน้าทั้งหมดในเย็นวันนั้น และอีกราวหนึ่งเดือนถัดมาเราก็ได้ซีดีไฟล์ภาพถ่ายวันรับจริง ซึ่งก็ยังอยู่แค่ในซีดีเช่นกัน
ในช่วงเวลาก่อนรับซีดีไฟล์รูป เรากับพี่ตากล้องก็มีติดต่อกันบ้างผ่านเฟชบุ๊ค มีวันหนึ่งพี่เค้าก็ส่งลิ้งพันทิพมาให้ บอกว่าภาพของเราได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ จากนั้นพี่เค้าก็ขออนุญาตเราเอารูปไปลง ภาพดังกล่าวก็คือภาพที่เรากราบพ่อแม่ค่ะ โพสลงพันทิพโดยพี่ช่างภาพเอง ไม่มีการ Process และการลงลายน้ำแสดงความเป็นเจ้าของแต่อย่างใด
มีคนให้ความสนใจภาพเยอะพอตัวจนได้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ พอเห็นอย่างนั้นเราก็ดีใจที่ภาพของเรามีคุณค่าทางจิตใจ มีความหมาย มีคนชื่นชม เพื่อนๆ ที่สนิทเราพอรู้เข้าก็มีมาแซวบ้างว่าดังใหญ่แล้วนะ แต่เรื่องจริงคือเราไม่เคยคิดในแง่นั้นเลย พ่อแม่เราไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ไม่มีคนรู้จักท่านนอกจากญาติๆ ของเรา ตัวเราเองก็ก้มลงกราบท่านทั้งสอง เห็นแค่ด้านข้าง ไม่มีใครรู้ว่าเด็กผู้หญิงในภาพเป็นใคร อีกอย่างคนเหล่านั้นก็ชอบที่ตัวภาพ ไม่ใช่ตัวบุคคล มาตั้งแต่ต้น
แล้วเรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ มีเฟจของร้านหนังสือชื่อดังเอารูปนั้นไปโพสแต่ไม่ได้ให้เครดิตพี่ช่างภาพ ร้อนไปถึงเหล่าช่างภาพที่รับไม่ได้กับเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ มีการเรียกร้องให้ขอโทษและใส่เครดิตเพิ่มเข้าไป ซึ่งทางเฟจก็ได้ทำให้หลังจากที่มีการเรียกร้องกันหนักข้อขึ้น นอกจากเฟจหนังสือชื่อดังแล้วก็ยังมีเฟจอื่นๆ ประปรายที่เอารูปนี้ไปใช้แล้วไม่ให้เครดิตช่างภาพ ตอนนั้นเราไม่ได้แสดงตัว ไม่แสดงความเป็นเจ้าของภาพ แต่ลึกๆ ก็เห็นใจหัวอกคนเป็นตากล้องอยู่เหมือนกัน ลองคิดดูว่าถ้าเราทำงานดีมีผลงาน วันหนึ่งมีคนเอาผลงานของเราไปใช้แต่ไม่ให้เครดิตอะไรเราเลย มันก็น่าเสียกำลังใจเหมือนกัน จริงไหมคะ
เวลาผ่านไป 2 ปี เรื่องก็เงียบๆ ไป เราเองก็ยุ่งๆ กับงาน จนเมื่อวานนี้เพื่อนเราคนหนึ่ง แชร์รูปนั้นให้เราบนวอลเฟชบุ๊คอีกครั้ง คราวนี้เป็นเพจของพระสงฆ์รูปหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาทั้วโลก รูปที่นำไปใช้ไม่รู้ว่าได้มาจากที่ไหน ไฟล์ภาพแตกไม่คมชัด มีการเติมคำพูดลงไปว่าเคารพพ่อแม่มีแต่เจริญ รอบนี้มีคนกดไลค์สามแสนกว่าคน แวบแรกเราดีใจที่ภาพของเราได้มีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่ก็มีแวบถัดมาก็คือห่วงพระสงฆ์ผู้หวังเผยแพร่พระพุทธศาสนากับความรู้สึกของพี่ตากล้องผู้โดนพรากผลงาน ทั้งคู่กำลังตกเป็นเหยื่อของความที่ประเทศไทยเรายังไม่มีความรู้และเสถียรภาพของเรื่องลิขสิทธิ์ที่มากพอ
เรื่องมุมของคนเป็นตากล้องนั้นเราได้อธิบายไปแล้ว ส่วนมุมของคนเอาภาพไปใช้แต่ไม่ได้ให้เครดิตนี่มองได้หลายอย่าง แต่ที่เราคิดว่าที่เป็นกันมากคือ ความไม่รู้ ความรู้เรื่องลิขสิทธิ์ยังรู้กันแคบๆ ในวงคนทำงานที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนใหญ่ กฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีก็ไม่ได้มีผลบังคับใช้จริงจัง แถมการฟ้องร้องเอาความก็ยังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่มีคนออกมาเรียกร้องเมื่อเกิดเหตุการณ์เอารูปไปใช้แบบไม่ให้เครดิต หมายความว่ามีคนตระหนักเห็นความสำคัญของเรื่องนี้อยู่พอสมควร และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสัญญาณดีว่าเรากำลังพัฒนาไปข้างหน้า แต่ก่อนจะถึงวันนั้นก็ต้องอาศัยเวลาพอสมควรและรวมถึงความร่วมมือของหลายๆ ฝ่าย
เราเองไม่ใช่นักกฎหมาย และไม่มีกำลังพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องลิขสิทธิ์ เป็นแค่นักเขียนไร้ชื่อ ที่อยากแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองที่มี โดยบทความนี้เขียนขึ้นด้วยสองจุดประสงค์หลัก คือหวังให้คนตระหนักถึงลิขสิทธิ์ของภาพมากขึ้น และหวังให้คนในวงการถ่ายภาพเข้าใจสถานการณ์ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังพัฒนาและใจเย็นมากขึ้น ถ้าเจอคนที่เอาภาพผลงานพี่ๆ ไปใช้อย่าเพิ่งไปใช้ไม้แข็งประนามเค้าให้อับอายเลยนะคะ ไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่าเป็นขโมย อีกทั้งโอกาสได้ประโยชน์จากวิธีนี้ก็มีน้อย และสงสารคนที่แชร์ภาพด้วยเจตนาดีแต่ติดตรงความไม่รู้ด้วย ซึ่งกรณีนี้เราคิดว่าแค่คุยกันง่ายๆ เค้าก็คงขอโทษและยินดีเติมเครดิตให้ แต่สำหรับคนที่รู้แต่ยังยืนยันที่จะทำต่อไปนี่ก็ไม่ไหว ใจเขาใจเรา อย่ารอให้ตัวเองโดนเอาเปรียบก่อนค่อยมารู้สึกเลยนะคะ
บทความโดย Pitch Taniteerawong
เครดิตช่างภาพ C4DART