เรื่องโค้ชทำร้ายนักกีฬา (coaching abuse) เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในสังคมเจริญแล้ว การทำร้ายนักกีฬา อย่าว่าแต่ทำร้ายด้วยกำลังเลย แม้แต่การทำร้ายด้วยวาจา หรือทางอารมณ์ สังคมเจริญแล้วเขาก็ไม่ยอมรับกัน
ผู้เชี่ยวชาญ และงานวิจัยทางวิชาการหลายฉบับสรุปออกมาตรงกันว่า การทำร้ายนักกีฬาไม่ว่าวิธีการใดๆ จะเป็นผลเสียระยะยาวต่อตัวนักกีฬาเอง โดยเฉพาะเด็กๆ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินเนโซต้า Nicole LaVoi ชี้ว่า เด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงในวงการกีฬา จะมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล กลัวความล้มเหลว ก้าวร้าวทั้งทางวาจาและท่าทาง ทำผลงานไม่ดี และหมดไฟ [1]
งานวิจัยอีกฉบับจากมหาวิทยาลัยเคลมสันชื่อ “การใช้คำพูดก้าวร้าวของโค้ช: กรณีศึกษาถึงผลของแรงจูงใจ และความน่าเชื่อถือของโคช” ที่ลงในวารสาร International Journal of Sport Communication บอกว่า การใช้คำพูดแรงๆเพื่อกระตุ้นนักกีฬานั้นใช้ไม่ได้ผล และจะทำให้นักกีฬามองโค้ชในแง่ลบ [2]
ดร. Paul Dennis นักจิตวิทยาทางกีฬาเสริมว่า การที่โค้ชทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ จะส่งเสริมความรุนแรง และทำร้ายพัฒนาการของนักกีฬาอายุน้อยๆ
โค้ชที่ใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก งานวิจัยโดย ดร. Mariya Yukhymenko แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอย ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Sport, Exercise, and Performance Psychology ชี้ว่า นักกีฬาที่มีโค้ชใช้ความรุนแรง จะมีความรู้ผิดชอบชั่วดีน้อยลง และเต็มใจที่จะโกง [3]
เรื่อง coaching abuse ในอเมริกา ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อปีที่แล้วมีโค้ชบาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 2 คน (โค้ชผู้ชายสองคน และผู้อำนวยการด้านกีฬาที่รับผิดชอบเรื่องการเลือกโคชอีกหนึ่งคน) ต้องออกจากตำแหน่ง เพราะมีประเด็นเรื่องใช้ความรุนแรงกับนักกีฬา จนทำให้ต้องมีการรณรงค์ต่อต้านวิธีสอนนักกีฬาด้วยความรุนแรงเช่นนี้ ล่าสุดปีนี้โค้ชสตรีที่คุมบาสเก็ตบอลทีมหญิงของมหาวิทยาลัยบอสตันก็ต้องยอมลาออกไปอีกหนึ่งคน เพราะเกิดเหตการณ์ทำร้ายนักกีฬาทางอารมณ์ (emotional abuse) โคชสตรีคนนี้ถูกบีบให้ออก แม้จะทำทีมด้วยสถิติที่ดี และมีนักกีฬาส่วนหนึ่งที่สนับสนุนเธอ โดยฝั่งสนับสนุนบอกว่าโคชทำไปเพราะต้องการให้นักกีฬาได้ดี
นักเขียนคอลัมน์ของ Bloomberg สรุปว่า ใครที่ไม่สามารถเลิกสอนเด็กด้วยวิธีการเกรี้ยวกราด หรือตะคอกใส่เด็กได้ ก็ควรเลิกการเป็นโค้ชเสีย “เพราะนี่ไม่ใช่การสอนนักกีฬาแล้ว มันเป็นการทำร้ายเด็ก” [4]
อ้างอิง
[1]
http://www.thestar.com/sports/hockey/2010/07/08/outofcontrol_amateur_coaches_mentally_abuse_players.html
[2]
http://journals.humankinetics.com/ijsc-back-issues/ijsc-volume-6-issue-2-june/coach-verbal-aggression-a-case-study-examining-effects-on-athlete-motivation-and-perceptions-of-coach-credibility
[3]
http://www.apa.org/news/press/releases/2014/07/abusive-coaches.aspx
[4]
http://www.bloombergview.com/articles/2013-05-30/that-s-not-coaching-it-s-child-abuse-
นักวิจัยชี้ โค้ชทำร้ายนักกีฬาเป็นผลเสียต่อตัวนักกีฬาเอง
ผู้เชี่ยวชาญ และงานวิจัยทางวิชาการหลายฉบับสรุปออกมาตรงกันว่า การทำร้ายนักกีฬาไม่ว่าวิธีการใดๆ จะเป็นผลเสียระยะยาวต่อตัวนักกีฬาเอง โดยเฉพาะเด็กๆ
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินเนโซต้า Nicole LaVoi ชี้ว่า เด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงในวงการกีฬา จะมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล กลัวความล้มเหลว ก้าวร้าวทั้งทางวาจาและท่าทาง ทำผลงานไม่ดี และหมดไฟ [1]
งานวิจัยอีกฉบับจากมหาวิทยาลัยเคลมสันชื่อ “การใช้คำพูดก้าวร้าวของโค้ช: กรณีศึกษาถึงผลของแรงจูงใจ และความน่าเชื่อถือของโคช” ที่ลงในวารสาร International Journal of Sport Communication บอกว่า การใช้คำพูดแรงๆเพื่อกระตุ้นนักกีฬานั้นใช้ไม่ได้ผล และจะทำให้นักกีฬามองโค้ชในแง่ลบ [2]
ดร. Paul Dennis นักจิตวิทยาทางกีฬาเสริมว่า การที่โค้ชทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ จะส่งเสริมความรุนแรง และทำร้ายพัฒนาการของนักกีฬาอายุน้อยๆ
โค้ชที่ใช้ความรุนแรงกับเด็ก จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก งานวิจัยโดย ดร. Mariya Yukhymenko แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอย ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Sport, Exercise, and Performance Psychology ชี้ว่า นักกีฬาที่มีโค้ชใช้ความรุนแรง จะมีความรู้ผิดชอบชั่วดีน้อยลง และเต็มใจที่จะโกง [3]
เรื่อง coaching abuse ในอเมริกา ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อปีที่แล้วมีโค้ชบาสเก็ตบอลมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 2 คน (โค้ชผู้ชายสองคน และผู้อำนวยการด้านกีฬาที่รับผิดชอบเรื่องการเลือกโคชอีกหนึ่งคน) ต้องออกจากตำแหน่ง เพราะมีประเด็นเรื่องใช้ความรุนแรงกับนักกีฬา จนทำให้ต้องมีการรณรงค์ต่อต้านวิธีสอนนักกีฬาด้วยความรุนแรงเช่นนี้ ล่าสุดปีนี้โค้ชสตรีที่คุมบาสเก็ตบอลทีมหญิงของมหาวิทยาลัยบอสตันก็ต้องยอมลาออกไปอีกหนึ่งคน เพราะเกิดเหตการณ์ทำร้ายนักกีฬาทางอารมณ์ (emotional abuse) โคชสตรีคนนี้ถูกบีบให้ออก แม้จะทำทีมด้วยสถิติที่ดี และมีนักกีฬาส่วนหนึ่งที่สนับสนุนเธอ โดยฝั่งสนับสนุนบอกว่าโคชทำไปเพราะต้องการให้นักกีฬาได้ดี
นักเขียนคอลัมน์ของ Bloomberg สรุปว่า ใครที่ไม่สามารถเลิกสอนเด็กด้วยวิธีการเกรี้ยวกราด หรือตะคอกใส่เด็กได้ ก็ควรเลิกการเป็นโค้ชเสีย “เพราะนี่ไม่ใช่การสอนนักกีฬาแล้ว มันเป็นการทำร้ายเด็ก” [4]
อ้างอิง
[1] http://www.thestar.com/sports/hockey/2010/07/08/outofcontrol_amateur_coaches_mentally_abuse_players.html
[2] http://journals.humankinetics.com/ijsc-back-issues/ijsc-volume-6-issue-2-june/coach-verbal-aggression-a-case-study-examining-effects-on-athlete-motivation-and-perceptions-of-coach-credibility
[3] http://www.apa.org/news/press/releases/2014/07/abusive-coaches.aspx
[4] http://www.bloombergview.com/articles/2013-05-30/that-s-not-coaching-it-s-child-abuse-