
คือวันนี้ไปเห็นตอนพักเที่ยงครับ เห็นเธอคนนั้นทานข้าวเสร็จก็ยกมือไหว้ เลยอดสงสัยไม่ได้ จึงอยากจะต่อความยาว สาวความยืดหน่อยครับ
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นการทำแบบนี้ เหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ถูกอุปโหลกขึ้นมาเอง เป็นการสร้างความเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ส่วนมากก็จะเจอเวลาเราเข้าแคมป์ธรรมะ (โดนบังคับ) เวลาพบกันตอนเช้าก็ต้องพูดทักทาย "ธรรมะสวัสดี" เวลากินข้าว ก่อนกินก็ต้องระลึกถึงบุญคุณของอาหาร หลังกินก็ต้องยกมือไหว้เป็นอันว่าเสร็จ อาหารที่รับประทานนั้นก็จะเป็นอาหารประเภทอาหารเจ หรือไม่ก็กินผัก (สงสารกระเพาะและไม่เบียดเบียนสัตว์) บางคนทานข้าวเสร็จ ยกมือไหว้ กินอาหารในจานหมดทุกเม็ด (แม่เจ้า) แล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดจานจนสะอาด (แบบว่าคนล้างจานไม่ต้องเหนื่อย)
เพิ่งเห็นอะไรเหล่านี้ ก็ตอนที่โตขึ้นมานี่แหละครับ มันเกิดขึ้นตอนที่ลัทธิต่างๆกำลังแพร่หลาย เหมือนคำสอนและการปฏิบัติต่างๆ จะถูกดัดแปลงให้เกินไปจากที่เป็นอยู่ เข้าใจความคิดเขาว่าต้องการปรับปรุงสิ่งต่างๆให้มันดูดีที่สุด คือการจะเป็นคนดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุดทุกๆระเบียดนิ้ว จนบางครั้งคิดว่าการเป็นคนดีนี้ยากจริงๆน่ะครับ
จริงๆการเป็นคนดีนั้นไม่ได้ยากเย็นเลย เค้าว่าคนเราดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจเป็นหลัก คนเราต่อให้เรียบร้อยทุกอิริยาบถ พูดคุยแต่เรื่องบุญเรื่องทาน แต่จิตใจคิดแต่เพียงสร้างภาพให้ตนดูดีก็ไม่ถือว่าดีครับ แต่สำหรับคนดีด้วยประพฤติตนและพูดจาดีด้วย ก็ยิ่งดีไปใหญ่
กลับเข้าเรื่องเดิมที่ว่า "ทำไมต้องไหว้หลังกินข้าวเสร็จ" ผมคิดว่าเค้าต้องการขอบคุณหรือระลึกถึงคุณของอาหารที่ทานไป แสดงถึงความอ่อนน้อมต่อสิ่งต่างๆ ส่วนการเช็ดช้อนจานหลังทานเสร็จก็เหมือนกัน คือต้องการฝึกการเป็นคนรักสะอาด ส่วนการข้าวหมดทุกเม็ดก็คงจะแสดงถึงความรู้ค่าของอาหารประมาณนี้ อันที่จริงคนสมัยก่อนเค้าก็มีสอนลูกหลานมาก่อนแล้ว มันเป็นวิธีที่คนธรรมดาๆทุกคนสามารถปฏิบัติได้ คือ ก่อนกินข้าวก็ต้องนั่งให้เรียบร้อย เป็นการให้เกียรติแก่พระแม่โพสพ ตอนทานอาหารก็อย่าพูดมากหรือร้องเพลงถือเป็นการไม่สมควร, ไม่เดินข้ามอาหาร, ตักอาหารแต่พอรับประทาน ไม่ควรทานเหลือ (เหลือมากๆ แต่ไม่ใช่ว่าต้องหมดทุกเม็ด) หากอาหารเหลือก็เอาให้หมาแมว เป็นการทำคุณค่าให้แก่อาหารได้ยิ่งขึ้นไปอีก
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มีมาก่อนแล้ว และผมคิดว่าหลายคนก็ทราบดีและปฏิบัติกันอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่เหนือวิสัยคนธรรมดาจะทำตาม และไม่ดูแปลกในสายตาคนทั่วไป แต่เป็นสิ่งที่ดูดีตราบเท่าทุกวัน การไปอุปโหลกหรือปรับเปลี่ยนสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้มันดูเว่อร์ ดูเกิน ผมมองว่ามันไม่ค่อยโอเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ดี ใครที่ทำแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีน่ะครับ มันแล้วแต่ความคิดส่วนบุคคล แล้วแต่ว่าใครจะเชื่อและปฏิบัติแบบไหนเท่านั้นเอง
คนสมัยนี้ชอบพูดว่า สังคมสมัยนี้อยู่ยาก ผมคิดว่าไม่จริงหรอกครับ มันเป็นอย่างไรก็อย่างงั้นมาเสมอ มีแต่คนเรานี่แหละที่เปลี่ยนแปลงไป พยายามไปเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆเมื่อเห็นว่ามันเริ่มล้าสมัย หรือ มันไม่แตกต่างจากคนอื่น ด้วยเหตุนี้เอง สังคมจึงอยู่ยากสำหรับใครหลายคน สำหรับผมแล้วยังยึดติดกับคำสอนดีๆ ขนบธรรมเนียมที่ดีงามตามแบบชาวพุทธ ถึงมันจะดูไม่ทันสมัย แต่เชื่อว่าปฏิบัตแล้วก็ดูดี ไม่แปลกหูแปลกตา เป็นคนดีในแบบใครก็เอาอย่างได้ครับ
กินข้าวเสร็จแล้วไหว้...แบบนี้มาจากสำนักไหนครับ
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นการทำแบบนี้ เหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ถูกอุปโหลกขึ้นมาเอง เป็นการสร้างความเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ส่วนมากก็จะเจอเวลาเราเข้าแคมป์ธรรมะ (โดนบังคับ) เวลาพบกันตอนเช้าก็ต้องพูดทักทาย "ธรรมะสวัสดี" เวลากินข้าว ก่อนกินก็ต้องระลึกถึงบุญคุณของอาหาร หลังกินก็ต้องยกมือไหว้เป็นอันว่าเสร็จ อาหารที่รับประทานนั้นก็จะเป็นอาหารประเภทอาหารเจ หรือไม่ก็กินผัก (สงสารกระเพาะและไม่เบียดเบียนสัตว์) บางคนทานข้าวเสร็จ ยกมือไหว้ กินอาหารในจานหมดทุกเม็ด (แม่เจ้า) แล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดจานจนสะอาด (แบบว่าคนล้างจานไม่ต้องเหนื่อย)
เพิ่งเห็นอะไรเหล่านี้ ก็ตอนที่โตขึ้นมานี่แหละครับ มันเกิดขึ้นตอนที่ลัทธิต่างๆกำลังแพร่หลาย เหมือนคำสอนและการปฏิบัติต่างๆ จะถูกดัดแปลงให้เกินไปจากที่เป็นอยู่ เข้าใจความคิดเขาว่าต้องการปรับปรุงสิ่งต่างๆให้มันดูดีที่สุด คือการจะเป็นคนดีก็ต้องดีให้ถึงที่สุดทุกๆระเบียดนิ้ว จนบางครั้งคิดว่าการเป็นคนดีนี้ยากจริงๆน่ะครับ
จริงๆการเป็นคนดีนั้นไม่ได้ยากเย็นเลย เค้าว่าคนเราดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจเป็นหลัก คนเราต่อให้เรียบร้อยทุกอิริยาบถ พูดคุยแต่เรื่องบุญเรื่องทาน แต่จิตใจคิดแต่เพียงสร้างภาพให้ตนดูดีก็ไม่ถือว่าดีครับ แต่สำหรับคนดีด้วยประพฤติตนและพูดจาดีด้วย ก็ยิ่งดีไปใหญ่
กลับเข้าเรื่องเดิมที่ว่า "ทำไมต้องไหว้หลังกินข้าวเสร็จ" ผมคิดว่าเค้าต้องการขอบคุณหรือระลึกถึงคุณของอาหารที่ทานไป แสดงถึงความอ่อนน้อมต่อสิ่งต่างๆ ส่วนการเช็ดช้อนจานหลังทานเสร็จก็เหมือนกัน คือต้องการฝึกการเป็นคนรักสะอาด ส่วนการข้าวหมดทุกเม็ดก็คงจะแสดงถึงความรู้ค่าของอาหารประมาณนี้ อันที่จริงคนสมัยก่อนเค้าก็มีสอนลูกหลานมาก่อนแล้ว มันเป็นวิธีที่คนธรรมดาๆทุกคนสามารถปฏิบัติได้ คือ ก่อนกินข้าวก็ต้องนั่งให้เรียบร้อย เป็นการให้เกียรติแก่พระแม่โพสพ ตอนทานอาหารก็อย่าพูดมากหรือร้องเพลงถือเป็นการไม่สมควร, ไม่เดินข้ามอาหาร, ตักอาหารแต่พอรับประทาน ไม่ควรทานเหลือ (เหลือมากๆ แต่ไม่ใช่ว่าต้องหมดทุกเม็ด) หากอาหารเหลือก็เอาให้หมาแมว เป็นการทำคุณค่าให้แก่อาหารได้ยิ่งขึ้นไปอีก
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มีมาก่อนแล้ว และผมคิดว่าหลายคนก็ทราบดีและปฏิบัติกันอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่เหนือวิสัยคนธรรมดาจะทำตาม และไม่ดูแปลกในสายตาคนทั่วไป แต่เป็นสิ่งที่ดูดีตราบเท่าทุกวัน การไปอุปโหลกหรือปรับเปลี่ยนสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้มันดูเว่อร์ ดูเกิน ผมมองว่ามันไม่ค่อยโอเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ดี ใครที่ทำแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีน่ะครับ มันแล้วแต่ความคิดส่วนบุคคล แล้วแต่ว่าใครจะเชื่อและปฏิบัติแบบไหนเท่านั้นเอง
คนสมัยนี้ชอบพูดว่า สังคมสมัยนี้อยู่ยาก ผมคิดว่าไม่จริงหรอกครับ มันเป็นอย่างไรก็อย่างงั้นมาเสมอ มีแต่คนเรานี่แหละที่เปลี่ยนแปลงไป พยายามไปเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆเมื่อเห็นว่ามันเริ่มล้าสมัย หรือ มันไม่แตกต่างจากคนอื่น ด้วยเหตุนี้เอง สังคมจึงอยู่ยากสำหรับใครหลายคน สำหรับผมแล้วยังยึดติดกับคำสอนดีๆ ขนบธรรมเนียมที่ดีงามตามแบบชาวพุทธ ถึงมันจะดูไม่ทันสมัย แต่เชื่อว่าปฏิบัตแล้วก็ดูดี ไม่แปลกหูแปลกตา เป็นคนดีในแบบใครก็เอาอย่างได้ครับ