100วันทีวีดิจิตอลฝันหวานธุรกิจสู่วิกฤตินายทุน

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฏาคม 2014 เวลา 10:05 น.     กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ     ข่าวหน้า1     - คอลัมน์ : วิเคราะห์




การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล ที่ถูกจับตาจะพลิกประวัติศาสตร์วงการทีวีไทย ที่ยกระดับให้เทียบเท่าสากล ก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อการประมูลแล้วเสร็จ จนได้ผู้ประกอบการ 24 ช่องธุรกิจตามเป้าประสงค์ และยิ่งส่องประกายความสำเร็จ เมื่อเริ่มทดลองออกอากาศครั้งแรก 1 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา จนบัดนี้ผ่าน 100 วันเต็มที่ทีวีดิจิตอลเกิดขึ้นในเมืองไทย แต่ "โอกาส" ที่หลายคนเคยวาดฝันไว้ ทั้งจากฟากผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล , ผู้ผลิตคอนเทนต์ , ตัวแทนโฆษณา , โปรดักต์ชัน เฮาส์ , แบรนด์สินค้าต่างๆ ฯลฯ กำลังกลายเป็นฝันร้าย จากปัญหาไม่คาดคิดที่ทับถมโดยยังไร้หนทางแก้ไข

++ สางปัญหาโครงข่าย
     "อุปสรรคที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินการมาจนถึงทุกวันนี้ ยังมีต่อเนื่องและเป็นปัญหาเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงข่ายสัญญาณทีวีดิจิตอล ที่กำหนดจะครอบคลุม 10 ล้านครัวเรือน ภายในวันที่ 1 มิถุนายน แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีเค้าลางว่าจะสำเร็จได้ตามเป้าหมาย" ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลรายหนึ่งกล่าว
    พร้อมชี้แจงว่า เริ่มต้นเรื่องของปัญหาโครงข่าย ซึ่งมีผู้ประกอบการได้รับอนุญาตให้บริการ 4 ราย ได้แก่  ททบ.5 , อสมท ,  กรมประชาสัมพันธ์และไทยพีบีเอส  ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการเหล่านี้ ดูเหมือนจะมีความพร้อม และมีศักยภาพมากพอ ทำให้ได้รับการแต่งตั้ง แต่เมื่อตรวจสอบในเชิงลึกกลับพบว่า ยังมีปัญหาเกิดขึ้น  เช่น การให้บริการโครงข่ายฯ ของททบ.5 แม้ในขณะนี้จะสามารถขยายโครงข่ายได้ครอบคลุม 11 จังหวัด ตามที่ กสทช.ระบุไว้ได้ครบถ้วนแล้ว แต่เกิดปัญหาเรื่องคุณภาพการรับสัญญาณภาพและเสียง ประชาชนบางพื้นที่ในเขตให้บริการไม่สามารถรับชมได้ เช่นเดียวกับไทยพีบีเอสที่มีลักษณะคล้ายกัน
    ส่วนโครงข่ายที่มีปัญหาใหญ่และยังไม่ลงตัว หนีไม่พ้นโครงข่ายของ อสมท และกรมประชาสัมพันธ์เพราะอสมทมีปัญหาเรื่องของการจัดซื้ออุปกรณ์ที่ผิดสเปกมา กลายเป็นปัญหาเรื้อรังในองค์กร ส่งผลให้การออกอากาศยังไม่ครอบคลุม
    ด้านโครงข่ายของกรมประชาสัมพันธ์ ที่ผ่านมาก็ดูท่าทียังไม่มีความคืบหน้า  อีกทั้งในขณะนี้ยังไม่ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์โครงข่ายใดๆ และมีข่าวแว่วมาว่า กำลังรอการทบทวนเงินจากสตง.ในเรื่องของการจัดซื้ออุปกรณ์
    แนวทางการแก้ปัญหาของกสทช. คือ การกระทุ้งให้แต่ละผู้ให้บริการโครงข่ายแต่ละราย  ขยับดำเนินการให้ได้ตามแผนงานที่วางไว้  แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก จนล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กสทช.ต้องออกโรงแถลงข่าว เตือนอสมท และกรมประชาสัมพันธ์ ถึงแผนการขยายโครงข่ายทีวีดิจิตอลเฟสแรก ที่ยังไม่ส่งเข้ามา

++ บี้ปรับวันละ 2 หมื่น
    ด้านพ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช.  ในฐานะประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (ประธาน กสท.)   ให้ข้อมูลล่าสุดว่า การประชุมบอร์ดกสท. ซึ่งมีขึ้นเมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม  มีมติให้สำนักงาน กสทช. ส่งหนังสือไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโครงข่ายทีวีดิจิตอล (MUX) จำนวน 2 ราย คือ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และกรมประชาสัมพันธ์ หลังจากทั้ง 2 รายไม่ส่งแผนรายงานการติดตั้ง ซึ่งในปีแรกต้องขยายโครงข่ายให้ได้ 50% หรือครอบคลุมพื้นที่ 11 จังหวัดตามข้อกำหนดใบอนุญาต
    หาก อสมท และกรมประชาสัมพันธ์ ไม่สามารถขยายโครงข่ายได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนด ถือว่าเข้าข่ายผิดเงื่อนไข ซึ่งต้องเข้าสู่กระบวนการต่อไปคือ การแจ้งเตือน ตามด้วยการสั่งปรับ ซึ่งจะปรับวันละ 2 หมื่นบาท การพักใช้ใบอนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาตโครงข่ายทีวีดิจิตอลในที่สุด  
++  บทสรุป "คูปอง"?
    อีกปัญหาใหญ่ที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลไล่จี้มาตลอด คือเรื่องของ "คูปอง"  เพราะคูปองคือฟันเฟืองสำคัญ ที่จะส่งต่อทำให้ประชาชนมีกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลอยู่ในมือ และสามารถดูทีวีดิจิตอล ซึ่งผลพวงที่ตามมาคือ การวัดเรตติ้ง  ทำให้ทราบถึงจำนวนผู้ชมทีวีดิจิตอล  เพื่อจะสามารถนำไปอ้างอิง และวางแผนสื่อโฆษณาที่จะใช้ผ่านทางสื่อโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีบิลลิ่งเฉียด 7 หมื่นล้านบาท ในปี 2556  หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50 % ของเม็ดเงินโฆษณาทั้งระบบ ความเคลื่อนไหวที่ไร้ความคืบหน้าของการแจกคูปอง ทำให้ผู้ประกอบการต่างวิตกกังวล เพราะหลังจากที่ต้องทุ่มเงิน ทั้งประมูลเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการบริหารจัดการช่องทีวีดิจิตอล  ยังต้องลงทุนสำหรับการสรรหาหรือผลิตคอนเทนต์ เพื่อมาป้อนให้ได้ตามที่กสทช. กำหนด

ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหา "คูปอง" ล่าสุดของ กสทช. คือ การจัดทำโฟกัสกรุ๊ป ถกที่มาฐานแนวคิดมูลค่าคูปองที่เหมาะสม และเงื่อนไขของคูปอง ซึ่งผลที่ออกมาส่วนใหญ่ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่าง และมีความกังวลเรื่องข้อกฎหมาย ว่าเงื่อนไขใดทำได้หรือไม่ได้กันแน่   ทำให้การกำหนดราคาที่ 690 บาท และเงื่อนไขการนำไปใช้จึงยังไม่ตกผลึก
    ล่าสุด นายปิยบุตร บุญอร่ามเรือง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชาพิจารณ์เรื่องของคูปองทีวีดิจิตอล แสดงความคิดเห็นว่า  ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการเห็นพ้องในทิศทางเดียวกันว่า  ไม่ควรสนับสนุนให้นำคูปองไปใช้ซื้อกล่องรับสัญญาณดาวเทียม และเคเบิลทีวี ได้ เพราะอาจทำให้เกิดการบิดเบือนสภาพธรรมชาติแต่ละแพลตฟอร์ม ที่ต้องแข่งขันกันอยู่ในตัว  ทั้งมีความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น  และพบว่าในรายงานของสำนักงาน ยังมีความขัดแย้งอยู่กับแหล่งอ้างอิง และเมื่อเทียบกับราคาขององค์กรผู้บริโภค มีความต่างของตัวเลขค่อนข้างมาก   กสทช.จะต้องสามารถอ้างอิงรายละเอียดของราคาให้ได้ เพื่อลดความเสี่ยงทางข้อกฎหมาย



++ แบกรับต้นทุนหลังแอ่น
     ผู้บริหารในวงการโทรทัศน์รายหนึ่ง กล่าวแสดงความคิดว่า สิ่งที่ กสทช.ต้องคำนึงถึงคือ เรื่องของความรู้ความเข้าใจของประชาชน  โดยเฉพาะกลุ่มคนในต่างจังหวัด ที่ยังไม่เข้าใจถึงข้อดีของทีวีดิจิตอล  เพราะจากการสำรวจและได้รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในต่างจังหวัด ได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง เช่น ซื้อกล่องทีวีดิจิตอลไปดูได้แค่ 48 ช่อง แต่ซื้อกล่องดาวเทียมดูได้ 200 ช่อง แถมมีช่องทีวีดิจิตอลอีก หรือบางคนที่อยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี อ้างซื้อกล่องทีวีดิจิตอลไป แต่ไม่สามารถดูได้ เป็นต้น และที่แย่กว่านั้นในบางพื้นที่เริ่มมีการให้ประชาชน นำบัตรประชาชนมาแลกไว้เพื่อรับกล่องทีวีดิจิตอลแล้ว
    ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา กสทช.มักจะพูดถึงเรื่องของกฎหมาย เอกสารต่างๆ แต่ไม่มีใครสร้างความเข้าใจ หรือประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนทั่วไป ด้วยภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่าย
    "ปัญหาที่พบคือ ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลเกือบทุกช่อง เริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤติ เพราะต้องแบกต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง หากคิดเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อปีที่ต้องใช้ ได้แก่  ค่าประมูลช่อง , ค่าโครงข่าย , ค่ามัสต์แครี และต้นทุนการบริหารภายในช่อง ฯลฯ ซึ่งรวมๆ แล้วถือเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ที่เข้ามาไม่ถึง 50% ของแผนธุรกิจ"  
    ดังกรณีตัวอย่างของช่อง Thai TV ที่ผ่านมา  ที่มีปัญหาแตกคอกับโพสต์ทีวี ก็เริ่มจับทิศทางช่องไม่ถูก จึงทำทุกวิถีทางให้มีรายได้เข้ามา กระทบถึงคุณภาพของเนื้อหารายการ และล่าสุดยังโดนกสทช.ตักเตือน  หรือช่องรายการที่ออกสารคดี ตลอดทั้งวัน แม้จะมีเรตติ้งค่อนข้างดี แต่ก็ไม่มีโฆษณาเข้ามาเช่นกัน
    ทั้งนี้ ทีวีดิจิตอลมาเกิดในช่วงไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ผู้คนขาดความเชื่อมั่น ส่งผลกระทบถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในครึ่งปีแรก ธุรกิจตัดลดค่าใช้จ่ายงดการทำโฆษณา ทำให้เม็ดเงินโฆษณาทั้งระบบติดลบ  โทรทัศน์ช่องหลักก็พยายามยื้อเม็ดเงินโฆษณาไว้ให้มากที่สุด ขณะที่ทีวีดิจิตอลก็แห่เปิดใหม่เพิ่มขึ้นถึง 24 ช่อง จึงเกิดการแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณาอย่างหนักหน่วง จึงทำให้รายได้ของทีวีดิจิตอลไม่เป็นไปตามแผนธุรกิจที่คาดไว้กันถ้วนหน้า  ในความยากลำบากนี้เหลือแต่ผู้แข็งแรงที่จะอยู่รอด
    หากย้อนดูภาพรวมของโครงการทีวีดิจิตอลที่เกิดขึ้นในวันนี้ และปัญหาที่ยิบย่อยต้องบอกว่า ในอนาคตอาจล่มสลายได้ หากกสทช. ไม่เร่งทำความเข้าใจว่า ข้อดีของการมีทีวีดิจิตอลคืออะไร แตกต่างหรือโดดเด่นกว่าทีวีดาวเทียมอย่างไร  ทีวีดิจิตอลจะยังเป็นโอกาสของธุรกิจ หรือวิกฤติของนายทุนกันแน่? …

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,965 วันที่ 13 - 16 กรกฎาคม  พ.ศ. 2557

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=238589:100&catid=94:2009-02-08-11-26-28&Itemid=417#.U8TKyI2SyII

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่