รายได้ขยับ 20% ทุกปี SEAFCO การันตี

กระทู้สนทนา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



ธุรกิจก่อสร้างกำลังมา!! “ณรงค์ ทัศนนิพันธ์” หุ้นใหญ่ “ซีฟโก้” ฟันธงเช่นนั้น พร้อมโชว์แนวคิด “โกอินเตอร์”

ย้อนดูราคา หุ้น ซีฟโก้ หรือ SEAFCO ตั้งแต่ต้นปี 2557 จะพบว่า “ม้านอกสายตา” ตัวนี้ดีดเด้งขึ้นมาแล้วประมาณ 38.32 เปอร์เซ็นต์ หากคิดจากราคาต่ำสุด 3.94 บาท ณ วันที่ 6 ม.ค.2557 ซึ่งราคาหุ้น SEAFCO เคยทะยานขึ้นไปแตะ “จุดสูงสุด” ระดับ 5.45 บาท เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2557

หลัง SEAFCO แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัท แกรนด์ริเวอร์เพลส จำกัด ได้จ้าง SEAFCO ให้ทำเสาเข็มเจาะและกำแพงกันดินไดอาแฟรมวอลล์ใน “โครงการไอคอนสยาม เจริญนคร 5 คลองสาน กทม.”

โดยบริษัทผู้ว่าจ้างเป็น 1 ใน 3 บริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนของบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามพารากอน บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้น 50:25:25 ตามลำดับ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ย่านฝั่งธนบุรี มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน SEAFCO ยังแจ้งตลท.อีกว่า บริษัท เพช โปรเจ็ค วัน ทู ทรี จำกัด ได้ว่าจ้างบริษัทให้ทำเสาเข็มเจาะใน “โครงการอาคารจอดรถภายนอกมหานคร ถนนนราธิวาสราชนครินทร์” มูลค่าโครงการทั้ง 2 แห่ง คิดเป็นจำนวนเงิน 445 ล้านบาท

จากการตรวจสอบพบว่า ตั้งแต้ต้นปีที่ผ่านมา SEAFCO ได้ทยอยแจ้งเรื่องรับงานโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง มูลค่าโครงการเฉลี่ย 1,101.60 ล้านบาท อาทิ โครงการอาคารเรียนและปฎิบัติการเพื่อการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางแยกทางหลวงหมายเลข 4 ทุ่งพระเมรุ จังหวัดนครปฐม ซึ่งว่าจ้างโดยบมจ.คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) หรือ CNT

โครงการเดอะมาร์เก็ต บาย แพลทินั่ม ถนนราชดำริ ว่าจ้างโดยบริษัท เอส.พี.ที.แมเนจเมนท์ จำกัด โครงการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอด จังหวัดเชียงราย ว่าจ้างโดยบริษัท เชียงรายแลนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด รวมถึงโครงการเออบาโน่ ซิกเนเจอร์ ถนนพหลโยธิน และโครงการเพิร์ล บางกอก ถนนพหลโยธิน ว่าจ้างโดยบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ PF เป็นต้น

บมจ.ซีฟโก้ ถือหุ้นใหญ่โดย “ตระกูลทัศนนิพันธ์” ก่อตั้งเมื่อปี 2517 ตามแนวคิดของพี่ชาย “ณรงค์ ทัศนนิพันธ์” ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 20,615,000 หุ้น คิดเป็น 7.67 เปอร์เซ็นต์ หลังพี่ชายเล็งเห็นว่า “ธุรกิจเสาเข็มเจาะ” อาจเป็นที่นิยมในเมืองไทย แม้ว่าขณะนั้นงานก่อสร้างยังไม่นิยมใช้เสาเข็มเจาะก็ตาม เพราะเกรงว่าอาจส่งผลข้างเคียงต่อระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน

ทันทีที่ความคิดของพี่ชายสะเด็ดน้ำ เขาจึงได้รวบรวมเงิน จากเพื่อนๆที่เรียนคณะ วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาด้วยกัน เพื่อนำมาเปิดบริษัท ด้วยทุนจดทะเบียนตั้งต้น 1.5 ล้านบาท “ณรงค์” เคยเล่าว่า ช่วงที่พี่ชายกำลังรวบรวมเงิน ตัวเขาเองยังรับราชการอยู่ที่สำนักงานโยธา กรุงเทพมหานคร ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามาช่วยพี่ชาย นอกจากหลังเลิกงาน

หลังพี่ชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในปี 2519 “ณรงค์” ตัดสินใจลาออกจากงานราชการ เพื่อเข้ามาดูแลงานใน SEAFCO เต็มตัว ช่วงนั้นบริษัทกำลังตกอยู่ในภาวะขาดทุน หลังไม่มีงานก่อสร้างใหม่ๆ เขาบอกว่า เริ่มงานวันแรก นอกจากจะได้ประสบการณ์ที่แสนคุ้มค่าแล้ว ชีวิตการทำงานยังได้นอนกลางดินกินกลางทราย เพราะต้องทำงานเกือบทุกหน้าที่

“ณรงค์ ทัศนนิพันธ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซีฟโก้ บอกความเชื่อของตนเองให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า หลังการเมืองคลี่คลายงานก่อสร้างจะกลับมา นั่นแปลว่า งานเสาเข็มเจาะย่อมกลับมาด้วย เพราะงานก่อสร้างทุกประเภทต้องมีเสาเข็มเจาะ

เขาเปรียบอุตสาหกรรมก่อสร้างในช่วงบ้านเมืองสงบสุขว่า “โรงหนังเพิ่งเลิก ทำให้แท็กซี่ไม่พอบริการ เพราะคนเยอะมาก แต่หากเป็นช่วงต้นปีที่ผ่านมาแท็กซี่คงนั่งตบยุ่งเป็นแถว”

หากย้อนกลับไปในช่วง 2-3 ปีก่อน ธุรกิจก่อสร้างอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะงานเสาเข็มเจาะ พูดง่ายๆความต้องการล้นตลาด ขณะที่กำลังการผลิตมีไม่พอ แต่เมื่อการเมืองไม่ปกติผู้ประกอบการเริ่มหยุดลงทุน ซึ่งงานก่อสร้างโครงการใหม่ๆเป็นเงินก้อนแรกๆที่เขายอมตัด แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้นขาขึ้นกำลังมา เขาย้ำ

ปัจจุบันบริษัทได้รับงานจากภาคเอกชนขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการเดอะ มาร์เก็ต บาย แพลทินั่ม ซึ่งตั้งอยู่ข้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาราชดำริ มูลค่าลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท และโครงการไอคอนสยาม เจริญนคร 5 คลองสาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่าโครงการกว่า 50,000 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่มีมูลค่าขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งบริษัทได้รับงานของในส่วนของเสาเข็มเจาะมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างรอฟังผลผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่) หากรู้ว่าใครชนะบริษัทจะเข้าไปยืนเสนอราคางานทันที นอกจากนั้นยังมีงานที่บริษัทรอเสนอราคาอีกเพียบ แต่ยังบอกรายละเอียดตอนนี้ไม่ได้ (หัวเราะ)

วันนี้บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,600 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 2557 ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 600 ล้านบาทจะรับรู้ในปี 2558 ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่า ทุกปีต้องมีมูลค่างานในมือข้ามมารับรู้ในปีถัดไปประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อว่าเราจะได้มีงานทำตลอดทั้งปี ขณะเดียวกันบริษัทยังทยอยหางานใหม่ด้วย

เมื่อถามถึงแผนงานในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า (2557-2561) “นายใหญ่” บอกว่า รายได้คงเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีก่อนจะเป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจก่อสร้าง แต่เราจะไม่มีการลงทุนมากเกินไป จากประสบการณ์ในวงการก่อสร้าง 40 ปี ทำให้รู้ว่า ในทุกๆอุตสาหกรรมมักมี “วัฏจักรทั้งขาขึ้นและขาลง” โดยปกติ 10-12 ปี จะเกิดวิกฤติสักหนึ่งครั้ง ทำให้เราไม่จำเป็นต้องรีบกอบโกย ไม่เร่งรับงาน แค่มีงานทำตลอดทั้งปี ผลประกอบการเติบโต เท่านี้ผู้ถือหุ้นของเราก็มีความสุขแล้ว

เขา บอกว่า บริษัทจะหันมาขยายตลาดในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ประเทศพม่า ล่าสุดบริษัทได้รับงานใหม่เพิ่มเติม 2 โครงการ โดยรับรู้รายได้เฉพาะค่าแรงมูลค่า 80-90 ล้านบาท ซึ่ง “ซีฟโก้ อินเตอร์เทรด” บริษัทย่อยที่ SEAFCO ถือหุ้น 99 เปอร์เซ็นต์ ได้รับงานติดตั้งเสาเข็มกดแบบคอนกรีต แรงเหวี่ยง ในโรงแรม ชาเทรียม ย่างกุ้ง ประเทศพม่า ว่าจ้างโดย Royal Lake Hotel Co.,Ltd. Yangon, Myanmar และกำลังจะเซ็นต์สัญญารับงานเจาะเสาเข็มอาคารสูง มูลค่าหลายสิบล้านบาท

“การลงทุนในพม่าถือเป็นการขยายฐานตลาดที่สำคัญ เหมือนเป็นการติดปีกการเติบโตของบริษัท วันนี้ถือว่า เราประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการทำงานในพม่า ฉะนั้นจะขอทำในพม่าไปก่อน เพราะแนวโน้มงานก่อสร้างยังดีอยู่ หลังมีพื้นที่หลายแห่งที่อยากให้เราเข้าไปทำงานให้”

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 10 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศ 90 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มการเติบโตของรายได้จากต่างประเทศเฉลี่ยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ “ณรงค์” บอกว่า การลงทุนในต่างประเทศ ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงอีกทาง เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทมีผลดำเนินงานที่ “ผันผวน” ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ฉะนั้นหากเมืองไทยไม่มีงาน หรือมีงานน้อย เราก็สามารถเพิ่มสัดส่วนการรับงานในต่างประเทศได้ทันที

“กรรมการผู้จัดการใหญ่” บอกว่า รายได้ในช่วงไตรมาส 2/2557 คงออกมาใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่มีรายได้ 330.29 ล้านบาท กำไรสุทธิ 24 ล้านบาท เนื่องจากมีวันหยุดจำนวนมากทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ภาพอุตสาหกรรมก่อสร้างเสาเข็มเจาะจะกลับมาฟื้นตัว เขาย้ำ ซึ่งจะส่งผลดีกับบริษัทเช่นกัน

“รายได้ปีนี้คงโต 10-20 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,338.30 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอาจใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ระดับ 138.22 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้จากงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และโครงการทางด่วนศรีรัช ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง สำหรับอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) คงยืนระดับ 11 เปอร์เซ็นต์”

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า โครงการไอคอน สยาม จะมีส่วนผลักดันให้ผลประกอบการในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2557 ของ SEAFCO ออกมา “ดีสุดในรอบปีนี้” ขณะเดียวกันเราเชื่อว่าบริษัทจะชนะการประมูลงานฐานรากในส่วนของคอนโดมิเนียมด้วย ฉะนั้นแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 6.06 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 2557 ที่ 12 เท่า ถือว่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 25.9 เท่า

“ปีนี้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอาจสูงถึง 5.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกำไรสุทธิคงโต 19 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนกำไรไตรมาส 2/57 อาจขยายตัว 29 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน”

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่