No.34
จั่วหัว : รุ่งอรุณแห่งมหากาฬหนังวานรที่แม้ซีจีเต็มเรื่อง แต่ก็ทำออกมาได้ถึงอารมณ์ สมจริงและมีเนื้อเรื่องที่ถูกบดขยี้ออกมาเข้มข้นที่สุด เป็นการตีความหนังที่ยอดเยี่ยมมากๆ เสมือนได้ดูหนังซอมบี้ที่ถูกแทนที่ด้วยวานร เป็นหนึ่งในหนังซัมเมอร์ที่ดีที่สุดของปีนี้ คุ้มค่าจริงๆครับ
Dawn of the planet of the Apes : รุ่งอรุณแห่งพิภพวานร
คมนิด จี๊ดเลย : ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้ได้กับทุกคน
Napat's Rating : (A+) , 10/10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : สำหรับเรื่องราวใน Dawn of the Planet of the Apes จะพูดถึงการเติบโตของชาติพันธุ์วานรภายใต้การนำของ ซีซาร์ ที่กำลังถูกคุมคามโดยกลุ่มมนุษย์ผู้รอดชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในภาคก่อน(ไวรัสซีเมี่ยนหรืออะไรสักอย่าง) เรื่องทั้งหมดดูเหมือนจะจบลงด้วยดีจากการเจรจาของทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ตาม ความสงบสุขก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะในที่สุดความบาดหมางได้ลุกลามกลายเป็นสงคราม ที่จะชี้ชะตาว่าเผ่าพันธุ์ใดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นพิภพนี้
นำแสดงโดย เคอรี่ รัสเซลล์, แอนดี้ เซอร์คิส, แกรี่ โอล์ดแมน และ เจสัน คลาร์ค ในภาพนี้ได้ แม็ตต์ รีฟส์ มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งเคยทำหนังอย่างCloverfield และเป็นเพื่อนซี้ของเจ เจ เอบรามส์(ผกก.สตาร์เทร็ค) แม็ต รีฟส์เป็นอีกคนที่มีวิสัยทัศน์มากๆและอยู่เบื้องหลังหนังดังมาหลายงานแล้ว ครั้งนี้ถึงเวลาที่เขาต้องคุมโปรเจคหนังวานรและประกาศศักดาให้โลกรู้ว่า พิภพวานรเวอร์ชั่นนี้มันดีอย่างไร?
ตัวบรรยากาศของหนังที่ดำเนินเรื่องต่อมาจากภาคก่อน ซึ่งทิ้งท้ายว่ากำลังจะมีโรคระบาดที่มาจากห้องแล๊ปหลุดแพร่ไปทั่วโลก ภาคนี้จึงเปิดมาที่มนุษย์ตายไปกว่าครึ่งโลก เหลือแค่เป็นเพียงหย่อมๆ บรรยากาศหนังนั้น ทำออกมามีลักษณะคล้ายกับหนังซอมบี้ ประมาณว่าเมืองร้าง ไร้ผู้คน ต้องหวาดระแวงโลก ซึ่งการที่หนังวานรมาตีความลักษณะนี้ สำหรับผมถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่และท้าทายมากๆ และขณะเดียวกันก็ได้กล่าวถึงวานรที่หลุดจากห้องแล๊ปและมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ได้ไปตั้งรกรากอยุ่ในป่าใหญ่
เรื่องนี้มีการตีความหลายอย่างที่ท้าทายเช่นการพูดคุยของวานร ส่วนใหญ่หนังลักษณะนี้เราก็จะเห็นมันต้องคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ แต่นี่ไม่ มันคุยกันเป็นท่าทาง และต้องใส่ซับให้เราอ่านอีกที ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราเซอร์ไพรต์มาก และทำให้หนังดูสมจริงขึ้นมาอย่างทันตา ไม่ดูลิเกมาฟอร์มจัดหลอกๆ
ไปจนถึงเทคนิคซีจี ซาวน์ ภาพ ที่ทุกอย่างเป๊ะมาก รวมถึงการแสดงอย่างโมแคปของแอนดี้ เซอร์คิส ในบทซีซ่าร์ ก็ทำได้ดูน่าเกรงขามและชวนขนลุกได้ทุกครั้งเวลามันพูดอะไรออกมา รวมทั้งนักแสดงอื่นๆที่แม้ไม่ต้องโมแคปก็สามารถส่งผ่านการแสดงชั้นยอดมาได้ โดยเฉพาะตัวละครของแกร์รี่ โอลด์แมนที่เป็นผู้นำฝ่ายมนุษย์ เรื่องนี้ยอมรับเลยว่าเฮียแกเล่นกินขาดอีกแล้ว เป็นอะไรที่ตีบทแตกกระจายมากๆและช่วยยกระดับให้หนังมันมีพลังขึ้นไปอีก
นอกจากตัวเรื่องตัวบทและองค์ประกอบต่างๆที่ถูกขยี้ปมได้อย่างลึกซึ้งแล้ว ก่อนที่เราจะไปเข้าประเด็นตัวเรื่องกัน ยังมีอีกส่วนที่น่าชื่นชมก็คือ ดนตรีประกอบ ของไมเคิล จีอาชิโน่ ซึ่งอีกหนึ่งคอมโพสเซอร์ที่ผมประทับใจในผลงานมานาน รอบนี้เขาได้จัดความเป็นเอพิคให้กับหนังจนน่าขนลุก และสามารถบรรเลงความเศร้า ความดราม่า เส้นคาบเกี่ยวระหว่างมิตรภาพและศัตรู สันติภาพกับสงคราม การที่เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่เกินตัว ทุกประเด็นสามารถขับเคลื่อนผ่านบทเพลงบทดนตรีที่ทรงพลังมาก และเป็นงานที่ยอดเยี่ยมของคอมโพสเซอร์คนนี้ในรอบสองสามปีนี้มาเลยครับ
มาพูดถึงตัวเรื่องกันสักนิดดีกว่า
ส่วนตัวแล้วชอบประเด็นของหนังที่สามารถขยี้ปมไปจนถึงวิถีชีวิต การแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกัน รวมถึงการเสี้ยมกันเพื่อให้เกิดสงครามที่จะนำพาอำนาจมาสู่บางคน และอาจนำพาความสูญเสียมาให้กับใครหลายคน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์นั้นก็ย่อมไม่อาจละทิ้งกิเลสที่ตนมีไปได้
เราต่างล้วนที่จะมองว่าตัวเองและพวกพ้องอยุ่เหนือและดีกว่าคนอื่น โดยในความเป็นจริงนั้น มันอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย จริงๆแล้วมันอาจมาจากการมองคนละมุมด้วยวิถีที่ต่างกัน และการเลือกปฏิบัติของเราก็มีผลที่จะทำให้ทุกสิ่งมันดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้
กล่าวคือบางครั้งสงครามมันอาจจะไม่มีวันเกิด ถ้าไม่มีใครคิดจุดชนวนให้มัน แต่แล้วเมื่อวันนึงกิเลสของเรามันนำหน้า มันก็อาจนำพามาซึ่งความสูญเสีย อาจถึงขั้นที่จะต้องทรยศหักหลังพวกพ้องกันเอง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวานร
เราทุกคนล้วนต้องการความเป็นหนึ่ง เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
เพื่อที่จะให้ตนได้ครอบครองโลก
แต่การที่เราจะเป็นที่หนึ่งนั้น เราจะเป็นที่หนึ่งด้วยการสร้างและพัฒนาร่วมกันให้ไปถึงจุดนั้น หรือจะต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดด้วยการเหยียบย่ำยีกันเพื่อจุดสูงสุดของตนเอง
เราเหมือนจะมีสิทธิ์เลือก แต่จริงๆแล้วไม่
เพราะในความเป็นจริง หากใครพลาดพลั้งจุดชนวนแค้นขึ้นมา มันก็ยากที่จะจบลงง่ายๆ เพราะน้ำไม่กี่หยด มันไม่สามารถดับกองเพลิงที่กำลังวอดวายได้ฉันใด คนดีๆหรือวานรรักสันติภาพกลุ่มน้อยๆก็ไม่อาจยับยั้งสงครามได้เช่นกัน ถ้าเราปล่อยให้มันบานปลายเกินกว่าจะเยียวยา
มีเพียงทางเดียวที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคือ กำจัด "ตัวเสี้ยม" ที่จะก่อให้เกิดชนวนไฟซะ หรือถ้ามันถูกจุดชนวนไฟสงครามไปแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่า "ขอให้โชคดี" ประโยคระหว่างซีซ่าร์และพระเอกช่วงท้ายมันจี๊ดใจเหลือเกิน อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนเหลือเพียงคิดว่า "ครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่าสันติภาพยังมีอยู่จริง"
สุดท้ายนอกเรื่องหน่อย ขอฝากตัวอย่างและเบื้องหลังของหนังสั้นธีสิสที่มีโอกาสได้ทำกับเพื่อนๆและกำลังจะออนไลน์ในยูทูปเร็วๆนี้
ชื่อเรื่องว่า "แพรว" เป็นหนังสั้นที่สร้างโดยได้แรงบันดาลใจบางส่วนจากเรื่องจริงกรณีที่ไฮโซหญิงนามหนึ่งขับรถชนคนเสียชีวิตครับ แต่ย้ำว่าได้แค่แรงบันดาลใจบางส่วนนะครับ จะเป็นเรื่องที่แต่งใหม่ขึ้นเองพอสมควร ไม่ใช่หนังชีวประวัติใคร และเป็นการตีความที่ไม่พาดพิงใครให้เสียหายครับ
ถ้าสนใจลองติดตามรายละเอียดได้ในเพจและรูปด้านล่างน่ะครับ
มีตัวอย่าง"Dawn of the planet of the Apes"มาให้ชมครับ
หนึ่งสิ่งที่ทำให้เราประทับใจและชอบDawn of The Planet of The Apes หนังวานรภาคนี้มากๆอีกส่วนคงมาจากดนตรีประกอบ ซึ่งเป็นการรังสรรค์ผลงานออกมาได้ดีมากและลงตัวมากๆอีกเรื่องของ Michael Giacchino เลยจริงๆ ต้องหาโอกาสกลับไปดูอีก
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
แนะนำหนังฟินต้องบอกต่อ..Dawn of the planet of the Apes หนึ่งในหนังSummerที่ดีที่สุดในปีนี้ [ความเห็นหลังชม ไม่สปอยส์]
No.34
จั่วหัว : รุ่งอรุณแห่งมหากาฬหนังวานรที่แม้ซีจีเต็มเรื่อง แต่ก็ทำออกมาได้ถึงอารมณ์ สมจริงและมีเนื้อเรื่องที่ถูกบดขยี้ออกมาเข้มข้นที่สุด เป็นการตีความหนังที่ยอดเยี่ยมมากๆ เสมือนได้ดูหนังซอมบี้ที่ถูกแทนที่ด้วยวานร เป็นหนึ่งในหนังซัมเมอร์ที่ดีที่สุดของปีนี้ คุ้มค่าจริงๆครับ
Dawn of the planet of the Apes : รุ่งอรุณแห่งพิภพวานร
คมนิด จี๊ดเลย : ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้ได้กับทุกคน
Napat's Rating : (A+) , 10/10
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : สำหรับเรื่องราวใน Dawn of the Planet of the Apes จะพูดถึงการเติบโตของชาติพันธุ์วานรภายใต้การนำของ ซีซาร์ ที่กำลังถูกคุมคามโดยกลุ่มมนุษย์ผู้รอดชีวิตจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในภาคก่อน(ไวรัสซีเมี่ยนหรืออะไรสักอย่าง) เรื่องทั้งหมดดูเหมือนจะจบลงด้วยดีจากการเจรจาของทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ตาม ความสงบสุขก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะในที่สุดความบาดหมางได้ลุกลามกลายเป็นสงคราม ที่จะชี้ชะตาว่าเผ่าพันธุ์ใดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นพิภพนี้
นำแสดงโดย เคอรี่ รัสเซลล์, แอนดี้ เซอร์คิส, แกรี่ โอล์ดแมน และ เจสัน คลาร์ค ในภาพนี้ได้ แม็ตต์ รีฟส์ มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งเคยทำหนังอย่างCloverfield และเป็นเพื่อนซี้ของเจ เจ เอบรามส์(ผกก.สตาร์เทร็ค) แม็ต รีฟส์เป็นอีกคนที่มีวิสัยทัศน์มากๆและอยู่เบื้องหลังหนังดังมาหลายงานแล้ว ครั้งนี้ถึงเวลาที่เขาต้องคุมโปรเจคหนังวานรและประกาศศักดาให้โลกรู้ว่า พิภพวานรเวอร์ชั่นนี้มันดีอย่างไร?
ตัวบรรยากาศของหนังที่ดำเนินเรื่องต่อมาจากภาคก่อน ซึ่งทิ้งท้ายว่ากำลังจะมีโรคระบาดที่มาจากห้องแล๊ปหลุดแพร่ไปทั่วโลก ภาคนี้จึงเปิดมาที่มนุษย์ตายไปกว่าครึ่งโลก เหลือแค่เป็นเพียงหย่อมๆ บรรยากาศหนังนั้น ทำออกมามีลักษณะคล้ายกับหนังซอมบี้ ประมาณว่าเมืองร้าง ไร้ผู้คน ต้องหวาดระแวงโลก ซึ่งการที่หนังวานรมาตีความลักษณะนี้ สำหรับผมถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่และท้าทายมากๆ และขณะเดียวกันก็ได้กล่าวถึงวานรที่หลุดจากห้องแล๊ปและมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ได้ไปตั้งรกรากอยุ่ในป่าใหญ่
เรื่องนี้มีการตีความหลายอย่างที่ท้าทายเช่นการพูดคุยของวานร ส่วนใหญ่หนังลักษณะนี้เราก็จะเห็นมันต้องคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ แต่นี่ไม่ มันคุยกันเป็นท่าทาง และต้องใส่ซับให้เราอ่านอีกที ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราเซอร์ไพรต์มาก และทำให้หนังดูสมจริงขึ้นมาอย่างทันตา ไม่ดูลิเกมาฟอร์มจัดหลอกๆ
ไปจนถึงเทคนิคซีจี ซาวน์ ภาพ ที่ทุกอย่างเป๊ะมาก รวมถึงการแสดงอย่างโมแคปของแอนดี้ เซอร์คิส ในบทซีซ่าร์ ก็ทำได้ดูน่าเกรงขามและชวนขนลุกได้ทุกครั้งเวลามันพูดอะไรออกมา รวมทั้งนักแสดงอื่นๆที่แม้ไม่ต้องโมแคปก็สามารถส่งผ่านการแสดงชั้นยอดมาได้ โดยเฉพาะตัวละครของแกร์รี่ โอลด์แมนที่เป็นผู้นำฝ่ายมนุษย์ เรื่องนี้ยอมรับเลยว่าเฮียแกเล่นกินขาดอีกแล้ว เป็นอะไรที่ตีบทแตกกระจายมากๆและช่วยยกระดับให้หนังมันมีพลังขึ้นไปอีก
นอกจากตัวเรื่องตัวบทและองค์ประกอบต่างๆที่ถูกขยี้ปมได้อย่างลึกซึ้งแล้ว ก่อนที่เราจะไปเข้าประเด็นตัวเรื่องกัน ยังมีอีกส่วนที่น่าชื่นชมก็คือ ดนตรีประกอบ ของไมเคิล จีอาชิโน่ ซึ่งอีกหนึ่งคอมโพสเซอร์ที่ผมประทับใจในผลงานมานาน รอบนี้เขาได้จัดความเป็นเอพิคให้กับหนังจนน่าขนลุก และสามารถบรรเลงความเศร้า ความดราม่า เส้นคาบเกี่ยวระหว่างมิตรภาพและศัตรู สันติภาพกับสงคราม การที่เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่เกินตัว ทุกประเด็นสามารถขับเคลื่อนผ่านบทเพลงบทดนตรีที่ทรงพลังมาก และเป็นงานที่ยอดเยี่ยมของคอมโพสเซอร์คนนี้ในรอบสองสามปีนี้มาเลยครับ
มาพูดถึงตัวเรื่องกันสักนิดดีกว่า
ส่วนตัวแล้วชอบประเด็นของหนังที่สามารถขยี้ปมไปจนถึงวิถีชีวิต การแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกัน รวมถึงการเสี้ยมกันเพื่อให้เกิดสงครามที่จะนำพาอำนาจมาสู่บางคน และอาจนำพาความสูญเสียมาให้กับใครหลายคน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์นั้นก็ย่อมไม่อาจละทิ้งกิเลสที่ตนมีไปได้
เราต่างล้วนที่จะมองว่าตัวเองและพวกพ้องอยุ่เหนือและดีกว่าคนอื่น โดยในความเป็นจริงนั้น มันอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย จริงๆแล้วมันอาจมาจากการมองคนละมุมด้วยวิถีที่ต่างกัน และการเลือกปฏิบัติของเราก็มีผลที่จะทำให้ทุกสิ่งมันดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้
กล่าวคือบางครั้งสงครามมันอาจจะไม่มีวันเกิด ถ้าไม่มีใครคิดจุดชนวนให้มัน แต่แล้วเมื่อวันนึงกิเลสของเรามันนำหน้า มันก็อาจนำพามาซึ่งความสูญเสีย อาจถึงขั้นที่จะต้องทรยศหักหลังพวกพ้องกันเอง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวานร
เราทุกคนล้วนต้องการความเป็นหนึ่ง เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
เพื่อที่จะให้ตนได้ครอบครองโลก
แต่การที่เราจะเป็นที่หนึ่งนั้น เราจะเป็นที่หนึ่งด้วยการสร้างและพัฒนาร่วมกันให้ไปถึงจุดนั้น หรือจะต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดด้วยการเหยียบย่ำยีกันเพื่อจุดสูงสุดของตนเอง
เราเหมือนจะมีสิทธิ์เลือก แต่จริงๆแล้วไม่
เพราะในความเป็นจริง หากใครพลาดพลั้งจุดชนวนแค้นขึ้นมา มันก็ยากที่จะจบลงง่ายๆ เพราะน้ำไม่กี่หยด มันไม่สามารถดับกองเพลิงที่กำลังวอดวายได้ฉันใด คนดีๆหรือวานรรักสันติภาพกลุ่มน้อยๆก็ไม่อาจยับยั้งสงครามได้เช่นกัน ถ้าเราปล่อยให้มันบานปลายเกินกว่าจะเยียวยา
มีเพียงทางเดียวที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคือ กำจัด "ตัวเสี้ยม" ที่จะก่อให้เกิดชนวนไฟซะ หรือถ้ามันถูกจุดชนวนไฟสงครามไปแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่า "ขอให้โชคดี" ประโยคระหว่างซีซ่าร์และพระเอกช่วงท้ายมันจี๊ดใจเหลือเกิน อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนเหลือเพียงคิดว่า "ครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่าสันติภาพยังมีอยู่จริง"
สุดท้ายนอกเรื่องหน่อย ขอฝากตัวอย่างและเบื้องหลังของหนังสั้นธีสิสที่มีโอกาสได้ทำกับเพื่อนๆและกำลังจะออนไลน์ในยูทูปเร็วๆนี้
ชื่อเรื่องว่า "แพรว" เป็นหนังสั้นที่สร้างโดยได้แรงบันดาลใจบางส่วนจากเรื่องจริงกรณีที่ไฮโซหญิงนามหนึ่งขับรถชนคนเสียชีวิตครับ แต่ย้ำว่าได้แค่แรงบันดาลใจบางส่วนนะครับ จะเป็นเรื่องที่แต่งใหม่ขึ้นเองพอสมควร ไม่ใช่หนังชีวประวัติใคร และเป็นการตีความที่ไม่พาดพิงใครให้เสียหายครับ
ถ้าสนใจลองติดตามรายละเอียดได้ในเพจและรูปด้านล่างน่ะครับ
มีตัวอย่าง"Dawn of the planet of the Apes"มาให้ชมครับ
หนึ่งสิ่งที่ทำให้เราประทับใจและชอบDawn of The Planet of The Apes หนังวานรภาคนี้มากๆอีกส่วนคงมาจากดนตรีประกอบ ซึ่งเป็นการรังสรรค์ผลงานออกมาได้ดีมากและลงตัวมากๆอีกเรื่องของ Michael Giacchino เลยจริงๆ ต้องหาโอกาสกลับไปดูอีก
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ