ใครจะเป็นรายต่อไป?

กระทู้สนทนา
กระทู้แรกของเรา ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเศร้าแบบนี้เลย...นานาเสียใจ
ขอแชร์ข่าวที่เกิดขึ้นนานแล้ว แต่เป็นประเด็นที่เจ็บปวดอยู่ตอนนี้ค่ะ

ข่าวจากหน้าจุดประกาย กรุงเทพธุรกิจรายวัน ประจำวันที่ 5 มีนาคม 2545

ใครจะเป็นรายต่อไป ?

หลายเดือนก่อน เหตุการณ์ที่หญิงสาว ถูกพนักงานการรถไฟข่มขืน ในตู้นอน เป็นข่าวหรา ตามหน้าหนังสือพิมพ์ และยิ่งโจษขานกันมากขึ้น เมื่อผู้หญิงคนเดียวกันนี้ ยอมปรากฏตัว ในรายการทีวี เปิดเผยอย่างหมดเปลือก ส่งผลให้เรื่องของเธอ ดังชั่วข้ามคืน แต่รู้หรือไม่ว่า มีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับเธอบ้าง หลังจากที่ตื่นมาแล้วพบว่า ตัวเองเป็นที่รู้จัก และจำได้ของสังคม ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ รายงาน

"ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ป่านนี้คงเรียนได้ต่อดอกเตอร์ไปแล้ว" ขวัญ (นามสมมติ) พูดอย่างแค้นไม่หาย ท่ามกลางอากาศร้อนๆ กลางแผงตลาดสด

ที่ต้องใช้นามสมมติ เพราะขวัญคนนี้ คือขวัญคนเดียวกับเมื่อหลายเดือนก่อน ที่ตกเป็นข่าวหน้า 1 คึกโครม เรื่องโดนข่มขืนบนตู้นอนรถไฟ และตอกย้ำอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวในรายการโทรทัศน์ อย่างหมดเปลือก

หะแรก กำลังใจท่วมท้นเทมาจนรับไม่ทัน แต่หลังจากนั้น กลับมีเสียงผู้ไม่ประสงค์ออกนาม มาเข้าหูทำนองว่า "ทำไมเป็นผู้หญิงแล้วเดินทางคนเดียว" หรือ "ตอนที่โดนข่มขืนทำไมไม่ร้อง" กระทั่ง "มีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า ที่มาออกทีวี ต้องการจะแบล็คเมล์ หรือเรียกร้องอะไรหรือเปล่า"

ขวัญบอกว่าข้อความไม่ประสงค์ดีพวกนี้ มีตั้งกระทู้คุยกันในเวบไซต์ ถึงแม้จะเป็นส่วนนิดเดียว เมื่อเทียบกับส่วนดีที่ได้รับมา แต่มันก็ทำให้ขวัญ ถามกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนว่า…

คิดถูกหรือคิดผิดที่ให้สื่อเข้ามาช่วย?

สูงสุดสู่ก้นเหว...

จากเหยื่อมาเป็นผู้ล่า

เพราะ 'มัน' หรือเพราะ 'สื่อ'

เมื่อความฝันเรียนต่อปริญญาเอกดับวูบ อีกทั้งงานระดับผู้จัดการเงินเดือนสุทธิ 45,000 บาท ก็หลุดไปจากมือ ผู้หญิงวัย 30 ปีอย่างขวัญที่มีแม่พิการ หลานอีกสอง รวมค่าใช้จ่ายภายในบ้านร่วมๆ 30,000 บาท จึงต้องดิ้นรนเลี้ยงปากท้องแทบจะทุกๆ ทาง

"เริ่มตั้งแต่ไปขายดอกไม้ ขายน้ำงานรับปริญญาที่ ม.เอเชีย จากนั้นก็ไปขายชุดชั้นในที่ตลาดนัดสนามหลวง 2 แต่ก็ขายได้แค่ตัวเดียวจำได้เลย 59 บาท" ขวัญพยายามพูดให้ตลก

เพิ่งมาเริ่มใหม่ครั้งที่สามที่แผงตลาดสดย่านชานเมืองในบทของแม่ค้าขายของสดพวกน้ำพริก กะทิ และถ่านเผาไฟ ได้ 1 อาทิตย์เศษๆ แล้ว

"ขายมา 8 วันแล้ว ไม่ได้กำไรเลยขาดทุนอีกต่างหาก ลงทุนไป 2,000 ขายได้แค่ 600 กว่าบาทเอง" รายได้สุทธิของแม่ค้ามือใหม่

นอกจากเหตุผลด้านเศรษฐกิจแล้ว ที่ขวัญต้องขวนขวายหาอะไรทำอยู่เรื่อยๆ เพราะไม่อยากอยู่ว่าง ว่างแล้วคิด คิดอยู่เรื่องเดียวกับที่เกิดเมื่อ 8 เดือนก่อน

"หลังจากลงข่าวครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ บริษัทก็เรียกไปคุยว่าทำไมต้องออกข่าวด้วย เราเลยตอบไปว่าที่ทำเพราะคดีมันช้า 2 เดือนกว่าแล้วไม่คืบหน้าเลยให้สื่อช่วย ทางเจ้านายก็บอกว่าเราทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เอ่ยชื่อบริษัทเลย เขาก็บอกว่า ไหนๆ สื่อก็ช่วยคุณเยอะแล้ว บริษัทก็ไม่จำเป็นต้องช่วยคุณอีก"

ค่าทนาย ค่ารักพยาบาล ที่เคยออกปากว่าจะช่วยก็มีค่าแค่ลมปาก แต่ขวัญก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยมี นสพ.หัวสี 2 ฉบับ เข้ามาช่วยเสนอข่าวตลอด ซึ่งก็เป็นผลดีตรงที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกอาการอยู่ไม่สุข ส่งผลให้คดีคืบหน้าและจับตัวผู้กระทำได้ในที่สุด แต่...

"พวกเพื่อนๆ ลูกศิษย์ที่เคยสอนโทรศัพท์มาเยอะมาก เพราะเล่นระบุถึงเราว่า เป็นว่าที่ ร.ต.หญิง จบปริญญาโทการตลาด ม.เอกชนย่านหนองแขม แถมบอกอีกว่าเคยเป็นอาจารย์มาก่อน มีหรือคนที่รู้จักเราเขาจะไม่รู้" เนื้อข่าวของนสพ.หัวสียักษ์ใหญ่

สองวันให้หลัง นสพ.ฉบับเดียวกันนี้ลงข่าวว่า ผู้ต้องหาให้การว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้าไปโอบกอด ชวนให้นวดหลัง และจูบก่อน

"เขาลงไปเลยโดยไม่ถามเราก่อน คนเลยมองว่าเราเองที่ไปให้ท่าเขา ไม่เหมือนอีกฉบับที่โทรศัพท์มาถามเราก่อน เราเลยเอาเอกสารทั้งหมดไปให้เขา ทีนี้พอลงข่าวกลับกลายเป็นว่าทำไมเราถึงเอาเอกสารมาให้ทีหลัง ไม่เอามาแสดงแต่แรก คนเลยสงสัยว่าเรามีพิรุธ เราพูดไม่จริง กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะไปซะอีก"

แต่กระแสจากสื่อกระดาษยังไม่แรงเท่าสื่อจอตู้ หลังจากขวัญตกปากรับคำกับรายการเจาะใจว่าจะให้สัมภาษณ์แต่ยังอำพรางด้วยการใส่วิก สวมแว่น ด้วยคิดว่าน่าจะถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนเพศเดียวกันได้ฉุกคิดและป้องกันตัว

"จำได้ว่าบันทึกเทปนานมาก ร่วม 2 ชั่วโมงกว่า เราต้องเล่าเหตุการณ์ใหม่ ซึ่งพอเราเล่ามันเหมือนกับเราถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าใครดูคืนนั้นจะเห็นว่าเราเบลอมากเพราะตอนนั้นในหัวจะคิดถึงแต่ภาพนั้นตลอด เราต้องใช้เล็บกดจิกนิ้วตลอดเวลาเพื่อให้นิ่งฟังพิธีกรถามให้ได้ แต่พออัดรายการเสร็จ น็อคไปเลย"

หลังจากออกอากาศ ผลก็เป็นไปตามคาด และเกินคาด...

"มีคนโทรศัพท์ แฟกซ์มาให้กำลังใจเยอะมาก ที่มากกว่านั้น คือมีผู้หญิงที่เคยถูกข่มขืนหลายคนมาร้องไห้กับเรา ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าเราไม่กล้าพูดคงไม่รู้หรอกว่ายังมีคนที่เหมือนกับเราอีกหลายคน แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนจำเราได้ เยอะด้วย"

วันรุ่งขึ้นหลังจากออกอากาศ ขวัญเรียกแท็กซี่เพื่อจะกลับบ้าน พอขึ้นก็เข้าไปนั่งทางเบาะหลังด้านซ้าย และบทสนทนาก็เริ่มขึ้น

โชเฟอร์ : น้องเป็นผู้หญิงนั่งตรงนั้นถูกแล้วละ มันปลอดภัย

ขวัญ : ทำไมเหรอคะ

โชเฟอร์ : ก็ขนาดรถไฟมันยังไม่ปลอดภัยเลย เนี่ยน้องอ่านข่าวหรือเปล่า ผมอ่านนะ เจาะใจก็ดู ญาติผมที่ทำงานอยู่การรถไฟเขาบอกว่าผู้หญิงต้องการแบล็คเมล์

ขวัญ : แต่ที่หนูอ่านใน นสพ.มันไม่ใช่อย่างนั้นนี่ค่ะ เจาะใจหนูก็ดู

โชเฟอร์ : ไม่จริงหรอกญาติผมยืนยัน 100% ว่าผู้หญิงให้ท่าก่อน คิดดูสิน้องเดี๋ยวนี้คนเรามันหากินกันอย่างนี้แล้ว

ขวัญ : พี่ จอดตรงนี้เลย

โชเฟอร์ : ทำไมล่ะ ยังไม่ถึงเลย มีธุระอะไรหรือเปล่า จอดรอก็ได้

ขวัญ : ไม่ต้องเลย พี่รู้ไหม ผู้หญิงที่พี่กำลังพูดถึงอยู่ หนูเอง !

แล้วขวัญก็เอาเงินปาใส่หน้าโชเฟอร์ เดินกลับบ้านร้องไห้...

ความดังของขวัญไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ ครั้งหนึ่งที่ขวัญไปขายของที่สนามหลวง 2 แม่ค้าแผงข้างๆ ที่คุยกันถูกคอ จู่ๆ ก็ถามเรื่องที่เธอไม่อยากตอบ

"เขาถามว่าทำไมเราหน้าคุ้นๆ จัง เหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนแต่เขานึกไม่ออก แต่พอรุ่งขึ้นเขามาบอกว่าจำได้แล้ว น้องที่ออกรายการเจาะใจใช่ไหม พี่จำได้ ทำไมน้องกล้าจังที่ออกทีวี รู้ไหมว่าสังคมเขามองว่าไม่ดี"

ถึงจะขายของได้แค่วันสองวัน ขวัญตัดสินใจไม่ไปอีก และเริ่มระแวงว่าจะมีใครจำได้ จนเมื่อมาถึงครั้งที่เลวร้ายที่สุด... แถวบ้านเธอเอง

"ตอนนั้นเราแย่มาก อยากมีเพื่อน อยากคุยกับใครสักคน เลยโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชวนเขาออกมากินเข้า แต่เขาไม่มา เขาบอกว่าอาย อายที่จะเดินกับเรา"

ไม่นับรวมกรณีเพื่อนบ้านที่รู้เรื่องของขวัญตั้งแต่แรกๆ ก็ออกอาการรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการแสดงออกเมื่อเจอหน้ากันที่ตลาด เพื่อนบ้านคนหนึ่งซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรกำลังจะเดินเข้าไปทักขวัญ แต่...

"เพื่อนบ้านอีกคนไม่รู้มาจากไหน ปราดเข้ามากระชาก แขนเขาไม่ให้มาทักเรา แล้วบอกว่าอย่าไปยุ่งกับมัน มันถูกข่มขืน"

การแสดงออกและคำพูดเพียงไม่กี่คำ ทำให้ชีวิตทุกวันนี้ของขวัญไม่เหมือนคนปกติทั่วไป

เริ่มจากการปลอมตัว เพราะระแวงว่าจะมีคนจำได้อีก ขวัญบอกว่าเธอต้องเปลี่ยนทรงผมทุกเดือน จากผมตรงก็ไปดัด เดือนถัดมาก็ไปยืดให้ตรงอีก นอกจากนั้นก็มีตัดซอยสั้น ไม่ก็ตัดทรงบ๊อบ เพื่อไม่ให้ซ้ำหน้า

"การแต่งตัวก็เปลี่ยน เดิมใส่แค่สีพื้นๆ ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นสีสดๆ อย่างแดง เหลือง ทำทุกอย่างไม่ให้คนเขาจำได้ คิดอีกทีก็เหมือนกับการหลอกตัวเองไปวันๆ ว่ามีความสุขที่แต่งตัวสดใสอย่างนี้"

นอกจากชีวิตประจำวันที่ต้องตื่นขึ้นมาทุกๆ ตี 1 แล้วนอนไม่หลับจนสว่าง กินข้าวไม่เคยเป็นมื้อเพราะความเครียดลงกระเพาะ ระบบขับถ่ายไม่ทำงานเหมือนเดิม หูแว่วได้ยินเสียงหวูดรถไฟบ่อยๆ มีภาวะซึมเศร้า บ่อน้ำตาตื้น ถึงขนาดอ่านข่าวข่มขืนทีไรเป็นได้ร้องไห้ทุกที ขวัญยังมีอาการใหม่ผุดขึ้นมาอีก 2-3 อย่าง

"หมอบอกว่าเป็นภาวะก้าวร้าว เกิดจากที่นอนไม่หลับแล้วเครียดมาก ปวดหัวมาก หันไปเห็นคัทเตอร์ก็เอามากรีดนิ้ว นั่งดูเลือดตัวเองหยด เข้าใจเอาเองว่า ความเจ็บของเราจะทำให้ความเครียดลดลงได้"

ล่าสุด ขวัญบอกว่า ขณะนี้เธอมีความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งเธออธิบายเหตุผลไว้ว่า

"รู้สึกว่าอยากจะล่าผู้ชาย อยากเป็นฝ่ายล่าบ้าง เห็นหน้าผู้ชายทีไรจะรู้สึกอย่างนี้ เราอยากปลดปล่อย อยากทำกับเขาเหมือนที่เราโดนจะได้รู้ว่าเราเจ็บปวดแค่ไหน"

เมื่อประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขวัญไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่ทำให้ตัวเองยังไม่หลุดพ้นนั่นเป็นเพราะประสบการณ์ที่ถูกข่มขืนเพียงอย่างเดียวหรือจะรวมเอาที่เธอยอมเปิดเผยตัวกับสื่อด้วยไว้ด้วยหรือไม่

"คิดผิดไหมที่ออกสื่อ มันก็มีทั้งถูกและผิดที่ถูกคือเราได้รับกำลังใจและได้เตือนให้ผู้หญิงคนอื่นระวังตัว แต่ถ้าจะคิดผิดก็ตรงที่ ฟีดแบคด้านลบและผลกระทบต่อจิตใจเราคือระแวงไปหมด กลัวว่าใครจะจำเราได้"

ขวัญยอมรับว่า ผลด้านบวกมีถึง 95% เมื่อเทียบจากทั้งหมด แต่กระนั้น ผลลบแค่ 5 ใน 100 ก็ทำลายกำลังใจได้ในพริบตา ถึงขนาดที่ว่า 95% ก็ยังไม่พอ ผลลัพธ์ที่ได้กลับมา ก็คือ ขาดความมั่นใจในตัวเองและความอ่อนแอ

"เราว่าเราเข้มแข็งแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันไม่ใช่ มันแย่มาก อ่อนแอไปเลย ถ้าใครเจออย่างเรา แล้วอยากจะออกสื่อต้องถามตัวเองก่อนว่ามีจุดประสงค์อะไร รับได้หรือไม่กับผลกระทบที่จะตามมา"

นาทีนี้ขวัญก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิด รู้แต่เพียงว่ามันปนเปกันไปหมด

"ถ้าเราไม่ออกสื่อก็อาจจะหลุดพ้นเร็วกว่าที่คิด ไม่ต้องมาเป็นอย่างนี้ คนรู้เรื่องเราก็จะน้อย ไม่มีใครพูดถึงจะมีแค่เราที่ระแวงตัวเอง แต่นี่กลายเป็นว่าเราไปใส่ใจกับคนอื่นมากขึ้น ระแวงว่าใครจะมาทำอะไร เคยถึงขนาดมีคนมาถามทาง เรายังวิ่งหนีเลย"

เปิดปากสื่อ

ตัวกลางหรือตัวการ?

ในฐานะสื่อที่มีอิทธิพลมากที่สุด วีรณา โอฬารรักษ์ธรรม โปรดิวเซอร์รายการเจาะใจ ออกมาพูดในกรณีนี้ว่า

"กรณีคุณขวัญเราพยายามไม่เผยตัวโดยการใส่วิก ใส่แว่น แต่รายการเราดูดเสียงไม่ได้ ก็คงจะมีคนจำได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่รู้จักกันมาก่อน จะคุ้นเสียง คุ้นสไตล์การพูด แต่กับคนที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่ใช่เพื่อนจะไม่มีปัญหา ซึ่งตรงนี้เราคุยกับคุณขวัญไว้ล่วงหน้าแล้ว พอเขาบอกว่าไม่เป็นไรก็โอเค."

ภายหลังออกอากาศก็มีหนังสือชี้แจงจาก ร.พ.ตำรวจมาถึงรายการ ซึ่งวีรณายอมรับว่าก็เป็นผลตอบรับที่ดีอีกอย่างหนึ่ง แต่ก็ทำใจยอมรับกับผลไม่ดีที่จะตามมา

"ทุกครั้งเราตกลงกับแขกรับเชิญก่อน เราไม่สามารถคาดเดาถึงผลกระทบทั้งดีและไม่ดี เราคนทำก็หวังให้ออกมาดีทุกตอน ผลดีที่ได้รับเราก็ไม่คิดว่าจากมากขนาดนั้น ส่วนที่ไม่ดีก็ไม่เอามาคิด" เจตนาของวีรณา

วีรณา บอกว่า คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงแต่ผลดีภายหลังจากที่ได้ออกอากาศไปแล้ว แต่เรื่องไม่ดีและปัญหาต่างๆ ที่ตามมานั้นก็มีเยอะ ซึ่งแทบจะไม่มีใครคิดในส่วนนี้เลย

"ทั้งเขาและเราก็ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะคนในสังคมก็มีหลากหลาย เราเองก็ระมัดระวังเต็มที่แล้ว ก็ทำเท่าที่ทำได้ อย่าลืมว่าทีวีไม่เหมือนกับสื่ออื่น สื่อทีวีต้องปะทะกับคนทุกรูปแบบ ต้องมีคนไม่เข้าใจ มีทั้งคนรู้น้อย รู้มาก จะไปทำอะไรเขาไม่ได้ เรารู้แค่ว่าเราและแขกรับเชิญมีเจตนาอย่างไร มีจุดยืนอย่างไรก็พอแล้ว" โปรดิวเซอร์คนเดิมชี้แจง

ฟีดแบคด้านไม่ดี โปรดิวเซอร์เจาะใจบอกว่า ไม่สนใจความเห็นตรงนี้ โดยเฉพาะจากการตั้งกระทู้ในอินเทอร์เน็ต

"คุณจะไปสนใจทำไมกับความเห็นที่ไม่แฟร์ ที่ทุเรศ คนเหล่านี้เราไม่เห็นหน้าค่าตา ไม่ลงชื่อ เราถือแค่ว่าเป็นความเห็นของคนๆ หนึ่ง ฟังไว้ไม่เสียหลาย แต่อย่าไปมีอารมณ์ ถือเป็นสิทธิของเขาที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ" ความเห็นจากวีรณา

ข้อจำกัดของรายการทีวีคือต้องเล่าให้รู้เรื่องและให้จบภายในเวลาที่กำหนด กรณีของขวัญ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเล่าซ้ำอีกรอบ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้แตกต่างจากการถูกข่มขืนซ้ำสอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่