ฝ่ายธรรมะ กับ ฝ่ายอธรรม ทางการเมือง ใครเป็นคนเผยแพร่ลัทธินี้ ??

กระทู้คำถาม
ไม่รู้เริ่มต้นตั้งแต่ยุคสมัยไหน แต่ก็คงไม่เกิน 10 ปีมานี้เองที่ขั้วการเมืองไทย ถูกปลุกปั่นให้แบ่งด้วยหลักศีลธรรมอย่างความดี และ ความชั่ว หรือ ธรรมะ และ อธรรม ทั้งที่การต่อสู้ทางการเมืองในภาวะปกตินั้นจะเป็นการต่อสู้ระหว่างขั้วการเมืองสองฝ่ายที่มีนโยบาย ค่านิยม ความเห็น ความชอบ ทางการเมืองแตกต่างกันเท่านั้น ซึ่งการแบ่งออกของประชาชนทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปตามกลุ่มก้อนโดยธรรมชาติ คือ มีทั้งดีและชั่วปะปนกันในทั้งสองฝ่ายตามธรรมชาติของคนเดินดิน กินข้าวแกงที่ที่ไหนทั่วโลกเขาก็เป็นกัน

ก็แล้วทำไมการเมืองไทยถึงพิเศษ ประเทศพิเศษนี้ มีขั้วการเมืองฝ่ายหนึ่งปวารณาตัวเองเป็นฝ่ายคนดีและฉลาดโดยอ้างอิงความรักสถาบันมาช่วยเสริมภาพลักษณ์ และ ขณะเดียวกันก็ยัดเยียดให้ขั้วการเมืองอีกฝ่ายเป็นฝ่ายคนชั่ว และโง่ ไปเรียบร้อยเสร็จสรรพพร้อมกับผลักไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามสถาบันไปในตัว ก็แน่ละในเมื่อเป็นขั้วตรงข้ามกัน อะไรๆก็ต้องตรงข้ามกันให้หมดประมาณนั้น

และการแบ่งแยกเช่นนี้ก็เป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ความขัดแย้งในชาติที่ร้าวลึกอย่างไม่เคยมีมาก่อนเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา แตกแยกอย่างไม่มีทางจะปรองดองกันได้ ถามว่าการแบ่งแยกที่ผิดธรรมชาติอย่างร้ายแรงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นตอนไหน และมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ? ผมขอใช้คำว่าการแบ่งแยกที่ผิดธรรมชาติอย่างร้ายแรงก็เพราะว่า เป็นการแบ่งแยกเหมือนเอาสีเหลือง และ สีแดงมาป้ายใส่คนไทยแต่ละคน ให้ประเทศมีเพียงสองสีนี้เท่านั้น

ยกตัวอย่างประเทศประชาธิปไตยต้นแบบอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการขับเคี่ยวกันของสองพรรคการเมือง ฝ่ายน้ำเงิน และ ฝ่ายแดง Democrats และ Republican ซึ่งอยู่ในภาวะปกติ คือประชาชนที่เลือกแต่ละขั้ว แค่มีความเห็นต่างกันทางการเมืองเฉยๆ ไม่ได้ถูกแบ่งเป็นฝ่ายคนดี และ ฝ่ายคนชั่วแต่อย่างใด ถึงจะเลือกตั้งแพ้ หรือ ชนะ ประชาชนทั้งสองฝ่ายก็ยังคงเป็นพลเมืองอเมริกันเต็มตัว ไม่ได้แบ่งเป็นฝ่ายม้าน้ำเงิน หรือ ช้างแดง แต่อย่างใด

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวันใดวันหนึ่ง ฝ่ายม้าน้ำเงิน ลูกขึ้นมาปวารณาตัวเป็นฝ่ายคนดี รักชาติ และ ชี้ว่าฝ่ายช้างแดง เป็นฝ่ายคนไม่ดี และ ไม่รักชาติ ถ้ามีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น จุดจบคงไม่พ้นเหมือนประเทศไทย แต่เหตุการณ์ที่ว่า คงไม่มีวันเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญแล้วและประชาชนมีวิจารณาญาณเพียงพอ ทันทีที่ผู้นำฝ่ายม้าน้ำเงินกล่าวเช่นนั้น คงโดนประชาชนอเมริกันที่นิยมฝั่งตัวเองสาปส่งก่อน ไม่ต้องรอให้ถึงประชาชนที่นิยมฝั่งช้างแดงหรอก ผมมั่นใจว่ามันจะเป็นอย่างนั้น

แต่ประเทศไทยนั้นไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซิ ทันทีที่ผู้นำฝ่ายคนดีกล่าวเช่นนั้น ลูกหาบที่นิยมฝ่ายคนดี ก็ว่าตามกันกับผู้นำฝ่ายเสียอย่างนั้น ยกตัวเองเข้าเป็นฝ่ายคนดี มีการศึกษา และ จงรักภักดี พร้อมกับไล่ส่งฝ่ายตรงข้ามไปเป็นฝ่าย คนเลว การศึกษาน้อย และ ไม่จงรักภักดี พร้อมขับไล่ให้ออกนอกประเทศไทยไปเลย

เหตุการณ์เดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมสองประเทศมีความเป็นไปแตกต่างกันได้ขนาดนั้น

ประเด็นที่อยากให้ไตร่ตรองคือการนำเอาหลักศีลธรรม อย่างความดี และ ความชั่ว และหลักจารีต อย่างความจงรักภักดี มาตัดสินแบ่งแยกคนเป็นฝ่ายคนดี และ ฝ่ายคนชั่วนั้น ถูกต้องแล้วหรือ นี้เป็นหลักที่มีวิชาการสนับสนุน เป็นไปตามแบบที่มนุษย์ผู้มีการศึกษาสูง มีอารยะ เขาทำกันหรือเปล่า หรือ เป็นแค่การปลุกปั่น ปลุกระดม โดยไม่สนกติกาสัญญาประชาคมใดๆ และ ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ไหนๆในโลกเขาทำกัน การยกตัวเองเข้าไปเป็นฝ่ายดี แล้ว จะทำให้ตัวเรานั้นเป็นฝ่ายธรรมะ ที่ทำอะไรก็ได้ ไม่มีวันผิดจริงหรือ  หรือจริงๆแล้วฝ่ายเรา กับฝ่ายเขาก็ไม่แตกต่างกัน กอปรไปด้วยคนดี และ คนเลวปะปนกันไป และ ที่สำคัญ เป็นคนไทยเหมือนกันทุกๆคนเช่นเดียวกัน อย่างนั้นไม่ใช่หรือ ?

ที่ผมพิมพ์ออกมาเช่นนี้เพราะในแวดวงคนรอบข้างผม อยู่ฝ่ายคนดีมีการศึกษาสูง หรือที่ผมชอบเรียกว่าฝ่ายคนดี ซะ 80% ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสมัยมัธยม มหาวิทยาลัย หรือ เพื่อนร่วมงาน ร่วมธุรกิจ ถามว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายคนดีแล้ว เป็นคนดีจริงๆไหม ผมตอบแทนพวกเขาได้เลยว่าใช่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนดี ดีแบบดีเลยล่ะ  เป็นมิตร เป็นญาติ พี่น้องที่ดี ประกอบอาชีพสุจริต ไม่เบียดเบียนคดโกงใคร มีน้ำใจ มีความตั้งใจดีๆให้กับสังคมและประเทศชาติ และจุดร่วมอย่างหนึ่งของพวกเขาคือรังเกียจคนเลว และ นักการเมืองโกง แต่บางทีพวกเขาก็แสดงความสับสนชีวิตออกมาเหมือนกันเวลาต้องวินิจฉัยอย่างถ่องแท้ว่าใครดี ใครโกง อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามักพลาดไปก็คือ เขาแบ่งแยกคนอื่น ออกจากกลุ่มคนดีของเขาได้อย่าง่ายดาย เพียงไม่กี่มิติ เช่น ชอบทักษิณ เป็นเสื้อแดง ต่อต้านรัฐประหาร เขาจัดหม่วดหมู่ตัวเองอยู่ในฝ่ายธรรมะเป็นที่เรียบร้อย และ พร้อมจะผลักทุกคนที่ไม่ใช่ฝ่ายเขาไปอยู่ฝ่ายอธรรม โดยทันที
ถึงแม้คนๆนั้นจะไม่เคยแม้แต่ฆ่ามดซักตัวก็ตาม

ทำให้ผมสงสัยว่า ทำไมคนที่มีการศึกษาสูง วิจารณญาณน่าจะสูงกว่าชาวบ้านปกติของไทย ถึงมีการตอบสนองต่อการปลุกปั่นด้วยวิธีเดียวกันไม่เหมือนกับคนที่มีการศึกษาในประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกัน ทั้งที่หลายๆคนก็เรียนสถาบันกับฝรั่งมังค่าเหล่านั้นมาด้วยซ้ำ หรือเพราะประเทศเราหล่อหลอมคนมาผิดแบบตั้งแต่เด็กกันแน่ คนเรียนสูงเรียนเพื่อตัวเอง หรือ เพื่อสังคมเคยถามตัวเองไหม ความภูมิใจของคนที่สอบได้ที่หนึ่ง คือความภูมิใจในความพยายามของตัวเอง หรือความภูมิใจในการได้อยู่เหนือเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดกันแน่ บางทีเราอาจพลาดที่การศึกษาซึ่งแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างหนัก จนทำให้ผู้ชนะ รักในชัยชนะและ เหยียดหยามผู้แพ้ฝังลึกลงไปในจิตใจ จนแม้กระทั่งเติบโตกลายเป็นผู้ชนะในชีวิตการงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเพื่อนร่วมชาติ 80% ที่เหลือของประเทศแล้ว ก็ยังคงอยากรักษาชัยชนะที่หอมหวานนั้นไว้ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศนี้ เป็นเช่นนี้ตลอดไปตราบนานเท่านาน ตามคำที่เราได้ยินกันบ่อยๆจากปากพวกเขา "อยากให้ประเทศไทยกลับไปเป็นเหมือนเดิม"

ถึงจะสงสัยเพียงใด แต่วิธีอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของผมกับพวกเขาคือ งดคุยกันเรื่องการเมืองครับ ผมมีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกับพวกเขา และผมเห็นว่าเป็นเรื่องป่วยการที่จะพยายามพูดคุยหรือ โน้มน้าวให้เขามาเห็นเหมือนกัน และไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องทำอย่างนั้น ในเมื่อการเมืองเป็นเรื่องของความเห็นต่าง แค่เคารพในความเห็นของกันและกันก็พอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่