ก่อนอื่นต้องขอย้อนเวลากลับไปเมื่อสักสองปีก่อน ตอนที่มีความรู้สึกว่า
"ไม่ไหวแล้ว" "อยากออกกำลังกาย" "โทรมลงเรื่อยๆแล้วนะ" "สักทีเถอะ" ฯลฯ
จนในที่สุดก็ได้เสียเงินสมใจ ควักกระเป๋าซื้อรองเท้าผ้าใบราคาไม่ถึงเลขสี่หลักมาคู่ถึง
พิจารณาตามที่ค้นหาข้อมูลมาแล้วว่า มันต้องพื้นหน้าหน่อย มีความนุ่ม จะได้ไม่อันตรายกับหัวเข่า
จากนั้นไม่นานก็ได้ไปออกกำลังกายสมใจ นั่นคือ การไปวิ่งออกกำลังที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน
ช่วงแรกๆยังไฟแรงมากก็เลยไปตอนเช้าๆ คิดว่าอากาศจะดีและไม่ร้อนแดด
ปรากฏว่ามีคนที่คิดเหมือนเรามากมาย คนมากันเพียบ วิ่งแทบจะชนกัน ต้องระวังรถใหญ่ และพวกจักรยานที่มากันเป็นกลุ่มๆ
เลยเปลี่ยนมาหาเวลาวิ่งช่วงสายๆหรือบ่ายๆแทน พยายามวิ่งอยู่สักพักหนึ่งก็ไม่ไหว
เรื่องความร้อนไม่เท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าเข่าเราจะไม่ไหวนะ
เริ่มรู้สึกท้อเลย วิ่งไกลวิ่งเหนื่อยเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าเข่าเจ็บนี่จบกันเลย
ก็เลยห่างๆไปช่วงนึง พอสักพักอยากจะกลับมาวิ่งอีกก็กลัวจะเจ็บเข่าอีก เอาไงดีหว่า
นั่งเล่นเวบ ดูโน่นดูนี่ไปเพลินๆ ก็ไปเจอพวกรูปจักรยานสวยๆขี่กันเป็นครอบครัว
ก็นั่งหาข้อมูลต่อ เริ่มมีความหวังในทางบวก หาข้อมูลตามบอร์ดต่างๆไปเรื่อยๆ จนในที่สุด
ไปได้จักรยานพับมาคันนึง (ตอนนั้นคนฮิตกันมากเลย จักรยานพับแล้วเอาใส่รถได้ สะดวก เท่)
หลังจากนั้นก็ไปไล่ซื้อ หมวกกันน๊อก ไฟหน้า ไฟท้าย ถุงมือ กระติกน้ำ ฯลฯ
จนคิดว่าพอละ พร้อมที่ไปขี่ออกกำลังได้
และแล้วความบันเทิงใหม่ๆในชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น ...
ขี่วันแรก เหนื่อยแทบสลบ จำได้ว่าไม่ถึง 20 km ทั้งๆที่ไม่ได้หักโหม ใช้แต่เกียร์สูงๆ
ยกเว้นตอนลงสะพานหรือลงเนินก็ควบส่งไปเต็มที่
มองเลขในหน้าปัดจ์ก็ลุ้นไปว่าท๊อปสปีดไปได้แค่ไหน
สนุกจนลืมเวลาไปเลย
และแล้วการ จักรยานก็มีเรื่องแปลกๆให้เราเอามาคิด ..
ตอนขี่จักรยาน เจอใครขี่สวนมา ทุกคนจะยิ้มหรือพยักหน้า ทักทาย สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ
ช่วงแรกผมเขินมากเลย เพราะไม่ได้ตั้งตัว และเมื่อก่อนตอนมาวิ่งก็ไม่เคยมีใครทักหรือยิ้มให้มาก่อน
นึกในใจ คนชอบวิ่งกับคนชอบปั่นอาจจะมีนิสัยมนุษย์สัมพันธ์คนละแบบ
ผมก็ไปปั่นจักรยานอยู่พักใหญ่ๆครับ แต่จะไปตอนสายๆ หรือไม่ก็บ่ายๆ หลีกเลี่ยงช่วงคนเยอะ เพราะมันวุ่นวาย
สังคมจักรยานก็เป๋นแบบนี้มาตลอด ไม่รู้ใครเป็นใครแต่ก็จะสวัสดีกันตลอด จนบางทีผมก็เผลอสวัสดีคนเดิมซ้ำไปสองสามรอบ
จนมีอยู่วันหนึ่ง มีเหตุให้ต้องฉงน
คุณแม่ของผมโทรมาบอกว่าคนงานตัดหญ้าที่บ้านได้รับอุบัติเหตุ ให้ผมรีบพาไปหาหมอ
พอผมไปถึงก็ช้าไปหน่อย พวกๆคนงานด้วยกันพาไปส่งหมอเรียบร้อยแล้ว
ติดตรงที่ยังมีสัมภาระของคนงานที่ยังไม่ได้เอากลับไป ผมก็เลยจัดการแบกขึ้นท้ายกระบะเตรียมกลับบ้าน
ขับรถไปได้สักพัก บังเอิญมันผ่านสถานที่ๆผมเคยมาขี่จักรยานพอดี และตอนนั้นมีเวลาว่าง รีบแวะเข้าไปเลย
ยกจักรยานแม่บ้านของคนงานลง หมวกกันน๊อกไม่มี แต่มีหมวกฟางของคนงาน เอาวะใส่กันแดดไปก่อน
เวลาตอนนั้นเริ่มจะบ่ายแก่ๆแล้วจึงมีคนมาออกกำลังกันบ้างแล้ว ผมก็เริ่มขี่จักยานไปสบายใจ
แปลกๆหน่อยตรงที่มันไม่มีเกียร์ให้สับ ก็เลยต้องปั่นเรื่อยๆชมนกชมไม้
แต่ระหว่างคุณรู้มั้ย ไม่มีใครทักผมเลย ไม่มีใครมองมา ไม่มีใครยิ้มและ "สวัสดีครับ" "สวัสดีค่ะ"
มันเกิดอะไรขึ้นหว่า หรือตัวผมดูสกปรก ดูจน หรือขี่จักยานแม่บ้านเก่าๆ
หรือไปละเมิดกฏอะไรในโลกพิศวงของคนขี่จักรยานเข้ารึเปล่า
โลกพิศวง ของคนขี่จักรยาน
"ไม่ไหวแล้ว" "อยากออกกำลังกาย" "โทรมลงเรื่อยๆแล้วนะ" "สักทีเถอะ" ฯลฯ
จนในที่สุดก็ได้เสียเงินสมใจ ควักกระเป๋าซื้อรองเท้าผ้าใบราคาไม่ถึงเลขสี่หลักมาคู่ถึง
พิจารณาตามที่ค้นหาข้อมูลมาแล้วว่า มันต้องพื้นหน้าหน่อย มีความนุ่ม จะได้ไม่อันตรายกับหัวเข่า
จากนั้นไม่นานก็ได้ไปออกกำลังกายสมใจ นั่นคือ การไปวิ่งออกกำลังที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน
ช่วงแรกๆยังไฟแรงมากก็เลยไปตอนเช้าๆ คิดว่าอากาศจะดีและไม่ร้อนแดด
ปรากฏว่ามีคนที่คิดเหมือนเรามากมาย คนมากันเพียบ วิ่งแทบจะชนกัน ต้องระวังรถใหญ่ และพวกจักรยานที่มากันเป็นกลุ่มๆ
เลยเปลี่ยนมาหาเวลาวิ่งช่วงสายๆหรือบ่ายๆแทน พยายามวิ่งอยู่สักพักหนึ่งก็ไม่ไหว
เรื่องความร้อนไม่เท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าเข่าเราจะไม่ไหวนะ
เริ่มรู้สึกท้อเลย วิ่งไกลวิ่งเหนื่อยเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าเข่าเจ็บนี่จบกันเลย
ก็เลยห่างๆไปช่วงนึง พอสักพักอยากจะกลับมาวิ่งอีกก็กลัวจะเจ็บเข่าอีก เอาไงดีหว่า
นั่งเล่นเวบ ดูโน่นดูนี่ไปเพลินๆ ก็ไปเจอพวกรูปจักรยานสวยๆขี่กันเป็นครอบครัว
ก็นั่งหาข้อมูลต่อ เริ่มมีความหวังในทางบวก หาข้อมูลตามบอร์ดต่างๆไปเรื่อยๆ จนในที่สุด
ไปได้จักรยานพับมาคันนึง (ตอนนั้นคนฮิตกันมากเลย จักรยานพับแล้วเอาใส่รถได้ สะดวก เท่)
หลังจากนั้นก็ไปไล่ซื้อ หมวกกันน๊อก ไฟหน้า ไฟท้าย ถุงมือ กระติกน้ำ ฯลฯ
จนคิดว่าพอละ พร้อมที่ไปขี่ออกกำลังได้
และแล้วความบันเทิงใหม่ๆในชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น ...
ขี่วันแรก เหนื่อยแทบสลบ จำได้ว่าไม่ถึง 20 km ทั้งๆที่ไม่ได้หักโหม ใช้แต่เกียร์สูงๆ
ยกเว้นตอนลงสะพานหรือลงเนินก็ควบส่งไปเต็มที่
มองเลขในหน้าปัดจ์ก็ลุ้นไปว่าท๊อปสปีดไปได้แค่ไหน
สนุกจนลืมเวลาไปเลย
และแล้วการ จักรยานก็มีเรื่องแปลกๆให้เราเอามาคิด ..
ตอนขี่จักรยาน เจอใครขี่สวนมา ทุกคนจะยิ้มหรือพยักหน้า ทักทาย สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ
ช่วงแรกผมเขินมากเลย เพราะไม่ได้ตั้งตัว และเมื่อก่อนตอนมาวิ่งก็ไม่เคยมีใครทักหรือยิ้มให้มาก่อน
นึกในใจ คนชอบวิ่งกับคนชอบปั่นอาจจะมีนิสัยมนุษย์สัมพันธ์คนละแบบ
ผมก็ไปปั่นจักรยานอยู่พักใหญ่ๆครับ แต่จะไปตอนสายๆ หรือไม่ก็บ่ายๆ หลีกเลี่ยงช่วงคนเยอะ เพราะมันวุ่นวาย
สังคมจักรยานก็เป๋นแบบนี้มาตลอด ไม่รู้ใครเป็นใครแต่ก็จะสวัสดีกันตลอด จนบางทีผมก็เผลอสวัสดีคนเดิมซ้ำไปสองสามรอบ
จนมีอยู่วันหนึ่ง มีเหตุให้ต้องฉงน
คุณแม่ของผมโทรมาบอกว่าคนงานตัดหญ้าที่บ้านได้รับอุบัติเหตุ ให้ผมรีบพาไปหาหมอ
พอผมไปถึงก็ช้าไปหน่อย พวกๆคนงานด้วยกันพาไปส่งหมอเรียบร้อยแล้ว
ติดตรงที่ยังมีสัมภาระของคนงานที่ยังไม่ได้เอากลับไป ผมก็เลยจัดการแบกขึ้นท้ายกระบะเตรียมกลับบ้าน
ขับรถไปได้สักพัก บังเอิญมันผ่านสถานที่ๆผมเคยมาขี่จักรยานพอดี และตอนนั้นมีเวลาว่าง รีบแวะเข้าไปเลย
ยกจักรยานแม่บ้านของคนงานลง หมวกกันน๊อกไม่มี แต่มีหมวกฟางของคนงาน เอาวะใส่กันแดดไปก่อน
เวลาตอนนั้นเริ่มจะบ่ายแก่ๆแล้วจึงมีคนมาออกกำลังกันบ้างแล้ว ผมก็เริ่มขี่จักยานไปสบายใจ
แปลกๆหน่อยตรงที่มันไม่มีเกียร์ให้สับ ก็เลยต้องปั่นเรื่อยๆชมนกชมไม้
แต่ระหว่างคุณรู้มั้ย ไม่มีใครทักผมเลย ไม่มีใครมองมา ไม่มีใครยิ้มและ "สวัสดีครับ" "สวัสดีค่ะ"
มันเกิดอะไรขึ้นหว่า หรือตัวผมดูสกปรก ดูจน หรือขี่จักยานแม่บ้านเก่าๆ
หรือไปละเมิดกฏอะไรในโลกพิศวงของคนขี่จักรยานเข้ารึเปล่า