เราขอแตกกระทู้นะคะ รู้สึกว่าทู้นี้มันออกทะเลไปไกลละ
เอาเป็นว่า กระทู้นี้เป็นแค่เรื่องเล่าของเพื่อนเราที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมา
ส่วนกระทู้ใหม่ ขออัดข้อมูล สถิติ เน้นๆ
ใครสนใจตามไปอ่านได้ค่ะ
ข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับการข่มขืน - ผู้หญิง 1 ในทุกๆ 6 คน จะตกเป็นเหยื่อการข่มขืน
http://pantip.com/topic/32308448
=========================================
ได้ขึ้นกระทู้แนะนำด้วย ขอบคุณทุกคนที่โหวตให้นะคะ
เมื่อวานตอนพิมพ์ไม่ได้วางแผนอะไรก่อน แบบอารมณ์กับลังเดือดได้ที่ พิมพ์ๆโพสต์ๆไปตั้งแต่หกโมง รู้ตัวอีกทีสามทุ่มกว่างานการยังไม่ได้ทำ

พอมาอ่านอีกทีเช้านี้ ทนไม่ได้ ขอ EDIT ใหม่หมดเลยละกัน แหะๆๆ
ใครที่ตามอ่านมา ถ้าเป็นไปได้ อยากให้อ่านซ้ำอีกสักรอบนะคะ เราพยายามเพิ่มเติมส่วนที่ตกหล่น แล้วก็ปรับภาษาให้โอเคขึ้นละ
=========================================
จากที่ได้ติดตามเรื่องของน้องแก้ม และอ่านกระทู้แนะนำที่หลายคนรณรงค์อยากให้ผู้ร้ายข่มขืนได้รับโทษประหาร บ้างก็ว่าตายง่ายไป น่าจะโดนตัดตอนทิ้ง หรือจำคุกตลอดชีวิต บ้างก็ว่าอาจจะทำให้เหยื่อโดนฆ่าปิดปาก แต่ถามกันตรงๆนะ เรื่องนี้คนที่ควรจะมีสิทธิออกความคิดเห็นมากที่สุด คือ เหยื่อที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มารึเปล่า?
ตามที่ได้อ่านมา เหมือนหลายคนยังมองเรื่องนี้ค่อนข้างไกลตัวเอง หรือมีทัศนคติผิดๆเกี่ยวกับผู้ร้าย-เหยื่อในคดีข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ เลยอยากแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสาวไทยคนหนึ่งที่ต้องผ่านเหตุการณ์นี้มา รวมถึงแชร์ความรู้ที่เคยมีโอกาสผ่านตามาบ้าง
ขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง
เราก็เคยเป็นคนหนึ่งที่มองว่า เรื่องการฆ่าข่มขืน กระทำชำเรา เป็นเรื่องที่ไกลตัว คือรู้แหละว่ามีผู้ถูกกระทำแทบทุกวัน แถมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดกับคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เป็นหญิงหรือชาย แต่ไม่เคยนึกว่ามันจะมาเกิดกับเรา หรือคนใกล้ตัวเราได้ จนกระทั่งได้รับรู้เรื่องของเพื่อนคนหนึ่ง ขอสมมติชื่อว่า ไหม
ไหม ก็เป็นเด็กธรรมดา ร่าเริงสดใส เรียนเก่งมาก มีเสน่ห์ มีหนุ่มๆมาจีบเยอะ ไหมจะอยู่กลุ่มเด็กเรียน เรียบร้อย เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมจนเข้ามหาวิทยาลัย ไหมจะมีนิสัยที่ต่างจากคนอื่นอยู่หลักๆสองอย่างคือ ไม่เรียกแม่ตัวเองว่า "แม่" กับ ค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องเซ็กซ์กว่าเพื่อนๆ
เวลาไหมเรียกแม่ตัวเอง จะเรียกว่า ป้า คุณนาย ไม่ก็เรียกชื่อเลย เราก็นึกว่าเป็นการเรียกเล่นๆในบ้านเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร
ส่วนเรื่องเซ็กซ์ เราก็มองว่าไหมคงนิยมวัฒนธรรมตะวันตกมากกว่า ไม่ได้มองว่าเรื่องการรักษาความบริสุทธิ์เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอันนี้ก็เป็นความคิดส่วนบุคคลอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เราสังเกตว่าไหมจะเป็นคนที่ค่อนข้างมี low self-esteem แล้วก็เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วย
จนกระทั่งปี 4 ตอนนั้นเราฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนไหมไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีน 1 ปี ระหว่างนั้น ไหมมีแฟนเป็นหนุ่มอเมริกันที่เข้าโครงการ exchange เดียวกัน ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเพื่อนเรามีความสุขมากจริงๆ ดูสดใสกว่าเดิมมาก เราก็คิดว่าคงจะรักกับแฟนมาก ซึ่งถ้าเขามีอะไรกันเราก็ไม่แปลกใจเพราะไหมก็เปิดเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่อยู่มาวันนึง ไหมก็โทรหาเราแล้วร้องไห้ เราก็อึ้งๆงงๆว่าเพื่อนเป็นอะไร จากที่จับใจความได้ เหมือนว่าจะเลิกกับแฟนแล้ว และตอนนี้ก็กินเหล้าย้อมใจอยู่ ด้วยความที่ไม่เคย กินไปขวดเดียวก็เมาแล้ว
เราก็คุยเป็นเพื่อน ปลอบใจคิดว่าเพื่อนอกหัก แต่ปรากฏว่าคนที่บอกเลิกคือเพื่อนเราเอง แล้วไหมก็ถามเราว่า ทำไมเราไม่เคยถามเลยว่าทำไมไหมถึงไม่เรียกแม่ ว่า "แม่" จากนั้นไหมก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เธอยังเด็ก เธอเคยถูกลุง ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของแม่ ล่วงละเมิดทางเพศ
ตามที่เราทราบได้จากการพูดคุยกับไหมหลายๆครั้ง คือ ตอนที่ไหมยังเด็ก พ่อแม่ฐานะค่อนข้างยากจน ต้องขายของตั้งแต่เช้าถึงมืด แล้วลุงซึ่งมีฐานะดีกว่า เป็นคนที่คอยช่วยเหลือด้านการเงิน แล้วก็เป็นคนดูแลไหมตอนที่พ่อแม่ยังไม่กลับบ้าน โดยทุกๆวันลุงจะไปรับไหมที่โรงเรียน พามาที่บ้านลุง แล้วกระทำการลวมลามเด็ก เหตุการณ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ไหมอายุ 8 ขวบ จนถึง 11 ขวบ ที่น่าสนใจคือ ลุงไม่ได้ข่มขืนเด็กทันที แต่ทำการ grooming หรือการเตรียมเหยื่อให้กลายเป็นทาสกามโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการนี้นัก เพราะมันจะดูเหมือนว่าเหยื่อเป็นฝ่ายสมยอมเอง ทั้งที่จริงๆเป็นวิธีของผู้ล่า
เริ่มแรกลุงจะเอาใจ ทำให้ไหมชอบมาเที่ยวบ้าน จากนั้นก็เริ่มมีการแก้ผ้าให้เด็กเห็น หรือจับไหมแก้ผ้าอาบน้ำ คือเด็ก 8 ขวบ บางทีก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ต่อจากนั้นก็ให้ไหมจับอวัยะเพศตัวเอง เพื่อบอกว่าต่างกับเพศหญิงยังไง วิธีการจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ให้ไก่ตื่น จนผ่านไปหลายปี ทางบ้านก็ไว้ใจลุง ไหมก็ไม่รู้เรื่องอะไร ลุงก็เลยเริ่มลงมือ ซึ่งตรงนี้ขอไม่ลงรายละเอียด แต่แค่อยากบอกว่า มันมีวิธีการล่วงละเมิดทางเพศคนคนนึงมากมาย โดยที่ผู้กระทำไม่จำเป็นจะต้องสอดใส่อวัยวะเพศของตัวเอง เลยไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการข่มขืนจริงๆ
ในช่วงเวลานี้ ไหมเริ่มเกลียดลุงขึ้นมาแล้ว และงอแงกับแม่ขอไม่ไปบ้านลุง ขอไม่ให้ลุงมารับมาส่ง แต่แม่บอกว่าถ้าไม่มีลุงก็ไม่มีคนอื่นดูแลลูก ไหมเลยเล่าให้แม่ฟังว่าลุงทำอะไรบ้าง แต่แม่ก็ยังยืนยันว่าไหมต้องไป (ตอนนั้นไหมยังไม่รู้นะ ว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเองคืออะไร) ไหมบอกว่า เคยกระโดดจากบันไดบ้านเพราะโกรธแม่ จนหัวแตกเย็บไปสิบเข็ม แต่วันรุ่งขึ้นแม่ให้ลุงมาเฝ้าไข้ คงไม่ต้องบอกว่าเป็นยังไงต่อ และเรื่องทำนองนี้ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ การล่วงละเมิดก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มมีการสอดใส่ ซึ่งหมายความว่าไหมถูกข่มขืนเป็นเวลานานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อของไหมรู้เรื่องนี้เข้าและทะเลาะกับแม่ ว่าทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้กับลูกได้
จากคำพูดของพ่อกับแม่ในครั้งนั้น ไหมสรุปได้ว่า ตัวเองเป็นของตอบแทนที่แม่ให้กับลุง ในฐานะที่ลุงคอยจุนเจือด้านการเงินให้กับที่บ้าน หรือพูดตรงๆก็คือ ขายลูกสาวกิน ยังดีที่พ่อไม่ยอมและจัดการให้ลุงไม่มีโอกาสมาใกล้ชิดไหมอีก และจากนั้นไหมเลยไม่มองว่าแม่เป็น "แม่" ที่แท้จริงของตัวเองอีก
ตอนทราบเรื่องนี้ครั้งแรก เราไม่รู้จะพูดอะไรด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง แล้วก็สงสัยว่าทำไมเราถึงไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดกับคนที่ใกล้ตัวเราขนาดนี้ หลังจากโทรมาวันนั้น ไหมก็ขอให้เราลืมเรื่องนี้ แล้วก็บอกว่าไหมเมาบ้าง โกหกบ้าง แต่งเรื่องเล่นๆบ้าง แต่เรารู้จักเพื่อนเราดี คบกันมาเกือบสิบปีทำไมเราจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก จนเวลาต่อมา ไหมเลยยอมรับได้ว่าเราเป็นอีกคนที่รู้ความลับตรงนี้ และยอมคุยกับเราเรื่องนี้ เราเคยถามว่าลุงถูกดำเนินคดีอะไรมั้ย ไหมบอกว่าไม่ เพราะที่บ้านไม่อยากให้เป็นข่าว เสียชื่อเสียง แล้วลุงก็มีบุญคุณด้วย แล้วจากนั้นไหมโดนล่วงละเมิดอะไรอีกมั้ย ไหมบอกว่า บางทีเวลามีงานรวมญาติ ลุงจะชอบลวนลวมไหม จับหน้าอก จับก้นแบบเนียนๆ แต่ไม่สามารถทำอะไรมากกว่านั้นได้ ปกติไหมจะเลี่ยงที่จะเจอลุง แต่แม่ก็มักจะบังคับให้ไหมต้องไป
ส่วนเรื่องของแฟน ปรากฎว่าไหมเล่าให้แฟนฟัง แล้วเขาบอกว่า "It's alright. I forgive you."
ไหมก็บอกว่า ทำไมต้องยกโทษให้ ฉันทำอะไรผิด ฉันถูกข่มขืนฉันผิดเหรอ เลยทะเลาะกันแล้วก็บอกเลิกไป แต่หลังจากนั้น ไหมก็เป็นโรคซึมเศร้าค่อนข้างรุนแรง มีการทำร้ายร่างกายบ้าง แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เราเคยแยะยำให้ไหมไปพบจิตแพทย์ แต่ด้วยทัศนคติของสังคมและครอบครัว ที่คิดว่าถ้าไปรักษาทางจิตก็แปลว่าบ้า ไหมเลยไม่เคยได้รับการรักษาจริงจัง
ปัจจุบัน ไหมทำงานได้เงินเดือนดี มีแฟนที่รักกันดี ที่บ้านก็ดูอบอุ่น คือคนอื่นไม่มีทางรู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง มีแค่บางครั้งที่นางจะสติแตกขึ้นมา หรืออยู่ๆก็เศร้าซึมไปเลย มันทำให้เราคิดนะ ว่าคนรอบๆตัวเราล่ะ มีใครบ้างที่เจอเรื่องเลวร้ายมา แต่ไม่อาจบอกใครได้ เพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวคนรักจะรับไม่ได้ กลัวสังคมจะรังเกียจ
จากที่กล่าวไว้ด้านบนว่า เ
รื่องนี้คนที่ควรจะมีสิทธิออกความคิดเห็นมากที่สุด คือ เหยื่อที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มารึเปล่า?
เราเองเคยคิดว่า ให้ตายมันง่ายไป น่าจะมีบทลงโทษอะไรให้สำนึกในบาปที่ทำลงไปมั่ง เคยพูดเล่นๆว่า อย่างงี้ต้องโดนตุ๋ยจนตาย!!!
พอถามไหม ไหมบอกว่า อยากให้เขาตายๆไปซะ ไม่ต้องขังคุก ไม่ต้องพบแพทย์รักษา บำเพ็ญประโยชน์อะไรทั้งนั้น แค่อยากให้ลุงคนนั้นตายๆไปสักที ไหมจะได้ไม่ต้องคอยกลัว คอยกังวลอีก
ซึ่งความคิดของไหม ตรงกับคำพูดของเหยื่อหลายๆคนที่เราได้อ่านมาว่า
สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุด คือให้คนที่ทำร้ายพวกเขาตายไปเสีย
ส่วนที่บอกว่า ถ้าโทษประหาร อาจจะทำให้เหยื่อนอกจากโดนข่มขืนแล้ว ยังโดนฆ่าปิดปากอีกด้วย ไหมก็ถามเรากลับว่า แล้วแกคิดว่าเราอยากอยู่แบบนี้เหรอ? ถ้าเลือกได้ ขอโดนฆ่าตายดีกว่าถูกข่มขืน แล้วไหมก็บอกด้วยว่า ถ้าตนเองต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นอีกตอนที่โตแล้ว รู้เรื่องแล้วว่าอะไรเป็นอะไร คงเลือกจะฆ่าตัวตาย แต่สำหรับไหม เราเข้าใจว่าเป็นกลไกการปกป้องตัวเองของร่างกายละทั้ง เธอเลยรู้สึกเหมือนว่าช่วงเวลานั้นเป็นความฝันที่เบลอๆ บางทีก็บอกว่า เธออาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าโดนข่มขืน อาจจะยังไม่โดนก็ได้ บางทีก็บอกว่าจำไม่ได้ แต่เวลานางเมา ความทรงจำมาเป๊ะทุกที
อีกประเด็นหนึ่งที่เราเคยคุยกันคือ
การข่มขืน มันไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ทางเพศ
เวลาที่คนเราเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมา ยกตัวอย่างเพศชาย ทางออกมีเยอะแยะ ง่ายสุดก็คือช่วยตัวเอง แต่การที่คนคนหนึ่งจะข่มขืนอีกคนได้ มันมีอะไรมากกว่าเรื่องกามารมณ์ ในทางจิตใจ ผู้กระทำคงจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ว่าตัวเองแข็งแรง และมีอำนาจเหนือกว่าคนที่ถูกกระทำ มันต้องใช้ความรุนแรง และยังมีความเสี่ยงว่าอาจจะถูกดำเนินคดีได้ แต่ยังเลือกจะทำ เพราะอะไรกันแน่? ต้องการความตื่นเต้น? ชอบความรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือกฏหมาย? อยากลอง? เลียนแบบหนังโป๊?
ในความเห็นเรา สิ่งที่ควรจะทำจริงๆเกี่ยวกับคดีข่มขืน คือเปลี่ยนทัศนคติสังคมซะ เหยื่อไม่ควรเป็นคนที่ต้องอับอาย จะหญิงจะชาย จะแต่งตัวยังไงทำตัวแบบไหนก็ไม่ควรถูกมองว่าสมควรถูกกระทำแบบนี้ได้ ถ้าเปลี่ยนตรงนี้ได้ คงมีผู้ร้ายข่มขืนถูกดำเนินคดีกันมากขึ้น แล้วคดีแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นน้อยลงเอง เพราะทุกวันนี้ ผู้ร้ายมันยังใช้ความกลัวของเหยื่อเป็นเครื่องมือให้เอาตัวรอดจากบาปที่ตัวเองทำไปได้
(ชักยาวเกิน ขออนุญาตต่อเรื่องข้อมูลสถิติ และงานวิจัยด้านจิตวิทยาและอื่นๆด้านล่าง)
[ข่มขืน โทษประหาร?] เมื่อเพื่อนของฉันโดนข่มขืน
เอาเป็นว่า กระทู้นี้เป็นแค่เรื่องเล่าของเพื่อนเราที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมา
ส่วนกระทู้ใหม่ ขออัดข้อมูล สถิติ เน้นๆ
ใครสนใจตามไปอ่านได้ค่ะ
ข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับการข่มขืน - ผู้หญิง 1 ในทุกๆ 6 คน จะตกเป็นเหยื่อการข่มขืน
http://pantip.com/topic/32308448
=========================================
ได้ขึ้นกระทู้แนะนำด้วย ขอบคุณทุกคนที่โหวตให้นะคะ
เมื่อวานตอนพิมพ์ไม่ได้วางแผนอะไรก่อน แบบอารมณ์กับลังเดือดได้ที่ พิมพ์ๆโพสต์ๆไปตั้งแต่หกโมง รู้ตัวอีกทีสามทุ่มกว่างานการยังไม่ได้ทำ
ใครที่ตามอ่านมา ถ้าเป็นไปได้ อยากให้อ่านซ้ำอีกสักรอบนะคะ เราพยายามเพิ่มเติมส่วนที่ตกหล่น แล้วก็ปรับภาษาให้โอเคขึ้นละ
=========================================
จากที่ได้ติดตามเรื่องของน้องแก้ม และอ่านกระทู้แนะนำที่หลายคนรณรงค์อยากให้ผู้ร้ายข่มขืนได้รับโทษประหาร บ้างก็ว่าตายง่ายไป น่าจะโดนตัดตอนทิ้ง หรือจำคุกตลอดชีวิต บ้างก็ว่าอาจจะทำให้เหยื่อโดนฆ่าปิดปาก แต่ถามกันตรงๆนะ เรื่องนี้คนที่ควรจะมีสิทธิออกความคิดเห็นมากที่สุด คือ เหยื่อที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มารึเปล่า?
ตามที่ได้อ่านมา เหมือนหลายคนยังมองเรื่องนี้ค่อนข้างไกลตัวเอง หรือมีทัศนคติผิดๆเกี่ยวกับผู้ร้าย-เหยื่อในคดีข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ เลยอยากแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว ที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับสาวไทยคนหนึ่งที่ต้องผ่านเหตุการณ์นี้มา รวมถึงแชร์ความรู้ที่เคยมีโอกาสผ่านตามาบ้าง
ขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง
เราก็เคยเป็นคนหนึ่งที่มองว่า เรื่องการฆ่าข่มขืน กระทำชำเรา เป็นเรื่องที่ไกลตัว คือรู้แหละว่ามีผู้ถูกกระทำแทบทุกวัน แถมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดกับคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เป็นหญิงหรือชาย แต่ไม่เคยนึกว่ามันจะมาเกิดกับเรา หรือคนใกล้ตัวเราได้ จนกระทั่งได้รับรู้เรื่องของเพื่อนคนหนึ่ง ขอสมมติชื่อว่า ไหม
ไหม ก็เป็นเด็กธรรมดา ร่าเริงสดใส เรียนเก่งมาก มีเสน่ห์ มีหนุ่มๆมาจีบเยอะ ไหมจะอยู่กลุ่มเด็กเรียน เรียบร้อย เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมจนเข้ามหาวิทยาลัย ไหมจะมีนิสัยที่ต่างจากคนอื่นอยู่หลักๆสองอย่างคือ ไม่เรียกแม่ตัวเองว่า "แม่" กับ ค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องเซ็กซ์กว่าเพื่อนๆ
เวลาไหมเรียกแม่ตัวเอง จะเรียกว่า ป้า คุณนาย ไม่ก็เรียกชื่อเลย เราก็นึกว่าเป็นการเรียกเล่นๆในบ้านเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร
ส่วนเรื่องเซ็กซ์ เราก็มองว่าไหมคงนิยมวัฒนธรรมตะวันตกมากกว่า ไม่ได้มองว่าเรื่องการรักษาความบริสุทธิ์เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอันนี้ก็เป็นความคิดส่วนบุคคลอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เราสังเกตว่าไหมจะเป็นคนที่ค่อนข้างมี low self-esteem แล้วก็เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วย
จนกระทั่งปี 4 ตอนนั้นเราฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนไหมไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีน 1 ปี ระหว่างนั้น ไหมมีแฟนเป็นหนุ่มอเมริกันที่เข้าโครงการ exchange เดียวกัน ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเพื่อนเรามีความสุขมากจริงๆ ดูสดใสกว่าเดิมมาก เราก็คิดว่าคงจะรักกับแฟนมาก ซึ่งถ้าเขามีอะไรกันเราก็ไม่แปลกใจเพราะไหมก็เปิดเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่อยู่มาวันนึง ไหมก็โทรหาเราแล้วร้องไห้ เราก็อึ้งๆงงๆว่าเพื่อนเป็นอะไร จากที่จับใจความได้ เหมือนว่าจะเลิกกับแฟนแล้ว และตอนนี้ก็กินเหล้าย้อมใจอยู่ ด้วยความที่ไม่เคย กินไปขวดเดียวก็เมาแล้ว
เราก็คุยเป็นเพื่อน ปลอบใจคิดว่าเพื่อนอกหัก แต่ปรากฏว่าคนที่บอกเลิกคือเพื่อนเราเอง แล้วไหมก็ถามเราว่า ทำไมเราไม่เคยถามเลยว่าทำไมไหมถึงไม่เรียกแม่ ว่า "แม่" จากนั้นไหมก็เล่าให้ฟังว่า ตอนที่เธอยังเด็ก เธอเคยถูกลุง ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของแม่ ล่วงละเมิดทางเพศ
ตามที่เราทราบได้จากการพูดคุยกับไหมหลายๆครั้ง คือ ตอนที่ไหมยังเด็ก พ่อแม่ฐานะค่อนข้างยากจน ต้องขายของตั้งแต่เช้าถึงมืด แล้วลุงซึ่งมีฐานะดีกว่า เป็นคนที่คอยช่วยเหลือด้านการเงิน แล้วก็เป็นคนดูแลไหมตอนที่พ่อแม่ยังไม่กลับบ้าน โดยทุกๆวันลุงจะไปรับไหมที่โรงเรียน พามาที่บ้านลุง แล้วกระทำการลวมลามเด็ก เหตุการณ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่ไหมอายุ 8 ขวบ จนถึง 11 ขวบ ที่น่าสนใจคือ ลุงไม่ได้ข่มขืนเด็กทันที แต่ทำการ grooming หรือการเตรียมเหยื่อให้กลายเป็นทาสกามโดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการนี้นัก เพราะมันจะดูเหมือนว่าเหยื่อเป็นฝ่ายสมยอมเอง ทั้งที่จริงๆเป็นวิธีของผู้ล่า
เริ่มแรกลุงจะเอาใจ ทำให้ไหมชอบมาเที่ยวบ้าน จากนั้นก็เริ่มมีการแก้ผ้าให้เด็กเห็น หรือจับไหมแก้ผ้าอาบน้ำ คือเด็ก 8 ขวบ บางทีก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ต่อจากนั้นก็ให้ไหมจับอวัยะเพศตัวเอง เพื่อบอกว่าต่างกับเพศหญิงยังไง วิธีการจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ให้ไก่ตื่น จนผ่านไปหลายปี ทางบ้านก็ไว้ใจลุง ไหมก็ไม่รู้เรื่องอะไร ลุงก็เลยเริ่มลงมือ ซึ่งตรงนี้ขอไม่ลงรายละเอียด แต่แค่อยากบอกว่า มันมีวิธีการล่วงละเมิดทางเพศคนคนนึงมากมาย โดยที่ผู้กระทำไม่จำเป็นจะต้องสอดใส่อวัยวะเพศของตัวเอง เลยไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการข่มขืนจริงๆ
ในช่วงเวลานี้ ไหมเริ่มเกลียดลุงขึ้นมาแล้ว และงอแงกับแม่ขอไม่ไปบ้านลุง ขอไม่ให้ลุงมารับมาส่ง แต่แม่บอกว่าถ้าไม่มีลุงก็ไม่มีคนอื่นดูแลลูก ไหมเลยเล่าให้แม่ฟังว่าลุงทำอะไรบ้าง แต่แม่ก็ยังยืนยันว่าไหมต้องไป (ตอนนั้นไหมยังไม่รู้นะ ว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเองคืออะไร) ไหมบอกว่า เคยกระโดดจากบันไดบ้านเพราะโกรธแม่ จนหัวแตกเย็บไปสิบเข็ม แต่วันรุ่งขึ้นแม่ให้ลุงมาเฝ้าไข้ คงไม่ต้องบอกว่าเป็นยังไงต่อ และเรื่องทำนองนี้ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ การล่วงละเมิดก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มมีการสอดใส่ ซึ่งหมายความว่าไหมถูกข่มขืนเป็นเวลานานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อของไหมรู้เรื่องนี้เข้าและทะเลาะกับแม่ ว่าทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้กับลูกได้
จากคำพูดของพ่อกับแม่ในครั้งนั้น ไหมสรุปได้ว่า ตัวเองเป็นของตอบแทนที่แม่ให้กับลุง ในฐานะที่ลุงคอยจุนเจือด้านการเงินให้กับที่บ้าน หรือพูดตรงๆก็คือ ขายลูกสาวกิน ยังดีที่พ่อไม่ยอมและจัดการให้ลุงไม่มีโอกาสมาใกล้ชิดไหมอีก และจากนั้นไหมเลยไม่มองว่าแม่เป็น "แม่" ที่แท้จริงของตัวเองอีก
ตอนทราบเรื่องนี้ครั้งแรก เราไม่รู้จะพูดอะไรด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง แล้วก็สงสัยว่าทำไมเราถึงไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดกับคนที่ใกล้ตัวเราขนาดนี้ หลังจากโทรมาวันนั้น ไหมก็ขอให้เราลืมเรื่องนี้ แล้วก็บอกว่าไหมเมาบ้าง โกหกบ้าง แต่งเรื่องเล่นๆบ้าง แต่เรารู้จักเพื่อนเราดี คบกันมาเกือบสิบปีทำไมเราจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก จนเวลาต่อมา ไหมเลยยอมรับได้ว่าเราเป็นอีกคนที่รู้ความลับตรงนี้ และยอมคุยกับเราเรื่องนี้ เราเคยถามว่าลุงถูกดำเนินคดีอะไรมั้ย ไหมบอกว่าไม่ เพราะที่บ้านไม่อยากให้เป็นข่าว เสียชื่อเสียง แล้วลุงก็มีบุญคุณด้วย แล้วจากนั้นไหมโดนล่วงละเมิดอะไรอีกมั้ย ไหมบอกว่า บางทีเวลามีงานรวมญาติ ลุงจะชอบลวนลวมไหม จับหน้าอก จับก้นแบบเนียนๆ แต่ไม่สามารถทำอะไรมากกว่านั้นได้ ปกติไหมจะเลี่ยงที่จะเจอลุง แต่แม่ก็มักจะบังคับให้ไหมต้องไป
ส่วนเรื่องของแฟน ปรากฎว่าไหมเล่าให้แฟนฟัง แล้วเขาบอกว่า "It's alright. I forgive you."
ไหมก็บอกว่า ทำไมต้องยกโทษให้ ฉันทำอะไรผิด ฉันถูกข่มขืนฉันผิดเหรอ เลยทะเลาะกันแล้วก็บอกเลิกไป แต่หลังจากนั้น ไหมก็เป็นโรคซึมเศร้าค่อนข้างรุนแรง มีการทำร้ายร่างกายบ้าง แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย เราเคยแยะยำให้ไหมไปพบจิตแพทย์ แต่ด้วยทัศนคติของสังคมและครอบครัว ที่คิดว่าถ้าไปรักษาทางจิตก็แปลว่าบ้า ไหมเลยไม่เคยได้รับการรักษาจริงจัง
ปัจจุบัน ไหมทำงานได้เงินเดือนดี มีแฟนที่รักกันดี ที่บ้านก็ดูอบอุ่น คือคนอื่นไม่มีทางรู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง มีแค่บางครั้งที่นางจะสติแตกขึ้นมา หรืออยู่ๆก็เศร้าซึมไปเลย มันทำให้เราคิดนะ ว่าคนรอบๆตัวเราล่ะ มีใครบ้างที่เจอเรื่องเลวร้ายมา แต่ไม่อาจบอกใครได้ เพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวคนรักจะรับไม่ได้ กลัวสังคมจะรังเกียจ
จากที่กล่าวไว้ด้านบนว่า เรื่องนี้คนที่ควรจะมีสิทธิออกความคิดเห็นมากที่สุด คือ เหยื่อที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มารึเปล่า?
เราเองเคยคิดว่า ให้ตายมันง่ายไป น่าจะมีบทลงโทษอะไรให้สำนึกในบาปที่ทำลงไปมั่ง เคยพูดเล่นๆว่า อย่างงี้ต้องโดนตุ๋ยจนตาย!!!
พอถามไหม ไหมบอกว่า อยากให้เขาตายๆไปซะ ไม่ต้องขังคุก ไม่ต้องพบแพทย์รักษา บำเพ็ญประโยชน์อะไรทั้งนั้น แค่อยากให้ลุงคนนั้นตายๆไปสักที ไหมจะได้ไม่ต้องคอยกลัว คอยกังวลอีก
ซึ่งความคิดของไหม ตรงกับคำพูดของเหยื่อหลายๆคนที่เราได้อ่านมาว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุด คือให้คนที่ทำร้ายพวกเขาตายไปเสีย
ส่วนที่บอกว่า ถ้าโทษประหาร อาจจะทำให้เหยื่อนอกจากโดนข่มขืนแล้ว ยังโดนฆ่าปิดปากอีกด้วย ไหมก็ถามเรากลับว่า แล้วแกคิดว่าเราอยากอยู่แบบนี้เหรอ? ถ้าเลือกได้ ขอโดนฆ่าตายดีกว่าถูกข่มขืน แล้วไหมก็บอกด้วยว่า ถ้าตนเองต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นอีกตอนที่โตแล้ว รู้เรื่องแล้วว่าอะไรเป็นอะไร คงเลือกจะฆ่าตัวตาย แต่สำหรับไหม เราเข้าใจว่าเป็นกลไกการปกป้องตัวเองของร่างกายละทั้ง เธอเลยรู้สึกเหมือนว่าช่วงเวลานั้นเป็นความฝันที่เบลอๆ บางทีก็บอกว่า เธออาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าโดนข่มขืน อาจจะยังไม่โดนก็ได้ บางทีก็บอกว่าจำไม่ได้ แต่เวลานางเมา ความทรงจำมาเป๊ะทุกที
อีกประเด็นหนึ่งที่เราเคยคุยกันคือ การข่มขืน มันไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์ทางเพศ
เวลาที่คนเราเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมา ยกตัวอย่างเพศชาย ทางออกมีเยอะแยะ ง่ายสุดก็คือช่วยตัวเอง แต่การที่คนคนหนึ่งจะข่มขืนอีกคนได้ มันมีอะไรมากกว่าเรื่องกามารมณ์ ในทางจิตใจ ผู้กระทำคงจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ว่าตัวเองแข็งแรง และมีอำนาจเหนือกว่าคนที่ถูกกระทำ มันต้องใช้ความรุนแรง และยังมีความเสี่ยงว่าอาจจะถูกดำเนินคดีได้ แต่ยังเลือกจะทำ เพราะอะไรกันแน่? ต้องการความตื่นเต้น? ชอบความรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือกฏหมาย? อยากลอง? เลียนแบบหนังโป๊?
ในความเห็นเรา สิ่งที่ควรจะทำจริงๆเกี่ยวกับคดีข่มขืน คือเปลี่ยนทัศนคติสังคมซะ เหยื่อไม่ควรเป็นคนที่ต้องอับอาย จะหญิงจะชาย จะแต่งตัวยังไงทำตัวแบบไหนก็ไม่ควรถูกมองว่าสมควรถูกกระทำแบบนี้ได้ ถ้าเปลี่ยนตรงนี้ได้ คงมีผู้ร้ายข่มขืนถูกดำเนินคดีกันมากขึ้น แล้วคดีแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นน้อยลงเอง เพราะทุกวันนี้ ผู้ร้ายมันยังใช้ความกลัวของเหยื่อเป็นเครื่องมือให้เอาตัวรอดจากบาปที่ตัวเองทำไปได้
(ชักยาวเกิน ขออนุญาตต่อเรื่องข้อมูลสถิติ และงานวิจัยด้านจิตวิทยาและอื่นๆด้านล่าง)