ครั้งในประวัติศาสตร์ ศาลสูงอินเดียพิพากษา “ศาลชารีอะห์” ถือเป็นศาลเถื่อน “คำสั่งฟัตวา” ผิดกฏหมาย

เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้(7) ศาลสูงอินเดียได้ออกคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ในประเทศที่มีชุมชนมุสลิมใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ พิพากษาให้ศาลชารีอะห์ หรือ ดารุล คาซา (Darul Qaza) และ ศาสนจารย์อิสลาม ที่เรียกว่า มุฟตี (mufti) “ไม่สามารถ” ออกคำสั่งฟัตวา (fatwa) ที่ขัดกับหลักสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยศาลสูงอินเดียได้วินิจัยว่า ฟัตวาสามารถมีผลบังคับใช้กับมุสลิมที่ยอมรับ แต่ไม่อาจบังคับพวกเขาให้ทำตามได้เพราะผิดกฎหมาย นอกจากนี้ศาลสูงอินเดียยังชี้ว่า สถานภาพของศาลชารีอะห์นั้นขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญอินเดีย แต่ไม่ห้ามให้พลเมืองมุสลิมของอินเดียเข้าสู่ศาลแห่งนี้หากผู้นั้นมีความประสงค์

สื่ออินเตอร์บิสซิเนสไทม์ส ออฟ อินเดีย รายงานในวันจันทร์(7)ว่า “ศาลชารีอะห์ หรือดารุล คาซา (Darul Qaza) นั้นไม่ถูกห้ามโดยกฎหมาย และคำสั่งฟัตวา(fatwa)ถือว่าผิดกฎหมายในอินเดีย ไม่มีศาสนาใดสามารถจำกัดสิทธิมนุษยชน” ผู้พิพากษาศาลสูง ซี เค ปราสาด (C K. Prasad) แถลงผ่านรายงานของสถานี NDTV สื่ออินเดีย

คำพิพากษาครั้งนี้มีขึ้นหลังจากมีการไต่สวนคำอุทธรณ์ของ วิชวา โลจันทร์ มาดาน (Vishwa Lochan Madan) นักเคลื่อนไหวชาวอินเดีย ที่ต้องการท้าทายอำนาจศาลชารีอะห์ หรือ ดารุล คาซา (Darul Qaza) ของศาสนาอิสลามที่เขาเห็นว่าทำงานควบคู่ไปกับระบบศาลยุติธรรมของอินเดีย โดยก่อนหน้านี้นักเคลื่อนไหวผู้นี้กล่าวว่า มุฟตีจากศาลชารีอะห์เหล่านี้ออกคำสั่งฟัตวาที่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองมุสลิมในอินเดียที่มีสัดส่วน14.6 % ของประชากรอินเดียร่วม177ล้านคน

โดยได้ยกตัวอย่างคดีอิมรานา (Imrana) เหยื่อข่มขืนขึ้นเป็นตัวอย่าง มาดานอ้างว่า ศาลชารีอะห์ได้แทรกแซงชีวิตส่วนตัวของเหล่าพลเมืองมุสลิมในอินเดีย อิมรานา วัย 28 ปี ถูกข่มขืนโดยพ่อสามีของเธอเองในปี 2005 ที่หมู่บ้านชารธาวาล (Charthawal) เขตมูซาฟฟาร์นาการ์( Muzaffarnagar) รัฐอุตตรประเทศ ต่อมามุฟตีจากศาลชารีอะห์ที่ไม่ใส่ใจในหลักฐานการแต่งงานของอิมรานาและสามี แต่กลับสั่งให้เธอต้องสมรสกับบิดาของสามีแทน อ้างอิงตามหลักกฎหมายอิสลามที่มองคดีนี้เป็นความผิดนอกใจ ไม่ใช่การข่มขืน

และในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ศาลสูงอินเดียปฎิเสธที่จะแทรกแซงกฎหมายชารีอะห์ โดยมีคำอธิบายเพียงว่า ศาลสูงอินเดียไม่สามารถเข้าแทรกแซงความเชื่อทางศาสนาของชุมชนใดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในคำพิพากษาล่าสุดเมื่อวานนี้(7) ถือเป็นครั้งแรกที่ศาลสูงอินเดียตัดสินว่า คำสั่งฟัตวาที่ออกโดยมุฟตีผิดกฏหมาย ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้เพื่อบังคับบุคคลใดๆให้ทำตามได้ แต่ที่น่าเสียดายว่า ถึงแม้ศาสลสูงอินเดียจะพิพากษาให้ศาลชารีอะห์ไม่เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่กระนั้นกลับยกฟ้องคำอุธรณ์ของมาดานที่ต้องการให้ ห้ามใช้ศาลชารีอะห์ตัดสินคดีในอินเดีย

ในเดือนเมษายน 2010 มุฟตีจากศาลชารีอะห์ Darul Uloom Deoband ออกฟัตวาห้ามการเดินแบบสำหรับหญิงมุสลิม โดยอ้างว่าการเดินแบบนั้นขัดกับกฎหมายอิสลาม กระนั้นในเดือนถัดไปในปีเดียวกัน คำสั่งฟัตวาที่สอง ประกาศว่า ศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้หญิงมุสลิมทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานชาย และถือเป็นการขัดกฏหมายชารีอะห์ นอกจากนี้ยังสั่งให้หญิงมุสลิมในอินเดียต้องสวมผ้าคลุมหน้าไปที่ทำงาน และไม่ควรปล่อยตัวให้เพลิดเพลินกับการสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมงานชาย

และนอกจากนี้ ในปี 2013 มีคำสั่งฟัตวาต่อต้านภาพการ์ตูนและภาพยนต์การ์ตูน โดยมุฟตีประนามว่า ภาพยนต์การ์ตูนนั้นล้อเลียนการสร้างโลกของพระอัลเลาะห์ และเชื่อมั่นว่าการ์ตูนนั้นละเมิดกฎหมายอิสลาม และได้สั่งให้ชาวมุสลิมที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ไม่ให้ชมภาพยนต์การ์ตูน

นอกจากนี้คำสั่งฟัตวาในเดือนกันยายน 2013 ประกาศว่า ภาพถ่ายและวิดีโอบันทึกการแต่งงานนั้นไม่เป็นไปตามธรรมเนียมมุสลิม โดยเหล่ามุฟตีอ้างว่าภาพถ่ายของตนเองและผู้อื่นถือว่าเป็น “บาป” โดยอนุญาตให้มีภาพถ่ายสำหรับบัตรประจำตัวและหนังสือเดินทางเท่านั้น

มุฟตี มาอูลานา บาเชียร์-อัด-ดิน ออกคำสั่งฟัตวาต่อต้านวงนักร้องหญิงอินเดีย “ Pragaash” ในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 โดยเขากล่าวว่า กฎหมายอิสลามไม่อนุญาตให้หญิงมุสลิมร้องเพลงต่อหน้าผู้อื่นในที่สาธารณะ และย้ำว่าหญิงมุสลิมควรร้องเพลงแต่ภายในบ้านเรือนของตนเอง และต้องสวมบูร์กา (burqa) หรือผ้าคลุมหน้าแบบเต็มตัวตลอดเวลา

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000076833
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
อิสลาม มองว่า ศาสนา การเมือง การปกครอง นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน การเมืองไม่สามารถแยกออกจากศาสนาได้ ซึ่งความคิดนี้เป็นจริงได้ ถ้าประเทศนั้นคนส่วนใหญ่นับถืออิสลาม แต่ใช้ไม่ได้กับประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้นับถืออิสลาม เนื่องจากประเทศเหล่านั้น แยกการเมืองออกจากศาสนา

ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อของคนเมื่อ 1500 ปีที่แล้วขึ้นไป แล้วเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นศาสตร์ที่ตายแล้ว แม้ว่าสถานการณ์ของโลกปัจจุบันนั้นมันแตกต่างไปจากโลกเมื่อ 1500 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เรื่องการเมืองการปกครองนั้น มันเป็นศาสตร์ที่ยังไม่ตาย แต่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของยุคสมัยต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอดของชาตินั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่