ไม่ได้กะหวังสร้างกระแสอะไรหรอกนะครับ เพราะมันเงียบมาตั้งแต่เปิดตัวอยู่แล้ว ทั้งยังโดนกระแสรถรุ่นอื่น กลบไปซะหมด เพราะช่วงที่เปิดตัว ก็โดนทั้งกระแส New Jazz และโปรส่วนลดของรุ่นพี่ Eco car ค่ายอื่น ลดกระหน่ำ Summer sale จึงทำให้น้องใหม่ อย่าง Celerio ต้องเหงาหงอยไปตามๆกัน ถึงแม้จะมีโปรโมชั่น ผ่อนสบาย 2,222 บาท/เดือน (ผ่อนแบบบอลลูน) แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ต่อการกระตุ้นยอดขาย
Suzuki Celerio มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร ราคาเริ่มต้นที่ 359,000. บาท ในรุ่น GA(MT) รุ่น GL (CVT) 439,000 บาท และ รุ่น GLX (CVT) 488,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นท็อป ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นพี่ อย่าง Swift แล้ว จะพบว่า ราคาในแต่ละรุ่น ถูกกว่ากันมากเลยเทียเดียว แต่ ถ้าเทียบกับ Eco car ของค่ายอื่นๆแล้ว ก็ยังถือว่าถูกกว่า แต่ราคาก็ไม่ขาดเลยทีเดียว จึงทำให้คนที่สนใจซื้อ ตัดสินใจลำบากอยู่เหมือนกัน เล่ากันมาซะยาวแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยละกันครับ
ปกติ ผมก็ไม่เคย Review อะไรแบบจริงๆจังๆซักทีหรอกนะครับ แต่ก็อยากนำเสนอในมุมของตัวเองบ้าง ซึ่งถ้าขาดตกบกพร่องยังไงก็ต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ
เมื่อช่วงกลางเดือนที่แล้ว ก็ได้มีโอกาศ เข้าไปทดลองขับ Suzuki Celerio เผื่อจะได้ลุ้นรถฟรี หรือได้บัตรเติมน้ำมันฟรีกะเขาบ้าง ถึงจะไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆก็คิดว่า ได้ไปลองขับรถเล่นๆก็ยังดี ผมไม่รอช้า จึงบึ่งรถเข้าไปศูนย์ซูซูกิ ที่ จ.อุบลราชธานีครับ พอดีก้รู้จักกับ ผจก.ศูนย์ที่อุบลอยู่บ้างเล็กน้อยซึ่งช่วงนั้นได้กลับไปทำธุระที่อุบลฯบ้านเกิด แต่ปกติใช้ชีวิตอยู่ กทม. ว่าแล้วจึงเดินเข้าไปทักทาย และบอกกับเฮีย ผจก.ว่าวันนี้ อยากลองขับ Celerio ตัวใหม่ พูดยังไม่ทันขาดคำ เฮียแกบอกว่า เอาซิ ว่าแล้วก็ยื่นกุญแจให้ทันทีเลย แล้วยิ้มให้เป็นนัยๆว่า เต็มที่เลยน้อง ผมจึงไม่ลังเลที่จะเดินออกไปที่ เจ้า Celerio คันกะเปี๊ยกที่จอดอยู่ข้างศูนย์บริการ
แว๊บแรก ที่ผมได้กุญแจมา ก็รู้ได้เลยว่า รุ่นที่จะได้ลองขับ คงไม่ใช่รุ่นท็อปแน่นอน เพราะเป็นกุญแจแบบรีโมทธรรมดา พิมพ์เดียวกับของ Swift รุ่น GA โดยจะมีปุ่มล็อกและปลดล็อก 2 ปุ่ม และแล้วก็จริงดังคาด เพราะ Celerio ที่กำลังจะได้ลองขับ มันคือรุ่น GL/AT คิดในใจว่า "เอาก็เอาวะ GL ก็ GL" เพราะที่จริงในใจ อยากลองรุ่น GLX ไปเลย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะคิดว่า GL ก็คงไม่ต่างกับ GLX มากเท่าไหร่ ด้วยความไว้ใจของ ผจก. ผมจึงได้ขึ้นรถไปกัน 2 คนกับ ภรรเมีย ที่จริง เจ้แกก็ไม่อยากจะมาด้วยหรอก พูดเกี่ยวกับรถทีไร แกจะทำหน้าเบือนๆทุกที แต่พอบอกจะไปลองขับรถชมวิว เจ้แกเลยอยากมาด้วย แต่ถ้าให้พูดเรื่องไปช็อป แกจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ ข้าวไม่กินก็อยู่ได้ แปลก! (แอบนินทาในนี้ คงไม่ตามมาอ่านเจอหรอกนะ)
มิติตัวรถ มองจากภายนอก รู้สึกว่า เป็นรถที่ค่อนข้างเล็ก ไม่ว่าจะมองมิติไหน ก็ดูเล็ก ถึงแม้จะดูจากสเป็ค ความกว้าง และยาว ต่างจาก Swift ไม่กี่ ซม.เลย แต่ได้เปรียบที่ความสูงจะสูงกว่า ว่าแล้วก็กดรีโมทปลดล็อกทันที แต่...รถไม่ได้ล็อกอยู่แล้วก่อนน่านี้ ที่รู้ เพราะคุณภรรเมียแอบเปิดประตูก่อนที่ผมจะปลดล็อกเพียงไม่กี่วินาที สงสัยปกติ รถที่ศูนย์ เขาไม่ค่อยล็อกกัน
บอกก่อนเลยว่า ผมเคยขับ Swift และ Mirage มาก่อนครับ ฉะนั้นจะเปรียบเทียบได้กับ 2 รุ่นนี้เป็นพิเศษ
สัมผัสแรกที่เปิดประตูรถ คือมือจับเปิดประตูจะเป็นทรงเดียวกับของ Swift สีดำด้าน และพอก้าวเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ สิ่งที่สัมผัสได้ผิดคาดก็คือ ความโล่ง โปร่ง และไม่อึดอัดอย่างที่คิด ผมสูง 170 มุมมองของกระจกด้านหน้า ทัศนวิสัย โล่งอย่างชัดเจน ถ้าเทียบกับ Mirage กระจกด้านหน้าจะลาดเอียงตามหลัก พลศาสตร์ จึงอาจจะทำให้ดูแคบกว่านิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับ Swift จะรู้สึกว่า โล่งพอๆกัน แต่ในทางกลับกัน เรื่องความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย Swift จะให้ความรู้สึกนั้นได้ดีกว่ามาก อาจเป็นเพราะ แผงประตูด้านข้างของ Celerio มันเรียบๆโล่งๆไปนิด อาจจะเพราะความจงใจของทีมออกแบบ เพื่อให้ผู้โดยสาร รู้สึกโล่ง โปร่งสะบาย แต่ผมรู้สึกว่า มันโล่งและเรียบไปนิด ยิ่งมองดูช่องที่ใช้เปิดปิดประตูด้านใน เหมือนกับว่า มันไม่เข้ากับแผงประตูยังไงยังงั้น เหมือนอยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมา ส่วนพวงมาลัยก็ตามที่เห็นครับ ทรงแบบเดียวกับ Swift แต่มาในโทนสีดำทั้งชุด หน้าปัดเรือนไมล์ รุ่น GA และ GL จะเหมือนกันคือ มีมาตรวัดความเร็ววงใหญ่ตรงกลาง ส่วนด้านล่างเป็นจอแสดงผล ตำเหน่งเกียร์ ระยะทาง ระดับน้ำมัน และค่าเฉลี่ยอื่นๆ ส่วนด้านข้างวงเรือนไมล์ทั้งสองข้าง จะมีไฟสัญลักษณ์แสดงผลต่างๆที่จำเป็น ก้านปัดน้ำฝนให้มาเท่ากับ Ertiga คือไม่มีปรับความเร็วในการหน่วงเวลา ส่วนอื่นๆก็เหมือนกับ Swift มีฟังก์ชั่นเขี่ยก้านไฟเลี้ยวเบาๆ เพื่อเปลี่ยนเลนแล้วไฟเลี้ยวจะกระพริบ 3 ครั้ง อันนี้ชอบมาก ซึ่งในที่นี้จะขออธิบายเป็นรูปประกอบไปด้วยเลยนะครับ
สำหรับ ความรู้สึกในด้านผิวสัมผัสต่างๆ เริ่มจากเบาะนั่ง ก็จะเป็นเบาะชิ้นเดียวโดยไม่แยกที่รองหัว ลักษณะเหมือนๆกับ Brio เลยก็ว่าได้ ผ้าหุ้มจะมีอยู่ 2 ลาย ในรุ่น GA,GL จะเป็นลายเดียวกัน คือตรงกลางจะออกเทาๆ ส่วนรุ่นท็อปจะเป็นอีกลาย ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นลายจุดกลมๆเหลืองๆสลับดำนะ แต่ส่วนตัว ผมมองว่าลายแบบรุ่น GL นี้ดูสวยเรียบหรูดีแล้วครับ อันนี้คงแล้วแต่ความชอบ
พอได้นั่งลง จะรู้สึกว่าเบาะซับแรงได้คล้ายๆ Mirage ไม่แข็งและไม่นุ่มไป แต่ผ้ามันออกสากๆนิดๆ พลาสติดคอนโซลด้านใน และแผงข้างประตู ลวดลายและผิวสัมผัสดูดีกว่าตัวที่โชว์ในงาน MotorShow ช่วงมีนา ที่ผ่านมาเยอะเลย ตอนนั้นลองเข้าไปนั่งดู รู้สึกมันสากๆมือมาก และลวดลายตุ่มๆ คมๆ คือดูแล้ว มันเหมือนรถที่ลดราคาเอามากๆ แต่พอมาเวอร์ชั่นขายจริง ถือว่าทำได้ดี ถึงดีมากเลยทีเดียว ออกรื่นๆมือด้วยซ้ำ ดูจากรูปที่ถ่ายมาเลยครับ เก็บงานได้ดี แผงประตูรุ่นนี้ มีปุ่ม เลื่อนกระจกออโตมาให้ทั้ง 4 บาน มีปุ่ม Central Lock มาให้เสร็จสัพ แต่สิ่งที่ไม่มีคือ ปุ่มปรับกระจกมองข้างไฟฟ้า ซึ่งจะมีในรุ่นท็อป ของรุ่นนี้ก็จะกลายเป็นปรับแบบมือโยกจากด้านใน เหมือน Vios รุ่นล่างๆในโฉมก่อนน่านี้
สำหรับรูปทรงของหัวเกียร์จะคล้ายๆของ March และฐานเกียร์จะแยกยกสูงขึ้นมาแอบคล้ายๆของ Mazda2นิดหน่อย
ส่วนเบาะผู้นั่งโดยสารตอนหลัง ก็ตามที่เห็นในรูปครับ (รูปนี้ยืมมาจากเว็บอื่นพอดีลืมถ่ายไว้)
เท่าที่นั่งดู พื้นที่วางเท้า เหลือๆครับ เหลือเยอะกว่า Swift น่าจะเท่าๆกันกับ Mirage ที่รองหัวจะเป็นแบบชิ้นเดียวกับเบาะ จับยกขึ้น - ลง ไม่ได้ แต่จะอัดฟองน้ำให้นูนๆขึ้นมา สำหรับผม สูง 170 ก็รองคอได้พอดี ลองหนุนดู นุ่มๆคอดี แต่ถ้าคนสูงกว่านี้ อาจจะไม่ชอบเท่าไหร่ และจะพับแบบ 60/40 ได้เฉพาะในรุ่นท็อปเท่านั้น ส่วนเรื่องวัสดุและภายในอื่นๆ คงพอไว้เท่านี้ก่อนนะครับเพราะน่าจะมีคนรีวิวไว้เยอะแล้ว ต่อไปขอเล่าความรู้สึกของการขับขี่คร่าวๆที่พอจะสัมผัสได้แบบมือสมัครเล่นกันครับ เอาแบบความรู้สึกบ้านๆนะครับ อาจจะไม่ละเอียดเท่ารีวิวของเว็บดังๆหรือมืออาชีพทั่วไป
มาดูพื้นที่เก็บสัมภาระท้าย ก็ดูจะมีพื้นที่ลึกเข้าไปข้างใน เยอะกว่า Swift อยู่เหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน จะรู้สึกว่าด้านข้างมันจะดูแคบๆนิดหน่อย เปิดดูฝาปิดด้านล่างก็จะพบว่า มียางอะไหล่ 14" มาให้พร้อมชุดเครื่องมือถอดล้อ รวมทั้งแม่แรง ซึ่งก็ถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น
Review ทดทองขับ Suzuki Celerio
Suzuki Celerio มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร ราคาเริ่มต้นที่ 359,000. บาท ในรุ่น GA(MT) รุ่น GL (CVT) 439,000 บาท และ รุ่น GLX (CVT) 488,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นท็อป ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นพี่ อย่าง Swift แล้ว จะพบว่า ราคาในแต่ละรุ่น ถูกกว่ากันมากเลยเทียเดียว แต่ ถ้าเทียบกับ Eco car ของค่ายอื่นๆแล้ว ก็ยังถือว่าถูกกว่า แต่ราคาก็ไม่ขาดเลยทีเดียว จึงทำให้คนที่สนใจซื้อ ตัดสินใจลำบากอยู่เหมือนกัน เล่ากันมาซะยาวแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยละกันครับ
ปกติ ผมก็ไม่เคย Review อะไรแบบจริงๆจังๆซักทีหรอกนะครับ แต่ก็อยากนำเสนอในมุมของตัวเองบ้าง ซึ่งถ้าขาดตกบกพร่องยังไงก็ต้องขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ
เมื่อช่วงกลางเดือนที่แล้ว ก็ได้มีโอกาศ เข้าไปทดลองขับ Suzuki Celerio เผื่อจะได้ลุ้นรถฟรี หรือได้บัตรเติมน้ำมันฟรีกะเขาบ้าง ถึงจะไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆก็คิดว่า ได้ไปลองขับรถเล่นๆก็ยังดี ผมไม่รอช้า จึงบึ่งรถเข้าไปศูนย์ซูซูกิ ที่ จ.อุบลราชธานีครับ พอดีก้รู้จักกับ ผจก.ศูนย์ที่อุบลอยู่บ้างเล็กน้อยซึ่งช่วงนั้นได้กลับไปทำธุระที่อุบลฯบ้านเกิด แต่ปกติใช้ชีวิตอยู่ กทม. ว่าแล้วจึงเดินเข้าไปทักทาย และบอกกับเฮีย ผจก.ว่าวันนี้ อยากลองขับ Celerio ตัวใหม่ พูดยังไม่ทันขาดคำ เฮียแกบอกว่า เอาซิ ว่าแล้วก็ยื่นกุญแจให้ทันทีเลย แล้วยิ้มให้เป็นนัยๆว่า เต็มที่เลยน้อง ผมจึงไม่ลังเลที่จะเดินออกไปที่ เจ้า Celerio คันกะเปี๊ยกที่จอดอยู่ข้างศูนย์บริการ
แว๊บแรก ที่ผมได้กุญแจมา ก็รู้ได้เลยว่า รุ่นที่จะได้ลองขับ คงไม่ใช่รุ่นท็อปแน่นอน เพราะเป็นกุญแจแบบรีโมทธรรมดา พิมพ์เดียวกับของ Swift รุ่น GA โดยจะมีปุ่มล็อกและปลดล็อก 2 ปุ่ม และแล้วก็จริงดังคาด เพราะ Celerio ที่กำลังจะได้ลองขับ มันคือรุ่น GL/AT คิดในใจว่า "เอาก็เอาวะ GL ก็ GL" เพราะที่จริงในใจ อยากลองรุ่น GLX ไปเลย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะคิดว่า GL ก็คงไม่ต่างกับ GLX มากเท่าไหร่ ด้วยความไว้ใจของ ผจก. ผมจึงได้ขึ้นรถไปกัน 2 คนกับ ภรรเมีย ที่จริง เจ้แกก็ไม่อยากจะมาด้วยหรอก พูดเกี่ยวกับรถทีไร แกจะทำหน้าเบือนๆทุกที แต่พอบอกจะไปลองขับรถชมวิว เจ้แกเลยอยากมาด้วย แต่ถ้าให้พูดเรื่องไปช็อป แกจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ ข้าวไม่กินก็อยู่ได้ แปลก! (แอบนินทาในนี้ คงไม่ตามมาอ่านเจอหรอกนะ)
มิติตัวรถ มองจากภายนอก รู้สึกว่า เป็นรถที่ค่อนข้างเล็ก ไม่ว่าจะมองมิติไหน ก็ดูเล็ก ถึงแม้จะดูจากสเป็ค ความกว้าง และยาว ต่างจาก Swift ไม่กี่ ซม.เลย แต่ได้เปรียบที่ความสูงจะสูงกว่า ว่าแล้วก็กดรีโมทปลดล็อกทันที แต่...รถไม่ได้ล็อกอยู่แล้วก่อนน่านี้ ที่รู้ เพราะคุณภรรเมียแอบเปิดประตูก่อนที่ผมจะปลดล็อกเพียงไม่กี่วินาที สงสัยปกติ รถที่ศูนย์ เขาไม่ค่อยล็อกกัน
บอกก่อนเลยว่า ผมเคยขับ Swift และ Mirage มาก่อนครับ ฉะนั้นจะเปรียบเทียบได้กับ 2 รุ่นนี้เป็นพิเศษ
สัมผัสแรกที่เปิดประตูรถ คือมือจับเปิดประตูจะเป็นทรงเดียวกับของ Swift สีดำด้าน และพอก้าวเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ สิ่งที่สัมผัสได้ผิดคาดก็คือ ความโล่ง โปร่ง และไม่อึดอัดอย่างที่คิด ผมสูง 170 มุมมองของกระจกด้านหน้า ทัศนวิสัย โล่งอย่างชัดเจน ถ้าเทียบกับ Mirage กระจกด้านหน้าจะลาดเอียงตามหลัก พลศาสตร์ จึงอาจจะทำให้ดูแคบกว่านิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับ Swift จะรู้สึกว่า โล่งพอๆกัน แต่ในทางกลับกัน เรื่องความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย Swift จะให้ความรู้สึกนั้นได้ดีกว่ามาก อาจเป็นเพราะ แผงประตูด้านข้างของ Celerio มันเรียบๆโล่งๆไปนิด อาจจะเพราะความจงใจของทีมออกแบบ เพื่อให้ผู้โดยสาร รู้สึกโล่ง โปร่งสะบาย แต่ผมรู้สึกว่า มันโล่งและเรียบไปนิด ยิ่งมองดูช่องที่ใช้เปิดปิดประตูด้านใน เหมือนกับว่า มันไม่เข้ากับแผงประตูยังไงยังงั้น เหมือนอยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมา ส่วนพวงมาลัยก็ตามที่เห็นครับ ทรงแบบเดียวกับ Swift แต่มาในโทนสีดำทั้งชุด หน้าปัดเรือนไมล์ รุ่น GA และ GL จะเหมือนกันคือ มีมาตรวัดความเร็ววงใหญ่ตรงกลาง ส่วนด้านล่างเป็นจอแสดงผล ตำเหน่งเกียร์ ระยะทาง ระดับน้ำมัน และค่าเฉลี่ยอื่นๆ ส่วนด้านข้างวงเรือนไมล์ทั้งสองข้าง จะมีไฟสัญลักษณ์แสดงผลต่างๆที่จำเป็น ก้านปัดน้ำฝนให้มาเท่ากับ Ertiga คือไม่มีปรับความเร็วในการหน่วงเวลา ส่วนอื่นๆก็เหมือนกับ Swift มีฟังก์ชั่นเขี่ยก้านไฟเลี้ยวเบาๆ เพื่อเปลี่ยนเลนแล้วไฟเลี้ยวจะกระพริบ 3 ครั้ง อันนี้ชอบมาก ซึ่งในที่นี้จะขออธิบายเป็นรูปประกอบไปด้วยเลยนะครับ
สำหรับ ความรู้สึกในด้านผิวสัมผัสต่างๆ เริ่มจากเบาะนั่ง ก็จะเป็นเบาะชิ้นเดียวโดยไม่แยกที่รองหัว ลักษณะเหมือนๆกับ Brio เลยก็ว่าได้ ผ้าหุ้มจะมีอยู่ 2 ลาย ในรุ่น GA,GL จะเป็นลายเดียวกัน คือตรงกลางจะออกเทาๆ ส่วนรุ่นท็อปจะเป็นอีกลาย ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นลายจุดกลมๆเหลืองๆสลับดำนะ แต่ส่วนตัว ผมมองว่าลายแบบรุ่น GL นี้ดูสวยเรียบหรูดีแล้วครับ อันนี้คงแล้วแต่ความชอบ
พอได้นั่งลง จะรู้สึกว่าเบาะซับแรงได้คล้ายๆ Mirage ไม่แข็งและไม่นุ่มไป แต่ผ้ามันออกสากๆนิดๆ พลาสติดคอนโซลด้านใน และแผงข้างประตู ลวดลายและผิวสัมผัสดูดีกว่าตัวที่โชว์ในงาน MotorShow ช่วงมีนา ที่ผ่านมาเยอะเลย ตอนนั้นลองเข้าไปนั่งดู รู้สึกมันสากๆมือมาก และลวดลายตุ่มๆ คมๆ คือดูแล้ว มันเหมือนรถที่ลดราคาเอามากๆ แต่พอมาเวอร์ชั่นขายจริง ถือว่าทำได้ดี ถึงดีมากเลยทีเดียว ออกรื่นๆมือด้วยซ้ำ ดูจากรูปที่ถ่ายมาเลยครับ เก็บงานได้ดี แผงประตูรุ่นนี้ มีปุ่ม เลื่อนกระจกออโตมาให้ทั้ง 4 บาน มีปุ่ม Central Lock มาให้เสร็จสัพ แต่สิ่งที่ไม่มีคือ ปุ่มปรับกระจกมองข้างไฟฟ้า ซึ่งจะมีในรุ่นท็อป ของรุ่นนี้ก็จะกลายเป็นปรับแบบมือโยกจากด้านใน เหมือน Vios รุ่นล่างๆในโฉมก่อนน่านี้
สำหรับรูปทรงของหัวเกียร์จะคล้ายๆของ March และฐานเกียร์จะแยกยกสูงขึ้นมาแอบคล้ายๆของ Mazda2นิดหน่อย
ส่วนเบาะผู้นั่งโดยสารตอนหลัง ก็ตามที่เห็นในรูปครับ (รูปนี้ยืมมาจากเว็บอื่นพอดีลืมถ่ายไว้)
เท่าที่นั่งดู พื้นที่วางเท้า เหลือๆครับ เหลือเยอะกว่า Swift น่าจะเท่าๆกันกับ Mirage ที่รองหัวจะเป็นแบบชิ้นเดียวกับเบาะ จับยกขึ้น - ลง ไม่ได้ แต่จะอัดฟองน้ำให้นูนๆขึ้นมา สำหรับผม สูง 170 ก็รองคอได้พอดี ลองหนุนดู นุ่มๆคอดี แต่ถ้าคนสูงกว่านี้ อาจจะไม่ชอบเท่าไหร่ และจะพับแบบ 60/40 ได้เฉพาะในรุ่นท็อปเท่านั้น ส่วนเรื่องวัสดุและภายในอื่นๆ คงพอไว้เท่านี้ก่อนนะครับเพราะน่าจะมีคนรีวิวไว้เยอะแล้ว ต่อไปขอเล่าความรู้สึกของการขับขี่คร่าวๆที่พอจะสัมผัสได้แบบมือสมัครเล่นกันครับ เอาแบบความรู้สึกบ้านๆนะครับ อาจจะไม่ละเอียดเท่ารีวิวของเว็บดังๆหรือมืออาชีพทั่วไป
มาดูพื้นที่เก็บสัมภาระท้าย ก็ดูจะมีพื้นที่ลึกเข้าไปข้างใน เยอะกว่า Swift อยู่เหมือนกัน แต่ในทางกลับกัน จะรู้สึกว่าด้านข้างมันจะดูแคบๆนิดหน่อย เปิดดูฝาปิดด้านล่างก็จะพบว่า มียางอะไหล่ 14" มาให้พร้อมชุดเครื่องมือถอดล้อ รวมทั้งแม่แรง ซึ่งก็ถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น