เนื่องจากกระทู้เดิมตกไวมาก ขออนุญาตขึ้นกระทู้ใหม่นะครับ
คำนำสั้น ๆ
เนื้อหาทั้งหมด ผมเขียนจากประสบการณ์จริงในชีวิตเกือบจะ 100%
โดยจะเป็นการเล่าถึงชีวิตการลาออกจากงานประจำ
เพื่อมุ่งสู่การเป็นฟรีแลนซ์ของผม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันครับ
(ที่ก็ยังเป็นฟรีแลนซ์อยู่) ชอบไม่ชอบอย่างไร ติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ
เนื้อหาในกระทู้ที่แล้ว
- การลาออกและชีวิตฟรีแลนซ์ครั้งแรก
- [ข้อคิด] ก่อนจะตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์
- งานประจำและการลาออกครั้งที่สอง
- เป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวอีกครั้ง
คลิกเพื่ออ่านกระทู้ที่แล้ว
เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิต
บัตรเครดิต เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในหัวของผมมาก่อนเลยตั้งแต่เล็กจนโต
เพราะผมถูกปลูกฝังมาตลอด (โดยใครก็ไม่รู้) ว่ามันคือเครื่องมือก่อหนี้ มันคือสิ่งที่ชั่วร้าย
มันทำลายชีวิตคน แต่หลังจากที่ผมทำงานมาได้สักพัก ผมเริ่มมีเงินเก็บติดบัญชีเยอะขึ้น
และเริ่มสนใจที่จะซื้อสินค้าราคาแพง ที่ผมมองว่าการพกเงินสดเยอะ ๆ มันดูไม่ค่อยดี
และที่สำคัญคือ ผมอยากผ่อน 0% 10 เดือนกับเขาบ้าง มันดูเป็นโปรโมชันที่มีประโยชน์มาก ๆ
ทว่า หลังจากการหาข้อมูล สอบถามจากเพื่อนฝูง และการบากหน้าไปพูดคุยกับพนักงานที่ธนาคารแบบมึน ๆ
(แถมเจ็บใจกลับบ้านมาด้วย) มันทำให้ผมทราบความจริงอันเจ็บปวดว่า ธนาคารนั้นจะค่อนข้างรังเกียจ
คำว่าฟรีแลนซ์เป็นพิเศษ เมื่อพูดถึงการสมัครบัตรเครดิต ซึ่งจะแตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนราวฟ้ากับเหว
สำหรับใครที่เคยสมัครบัตรเครดิต น่าจะทราบดีนะครับ ว่าปกติเวลาเราสมัคร สิ่งที่สำคัญก็คือการมีสลิปเงินเดือน
การมีที่อยู่ที่ทำงานและหมายเลขโทรศัพท์ที่ทำงาน ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นตัวชี้วัดเลยว่าบัตรเครดิตของเรานั้น
จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ และเพียงเพราะฟรีแลนซ์อย่างผมไม่มีสลิปเงินเดือน ผมจึงถูกธนาคารเชิดใส่
ราวกับเป็นพลเมืองคนละชั้น แม้ว่าในบัญชีจะมีเงินเข้ามาเดือนละหลายหมื่น มีเงินเก็บหลักแสนก็ตามที
ดังนั้นนะครับ ถ้าอ่านถึงตรงนี้ ใครที่วางแผนจะลาออกจากงานประจำมาทำฟรีแลนซ์ ไม่ว่าจะเป็นค้าขาย
หรือเป็นเอาท์ซอร์สให้บริษัทที่ใดก็ตาม หากไม่อยากต้องกุมขมับและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกับที่ผมเคยต้องประสบมา
ผมขอแนะนำจากใจจริงเลยว่า อยากได้ของธนาคารไหน อยากได้กี่ใบ ให้เร่งสมัครไว้ให้หนำใจก่อน แล้วค่อยลาออกมานะครับ
สำหรับคนที่พลาด ลาออกมาแล้ว และกำลังปวดใจ อยากสมัครเพิ่มอยู่ตอนนี้ ผมเข้าใจครับ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไรนะครับ
มันยังมีหนทางที่เหล่าฟรีแลนซ์อย่างเรา ๆ จะสามารถครอบครองบัตรเครดิตได้อยู่ครับ ก่อนอื่นนะครับ
ต้องมาสำรวจสถานะทางการเงินของเรากันก่อน โดยในสายตาธนาคาร ฟรีแลนซ์อย่างเรา จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
พวกแรก ได้แก่ เจ้าของกิจการ ฟรีแลนซ์ที่จะเข้าข่ายเจ้าของกิจการ จะต้องมีเงินหมุนเวียนในบัญชีรายเดือน
สำหรับธนาคารส่วนใหญ่นะครับ ต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละ 150,000 บาท ผมทราบมาว่าบางคนเดือนละหลายแสน
บางทีธนาคารยังไม่ยอมอนุมัติให้เลยครับ ตรงส่วนนี้จะแล้วแต่หลักเกณฑ์ของธนาคารนะครับ และผมเชื่อว่า
คงมีน้อยคนที่จะเข้าข่ายประเภทนี้ และถ้าเข้าข่าย ก็คงจะมีบัตรเครดิตถือไปแล้ว ไม่ต้องมาอ่านกระทู้นี้ก็ได้ครับ ฮา
ถัดมาประเภทที่สอง ซึ่งเป็นประเภทหลักของเรา ก็คือ พวกฟรีแลนซ์ที่รับงานจากบริษัทอีกที
โดยที่จะสามารถแบ่งย่อยได้เป็นสองประเภทนะครับ คือแบบมี 50 ทวิ กับแบบไม่มี
50 ทวิ ชื่อเต็มก็คือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
มันคือเอกสารที่จะแสดงที่มาของรายได้ของเรา ซึ่งลูกค้าของเราจะออกให้กับเรา โดยจะมีการหักภาษีเงินได้เอาไว้ล่วงหน้า
ถ้าเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน น่าจะรู้จักกันดีนะครับ เพราะส่วนใหญ่เราจะได้รับมาทุก ๆ ช่วงต้นปี เพื่อเอาไปยื่นเสียภาษี
หากเรามี 50 ทวิ แล้วรายได้ทั้งปีรวมกันเกิน 180,000 บาท จะมีธนาคารใจดีอยู่แห่งหนึ่ง (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2557)
ที่จะรับสมัครบัตรเครดิตโดยยื่น 50 ทวิเป็นหลักฐานทางการเงินครับ ซึ่งได้แก่ธนาคารกสิกรไทยนั่นเอง
ไชโย! ดังนั้น หากเรามี 50 ทวิอยู่ ก็สามารถไปขอสมัครบัตรเครดิตกับทางธนาคารกสิกรไทยดูได้เลยนะครับ
แต่จะผ่านไม่ผ่าน อยู่ที่การเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือนของเราอีกทีนะครับ
และแล้วก็มาถึงพวกสุดท้าย คือฟรีแลนซ์ ที่เงินหมุนเวียนต่อเดือนก็ไม่ถึงแสน แถม 50 ทวิ ก็ไม่มี
อย่าเพิ่งสิ้นหวังครับ มันยังมีหนทางอยู่ นั่นก็คือ การทำบัตรเครดิต โดยใช้บัญชีเงินฝากประจำค้ำประกันวงเงิน
ซึ่งเท่าทีผมทราบ จะมีธนาคารไทยพาณิชย์ ที่รับทำอยู่นะครับ (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2557)
วิธีทำก็ง่าย ๆ เลยครับ สมมุติว่าเราอยากได้บัตรเครดิตวงเงิน 50,000 บาท เราก็เปิดบัญชีฝากประจำ 50,000 บาท
แล้วยอมให้ธนาคารเก็บสมุดคู่ฝากเอาไว้ เพียงเท่านี้ เราก็จะได้รับบัตรเครดิตวงเงิน 50,000 มา
โดยแทบจะไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเลยครับ
วิธีนี้จะมีข้อเสียคือ เราจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการขยายวงเงินใด ๆ หรือการเปลี่ยนประเภทบัตรก็จะค่อนข้างยุ่งยากมาก
แถมพนักงานธนาคารบางสาขาก็อาจจะมึน ๆ ไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมทำให้ก็มีครับ อาจจะต้องอาศัยการสอบถามข้อมูลล่วงหน้าก่อ
ว่าสาขาไหนจะยอมทำให้เราบ้าง แต่นี่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดแล้ว สำหรับฟรีแลนซ์อย่างเรา ๆ นะครับ
ตัวผมเองในตอนนั้นก็เลือกใช้วิธีสุดท้ายที่ว่านี้แหละครับ แต่เชื่อไหม ผมเดินหน้ามึนไปอธิบายให้พนักงานธนาคารฟัง
แถมโดนไล่ให้ไปสาขาอื่น เพราะสาขานั้นไม่รับทำ (ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าพนักงานไม่รู้เรื่อง ขี้เกียจทำ หรือไม่รับทำจริง ๆ )
แต่สุดท้ายก็มีสาขาหนึ่งที่ยอมทำเรื่องให้ผม จนผมได้รับบัตรเครดิตใบแรกในชีวิตมาครอบครองจนได้
ยังไงก็อย่าลืมมองมุมกลับด้วยว่า ที่ธนาคารไม่ค่อยอยากอนุมัติบัตรเครดิตให้ฟรีแลนซ์ เพราะในสายตาธนาคาร
(ผมเชื่อว่าเป็นเฉพาะธนาคารประเทศไทยนะ) สายอาชีพนี้ค่อนข้างไม่มั่นคง และมีโอกาสเกิดหนี้สูญสูงครับ
ถ้าเรามีบัตรเครดิต ก็อย่าลืมใช้จ่ายอย่างมีสตินะครับ
และขอย้ำอีกครั้ง ด้วยรักและห่วงใยเลยนะครับ คิดจะลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ถ้าไม่อยากยุ่งยาก
ต้องการบัตรเครดิตของธนาคารไหน วงเงินเท่าไหร่ รีบทำเสียตั้งแต่ตอนยังมีสลิปเงินเดือนเถอะครับ
จะได้ไม่ต้องลำบากแบบที่ผมเคยเจอ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ ติชมชี้แนะได้ตามสะดวกเลยนะครับ
พบกันใหม่ตอนหน้า เร็ว ๆ นี้ครับ > <
ฟรีแลนซ์ปีสอง: เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิต
คำนำสั้น ๆ
เนื้อหาทั้งหมด ผมเขียนจากประสบการณ์จริงในชีวิตเกือบจะ 100%
โดยจะเป็นการเล่าถึงชีวิตการลาออกจากงานประจำ
เพื่อมุ่งสู่การเป็นฟรีแลนซ์ของผม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันครับ
(ที่ก็ยังเป็นฟรีแลนซ์อยู่) ชอบไม่ชอบอย่างไร ติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ขอบคุณครับ
เนื้อหาในกระทู้ที่แล้ว
- การลาออกและชีวิตฟรีแลนซ์ครั้งแรก
- [ข้อคิด] ก่อนจะตัดสินใจเป็นฟรีแลนซ์
- งานประจำและการลาออกครั้งที่สอง
- เป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวอีกครั้ง
คลิกเพื่ออ่านกระทู้ที่แล้ว
เมื่อฟรีแลนซ์อยากมีบัตรเครดิต
บัตรเครดิต เป็นสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในหัวของผมมาก่อนเลยตั้งแต่เล็กจนโต
เพราะผมถูกปลูกฝังมาตลอด (โดยใครก็ไม่รู้) ว่ามันคือเครื่องมือก่อหนี้ มันคือสิ่งที่ชั่วร้าย
มันทำลายชีวิตคน แต่หลังจากที่ผมทำงานมาได้สักพัก ผมเริ่มมีเงินเก็บติดบัญชีเยอะขึ้น
และเริ่มสนใจที่จะซื้อสินค้าราคาแพง ที่ผมมองว่าการพกเงินสดเยอะ ๆ มันดูไม่ค่อยดี
และที่สำคัญคือ ผมอยากผ่อน 0% 10 เดือนกับเขาบ้าง มันดูเป็นโปรโมชันที่มีประโยชน์มาก ๆ
ทว่า หลังจากการหาข้อมูล สอบถามจากเพื่อนฝูง และการบากหน้าไปพูดคุยกับพนักงานที่ธนาคารแบบมึน ๆ
(แถมเจ็บใจกลับบ้านมาด้วย) มันทำให้ผมทราบความจริงอันเจ็บปวดว่า ธนาคารนั้นจะค่อนข้างรังเกียจ
คำว่าฟรีแลนซ์เป็นพิเศษ เมื่อพูดถึงการสมัครบัตรเครดิต ซึ่งจะแตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนราวฟ้ากับเหว
สำหรับใครที่เคยสมัครบัตรเครดิต น่าจะทราบดีนะครับ ว่าปกติเวลาเราสมัคร สิ่งที่สำคัญก็คือการมีสลิปเงินเดือน
การมีที่อยู่ที่ทำงานและหมายเลขโทรศัพท์ที่ทำงาน ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นตัวชี้วัดเลยว่าบัตรเครดิตของเรานั้น
จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ และเพียงเพราะฟรีแลนซ์อย่างผมไม่มีสลิปเงินเดือน ผมจึงถูกธนาคารเชิดใส่
ราวกับเป็นพลเมืองคนละชั้น แม้ว่าในบัญชีจะมีเงินเข้ามาเดือนละหลายหมื่น มีเงินเก็บหลักแสนก็ตามที
ดังนั้นนะครับ ถ้าอ่านถึงตรงนี้ ใครที่วางแผนจะลาออกจากงานประจำมาทำฟรีแลนซ์ ไม่ว่าจะเป็นค้าขาย
หรือเป็นเอาท์ซอร์สให้บริษัทที่ใดก็ตาม หากไม่อยากต้องกุมขมับและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกับที่ผมเคยต้องประสบมา
ผมขอแนะนำจากใจจริงเลยว่า อยากได้ของธนาคารไหน อยากได้กี่ใบ ให้เร่งสมัครไว้ให้หนำใจก่อน แล้วค่อยลาออกมานะครับ
สำหรับคนที่พลาด ลาออกมาแล้ว และกำลังปวดใจ อยากสมัครเพิ่มอยู่ตอนนี้ ผมเข้าใจครับ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไรนะครับ
มันยังมีหนทางที่เหล่าฟรีแลนซ์อย่างเรา ๆ จะสามารถครอบครองบัตรเครดิตได้อยู่ครับ ก่อนอื่นนะครับ
ต้องมาสำรวจสถานะทางการเงินของเรากันก่อน โดยในสายตาธนาคาร ฟรีแลนซ์อย่างเรา จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
พวกแรก ได้แก่ เจ้าของกิจการ ฟรีแลนซ์ที่จะเข้าข่ายเจ้าของกิจการ จะต้องมีเงินหมุนเวียนในบัญชีรายเดือน
สำหรับธนาคารส่วนใหญ่นะครับ ต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละ 150,000 บาท ผมทราบมาว่าบางคนเดือนละหลายแสน
บางทีธนาคารยังไม่ยอมอนุมัติให้เลยครับ ตรงส่วนนี้จะแล้วแต่หลักเกณฑ์ของธนาคารนะครับ และผมเชื่อว่า
คงมีน้อยคนที่จะเข้าข่ายประเภทนี้ และถ้าเข้าข่าย ก็คงจะมีบัตรเครดิตถือไปแล้ว ไม่ต้องมาอ่านกระทู้นี้ก็ได้ครับ ฮา
ถัดมาประเภทที่สอง ซึ่งเป็นประเภทหลักของเรา ก็คือ พวกฟรีแลนซ์ที่รับงานจากบริษัทอีกที
โดยที่จะสามารถแบ่งย่อยได้เป็นสองประเภทนะครับ คือแบบมี 50 ทวิ กับแบบไม่มี
50 ทวิ ชื่อเต็มก็คือ หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
มันคือเอกสารที่จะแสดงที่มาของรายได้ของเรา ซึ่งลูกค้าของเราจะออกให้กับเรา โดยจะมีการหักภาษีเงินได้เอาไว้ล่วงหน้า
ถ้าเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน น่าจะรู้จักกันดีนะครับ เพราะส่วนใหญ่เราจะได้รับมาทุก ๆ ช่วงต้นปี เพื่อเอาไปยื่นเสียภาษี
หากเรามี 50 ทวิ แล้วรายได้ทั้งปีรวมกันเกิน 180,000 บาท จะมีธนาคารใจดีอยู่แห่งหนึ่ง (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2557)
ที่จะรับสมัครบัตรเครดิตโดยยื่น 50 ทวิเป็นหลักฐานทางการเงินครับ ซึ่งได้แก่ธนาคารกสิกรไทยนั่นเอง
ไชโย! ดังนั้น หากเรามี 50 ทวิอยู่ ก็สามารถไปขอสมัครบัตรเครดิตกับทางธนาคารกสิกรไทยดูได้เลยนะครับ
แต่จะผ่านไม่ผ่าน อยู่ที่การเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือนของเราอีกทีนะครับ
และแล้วก็มาถึงพวกสุดท้าย คือฟรีแลนซ์ ที่เงินหมุนเวียนต่อเดือนก็ไม่ถึงแสน แถม 50 ทวิ ก็ไม่มี
อย่าเพิ่งสิ้นหวังครับ มันยังมีหนทางอยู่ นั่นก็คือ การทำบัตรเครดิต โดยใช้บัญชีเงินฝากประจำค้ำประกันวงเงิน
ซึ่งเท่าทีผมทราบ จะมีธนาคารไทยพาณิชย์ ที่รับทำอยู่นะครับ (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2557)
วิธีทำก็ง่าย ๆ เลยครับ สมมุติว่าเราอยากได้บัตรเครดิตวงเงิน 50,000 บาท เราก็เปิดบัญชีฝากประจำ 50,000 บาท
แล้วยอมให้ธนาคารเก็บสมุดคู่ฝากเอาไว้ เพียงเท่านี้ เราก็จะได้รับบัตรเครดิตวงเงิน 50,000 มา
โดยแทบจะไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเลยครับ
วิธีนี้จะมีข้อเสียคือ เราจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการขยายวงเงินใด ๆ หรือการเปลี่ยนประเภทบัตรก็จะค่อนข้างยุ่งยากมาก
แถมพนักงานธนาคารบางสาขาก็อาจจะมึน ๆ ไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมทำให้ก็มีครับ อาจจะต้องอาศัยการสอบถามข้อมูลล่วงหน้าก่อ
ว่าสาขาไหนจะยอมทำให้เราบ้าง แต่นี่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดแล้ว สำหรับฟรีแลนซ์อย่างเรา ๆ นะครับ
ตัวผมเองในตอนนั้นก็เลือกใช้วิธีสุดท้ายที่ว่านี้แหละครับ แต่เชื่อไหม ผมเดินหน้ามึนไปอธิบายให้พนักงานธนาคารฟัง
แถมโดนไล่ให้ไปสาขาอื่น เพราะสาขานั้นไม่รับทำ (ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าพนักงานไม่รู้เรื่อง ขี้เกียจทำ หรือไม่รับทำจริง ๆ )
แต่สุดท้ายก็มีสาขาหนึ่งที่ยอมทำเรื่องให้ผม จนผมได้รับบัตรเครดิตใบแรกในชีวิตมาครอบครองจนได้
ยังไงก็อย่าลืมมองมุมกลับด้วยว่า ที่ธนาคารไม่ค่อยอยากอนุมัติบัตรเครดิตให้ฟรีแลนซ์ เพราะในสายตาธนาคาร
(ผมเชื่อว่าเป็นเฉพาะธนาคารประเทศไทยนะ) สายอาชีพนี้ค่อนข้างไม่มั่นคง และมีโอกาสเกิดหนี้สูญสูงครับ
ถ้าเรามีบัตรเครดิต ก็อย่าลืมใช้จ่ายอย่างมีสตินะครับ
และขอย้ำอีกครั้ง ด้วยรักและห่วงใยเลยนะครับ คิดจะลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ถ้าไม่อยากยุ่งยาก
ต้องการบัตรเครดิตของธนาคารไหน วงเงินเท่าไหร่ รีบทำเสียตั้งแต่ตอนยังมีสลิปเงินเดือนเถอะครับ
จะได้ไม่ต้องลำบากแบบที่ผมเคยเจอ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ ติชมชี้แนะได้ตามสะดวกเลยนะครับ
พบกันใหม่ตอนหน้า เร็ว ๆ นี้ครับ > <