บทความนี้ผมเอามาจากเพจ รักษ์อักษร by Muslin ซึ่งเป็นของเพื่อนผมเองครับ พอดีเพื่อนไม่มี log in Pantip แต่อยากทราบความคิดเห็นในวงกว้าง ทั้งจากกลุ่มนักเขียน อาจารย์ และพ่อแม่ผู้ปกครอง เห็นว่าน่าสนใจ จึงเอามาลงให้ได้ถกเถียงแสดงความเห็นกัน ลองดูนะครับ
“แบบเรียนภาษาไทยแบบใหม่”
ช่วงแรกที่เห็นข่าวนี้ผ่านโลกออนไลน์ ประกอบกับการที่เพื่อนรุ่นเดียวกันได้แสดงความคิดเห็นต่างๆ ยอมรับว่าอ่านแล้วขำ เพราะรู้สึกเหมือนเห็นตัวหนังสือต่างด้าว ไม่แน่ใจว่าใครเอามาลงเล่นหรือเปล่า จนต่อมาเมื่อเริ่มแน่ใจว่าของจริง ความวิตกจริตเริ่มครอบงำ!!! นี่มันเกิดเหตุอะไรกับภาษาของชาติ ก็ยังพยายามบอกเพื่อนว่า เออ แนะ...บางที นักวิชาการคงมีหลักการและเหตุผล หรือผลงานใดสนับสนุนกระมังว่าวิธีการนี้อาจให้ผลดี =_=” จนเมื่อวานมีโอกาสได้ฟังรายการ “คมชัดลึก” สัมภาษณ์ผู้ร่วมรายการสองท่าน ได้แก่
- ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธิ์วงศ์
ประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.)
- ดร.สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ
อาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์
และต่อสายถึงผู้ร่วมรายการรับเชิญ ดร.พัชรี ลิพิฐฎา อุปนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย
จากการฟังพบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายจุด แต่ที่ฟังแล้วพยายามค้นหาคือ...
อะไร คือข้อดี ของการฝึกอ่านแบบใหม่นี้???
อาจด้วยเพราะคนออกแบบหลักสูตรนี้ไม่ได้มาให้สัมภาษณ์ แอดมินเองจึงได้แต่พยายามสรุปเอาจากคำสัมภาษณ์ของพิธีกรที่ว่า...
”เป็นไปได้ไหมว่า การฝึกอ่านแบบใหม่นี้จะช่วยให้เด็กเขียนได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วขึ้น เพราะเป็นการจำรูปจากการเขียน”
ปล.ออกตัวก่อนนะคะว่าการที่ยกมานี้ แอดมินสรุปใจความให้ ไม่ได้ลงประโยคเป๊ะๆ แต่เดี๋ยวตอนท้ายจะแนบ link ไว้เผื่อผู้ที่สนใจ
คำตอบจากอาจารย์ทั้งสามท่าน...
ท่านหนึ่งตอบว่า...”วิธีการไหนก็แล้วแต่...การวัดผลต้องรอดูจากว่าสิ่งที่ทำ ทำให้เด็กประสบความสำเร็จได้จริงหรือไม่...คิดว่าน่าจะเป็นวิธีการปลายทางที่ใช้ในเด็กที่อ่านได้แม่นยำแล้ว เพราะโดยธรรมชาติของตัวอักษรมาจากเสียงที่เกิดขึ้นก่อน แบบไหนก็ได้ขึ้นกับว่าเด็กจะจำได้ง่ายหรือยากกว่า ถ้าอ่านตามการประสมอักษร ออกเสียงได้ถูกต้อง สิ่งอื่นๆจะตามมา””
ท่านที่สองตอบว่า...”การสอนให้อ่านลักษณะนี้ สมองต้องทำงานมากขึ้นเพื่อใช้ในการจดจำ ปลายทางไม่น่าจะดี เด็กอาจจำเก่งท่องได้ แต่เมื่อเจอคำใหม่ๆจะไม่สามารถอ่านเองได้”
ท่านที่สามตอบว่า...”ถ้าใช้วิธีนี้ สิ่งที่เด็กได้น้อยลงแน่ๆคือการอ่าน เด็กจะไม่เข้าใจรากศัพท์ ไม่เกิดการผสมคำ ทำให้ปัญหาในการอ่านสระผสมหรือการใช้อักษรนำ ความรู้ทางภาษาที่สืบทอดมาจะหายไป เกิดการลดเสียงของสระในภาษาไทย จาก 32 เสียง เหลือไม่ถึงครึ่ง”
จากทุกคำตอบ...ถ้าแอดมินสรุปว่า...ทั้งสามท่านลงความเห็นว่า...การอ่านแบบใหม่นี้ “อาจจะ” ทำให้การอ่านของเด็กไทยเกิดปัญหา โดยที่ไม่มีใครสนับสนุนว่า “อาจจะ” ทำให้การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็คงไม่นับว่ามีอคตินักนะคะ ^^”
โดยความเห็นส่วนตัว ไร้ซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์นักวิชาการใดๆ แอดมินถามเล่นๆว่า
“เด็กที่อ่านหนังสือไม่คล่อง...แต่เขียนหนังสือได้คล่องมาก นั้นมีหรือ??? และถามว่าถ้ามี...เราต้องการประชากรอย่างนั้นหรือ???”
...ในเมื่ออ่านหนังสือยังไม่แตก ก็ย่อมไม่พิสมัยรักใคร่ในการอ่าน เมื่อไม่ชอบอ่าน แปลว่าข้อจำกัดในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น!!! ขาดแหล่งข้อมูลที่จะรับรู้ในการพัฒนาสมอง ถึงตอนนั้น...เมื่อต้องเขียน...จะเอาอะไรมาเขียน!!!
ประเทศต้องการคนเขียนเก่งตามคำบอกหรือ???
อาจจะดูรุนแรงไปนิด ^^” แต่สงสัยจริงๆค่ะว่าความพยายามสร้างวิธีการใหม่ๆที่ฝืนธรรมชาตินั้น มันจะดีแน่หรือ
สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูพัฒนาการของเด็กยุคนี้กันค่ะ เพราะอันที่จริงประเทศเราก็มีการพัฒนาการเรียนการสอนอยู่ตลอดเวลา มีการปรับการอ่าน จากการผสมคำ เป็นแบบจำเป็นคำ จนจะกลายมาเป็นออกเสียงตามรูปเขียน ผลประเมินการสอบวิชาภาษาไทย คะแนนก็ค่อยๆต่ำลงทุกปีๆ...บทเรียนนี้สอนให้เราน่าจะนึกได้ว่า บางเรื่องที่ใหม่...ก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไปนะคะ ^^
ปล.สำหรับประเด็นอื่นที่แอดมินฟังแล้วประทับใจจากการสัมภาษณ์นี้ เป็นในแง่ความงามของภาษา ในบางตอนที่ว่า...
“เราจะวัดว่าชาติใดฉลาดหรือไม่ วัดจากความรุ่มรวยทางภาษา ความงดงามและความสละสลวย...สมคำว่า สำเนียง ส่อภาษา กิริยา ส่อสกุล”
แอดมินมองว่ามันสื่อถึงความประณีตทุกขั้นตอนในการใช้ชีวิต ความเป็นนักคิด ความมีวัฒนธรรม และความละเอียดทางอารมณ์ของคนในสังคม...อนาคต หากคำต่างๆในภาษาไทยจะตายจากไปเรื่อยๆ เยาวชนรู้จักแต่การแสดงอารมณ์ด้วยคำว่า อิอิ งุงิ ฟรุ้งฟริ้ง ก็คงน่าเสียดายไม่น้อยทีเดียวค่ะ
ชมรายการได้ตาม link ค่ะ
แบบเรียนภาษาไทยแบบใหม่ ทางแก้หรือทางตัน
“แบบเรียนภาษาไทยแบบใหม่”
ช่วงแรกที่เห็นข่าวนี้ผ่านโลกออนไลน์ ประกอบกับการที่เพื่อนรุ่นเดียวกันได้แสดงความคิดเห็นต่างๆ ยอมรับว่าอ่านแล้วขำ เพราะรู้สึกเหมือนเห็นตัวหนังสือต่างด้าว ไม่แน่ใจว่าใครเอามาลงเล่นหรือเปล่า จนต่อมาเมื่อเริ่มแน่ใจว่าของจริง ความวิตกจริตเริ่มครอบงำ!!! นี่มันเกิดเหตุอะไรกับภาษาของชาติ ก็ยังพยายามบอกเพื่อนว่า เออ แนะ...บางที นักวิชาการคงมีหลักการและเหตุผล หรือผลงานใดสนับสนุนกระมังว่าวิธีการนี้อาจให้ผลดี =_=” จนเมื่อวานมีโอกาสได้ฟังรายการ “คมชัดลึก” สัมภาษณ์ผู้ร่วมรายการสองท่าน ได้แก่
- ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธิ์วงศ์
ประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.)
- ดร.สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ
อาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์
และต่อสายถึงผู้ร่วมรายการรับเชิญ ดร.พัชรี ลิพิฐฎา อุปนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย
จากการฟังพบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายจุด แต่ที่ฟังแล้วพยายามค้นหาคือ...
อะไร คือข้อดี ของการฝึกอ่านแบบใหม่นี้???
อาจด้วยเพราะคนออกแบบหลักสูตรนี้ไม่ได้มาให้สัมภาษณ์ แอดมินเองจึงได้แต่พยายามสรุปเอาจากคำสัมภาษณ์ของพิธีกรที่ว่า...
”เป็นไปได้ไหมว่า การฝึกอ่านแบบใหม่นี้จะช่วยให้เด็กเขียนได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วขึ้น เพราะเป็นการจำรูปจากการเขียน”
ปล.ออกตัวก่อนนะคะว่าการที่ยกมานี้ แอดมินสรุปใจความให้ ไม่ได้ลงประโยคเป๊ะๆ แต่เดี๋ยวตอนท้ายจะแนบ link ไว้เผื่อผู้ที่สนใจ
คำตอบจากอาจารย์ทั้งสามท่าน...
ท่านหนึ่งตอบว่า...”วิธีการไหนก็แล้วแต่...การวัดผลต้องรอดูจากว่าสิ่งที่ทำ ทำให้เด็กประสบความสำเร็จได้จริงหรือไม่...คิดว่าน่าจะเป็นวิธีการปลายทางที่ใช้ในเด็กที่อ่านได้แม่นยำแล้ว เพราะโดยธรรมชาติของตัวอักษรมาจากเสียงที่เกิดขึ้นก่อน แบบไหนก็ได้ขึ้นกับว่าเด็กจะจำได้ง่ายหรือยากกว่า ถ้าอ่านตามการประสมอักษร ออกเสียงได้ถูกต้อง สิ่งอื่นๆจะตามมา””
ท่านที่สองตอบว่า...”การสอนให้อ่านลักษณะนี้ สมองต้องทำงานมากขึ้นเพื่อใช้ในการจดจำ ปลายทางไม่น่าจะดี เด็กอาจจำเก่งท่องได้ แต่เมื่อเจอคำใหม่ๆจะไม่สามารถอ่านเองได้”
ท่านที่สามตอบว่า...”ถ้าใช้วิธีนี้ สิ่งที่เด็กได้น้อยลงแน่ๆคือการอ่าน เด็กจะไม่เข้าใจรากศัพท์ ไม่เกิดการผสมคำ ทำให้ปัญหาในการอ่านสระผสมหรือการใช้อักษรนำ ความรู้ทางภาษาที่สืบทอดมาจะหายไป เกิดการลดเสียงของสระในภาษาไทย จาก 32 เสียง เหลือไม่ถึงครึ่ง”
จากทุกคำตอบ...ถ้าแอดมินสรุปว่า...ทั้งสามท่านลงความเห็นว่า...การอ่านแบบใหม่นี้ “อาจจะ” ทำให้การอ่านของเด็กไทยเกิดปัญหา โดยที่ไม่มีใครสนับสนุนว่า “อาจจะ” ทำให้การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็คงไม่นับว่ามีอคตินักนะคะ ^^”
โดยความเห็นส่วนตัว ไร้ซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์นักวิชาการใดๆ แอดมินถามเล่นๆว่า
“เด็กที่อ่านหนังสือไม่คล่อง...แต่เขียนหนังสือได้คล่องมาก นั้นมีหรือ??? และถามว่าถ้ามี...เราต้องการประชากรอย่างนั้นหรือ???”
...ในเมื่ออ่านหนังสือยังไม่แตก ก็ย่อมไม่พิสมัยรักใคร่ในการอ่าน เมื่อไม่ชอบอ่าน แปลว่าข้อจำกัดในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น!!! ขาดแหล่งข้อมูลที่จะรับรู้ในการพัฒนาสมอง ถึงตอนนั้น...เมื่อต้องเขียน...จะเอาอะไรมาเขียน!!!
ประเทศต้องการคนเขียนเก่งตามคำบอกหรือ???
อาจจะดูรุนแรงไปนิด ^^” แต่สงสัยจริงๆค่ะว่าความพยายามสร้างวิธีการใหม่ๆที่ฝืนธรรมชาตินั้น มันจะดีแน่หรือ
สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร คงต้องรอดูพัฒนาการของเด็กยุคนี้กันค่ะ เพราะอันที่จริงประเทศเราก็มีการพัฒนาการเรียนการสอนอยู่ตลอดเวลา มีการปรับการอ่าน จากการผสมคำ เป็นแบบจำเป็นคำ จนจะกลายมาเป็นออกเสียงตามรูปเขียน ผลประเมินการสอบวิชาภาษาไทย คะแนนก็ค่อยๆต่ำลงทุกปีๆ...บทเรียนนี้สอนให้เราน่าจะนึกได้ว่า บางเรื่องที่ใหม่...ก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไปนะคะ ^^
ปล.สำหรับประเด็นอื่นที่แอดมินฟังแล้วประทับใจจากการสัมภาษณ์นี้ เป็นในแง่ความงามของภาษา ในบางตอนที่ว่า...
“เราจะวัดว่าชาติใดฉลาดหรือไม่ วัดจากความรุ่มรวยทางภาษา ความงดงามและความสละสลวย...สมคำว่า สำเนียง ส่อภาษา กิริยา ส่อสกุล”
แอดมินมองว่ามันสื่อถึงความประณีตทุกขั้นตอนในการใช้ชีวิต ความเป็นนักคิด ความมีวัฒนธรรม และความละเอียดทางอารมณ์ของคนในสังคม...อนาคต หากคำต่างๆในภาษาไทยจะตายจากไปเรื่อยๆ เยาวชนรู้จักแต่การแสดงอารมณ์ด้วยคำว่า อิอิ งุงิ ฟรุ้งฟริ้ง ก็คงน่าเสียดายไม่น้อยทีเดียวค่ะ
ชมรายการได้ตาม link ค่ะ