
สวัสดีครับพี่ ๆ เพื่อน ๆ เมื่อปีที่แล้วหลังจากที่พาพันได้ร่วมไปดูงาน 100% Design ลอนดอนกับผู้ชนะเลิศอันดับ 1 โครงการ Use Me Again และอาจารย์สิงห์ อินทรชูโต การไปครั้งนั้นนอกจากจะได้นำนิทรรศการสุดเก๋ระดับโลกมาฝากพี่ ๆ แล้ว (ติดตามอ่านได้ที่กระทู้นี้เลยครับ
3 หนุ่ม 3 มุม พาเที่ยว 100% Design London บันทึกของพาพัน ตอนแรก) ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ พาพันยังได้มีโอกาสเข้าพบท่าน ดร.ปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอัครราชทูต (ฝ่ายการศึกษา) ประจำกรุงลอนดอนอยู่ครับ ขอบอกเลยว่าพาพันตื่นเต้นและดีใจมาก ๆ ที่ได้รับเกียรติและความกรุณาในครั้งนี้ครับ
*หมายเหตุ
ขณะนี้ ดร.ปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ ได้หมดวาระประจำการที่อังกฤษและเดินทางกลับมาเมืองไทย เพื่อมารับตำแหน่งใหม่ เป็นผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล และรักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาระบบราชการ
ส่วนท่านที่ไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูต (ฝ่ายการศึกษา) ประจำกรุงลอนดอนคนปัจจุบัน คือ คุณอรวรรณ นุ้ยภักดี
พี่ ๆ อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า การเรียนต่อต่างประเทศหรือนักเรียนทุน ก.พ.ได้รับการดูแลอย่างไร พาพันได้พูดคุยอะไรกับท่าน ดร. บ้าง การทำงานของอัครราชทูตเป็นยังไง มีหน้าที่อะไร และทำยังไงท่าน ดร. จึงได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ … ตามมาดูกันเลยครับ

“ผมต้องบอกว่าไม่เคยฝันเลย … คือด้วยความโชคดีที่ได้ทุนรัฐบาล จบมาก็ทำงานรับราชการอยู่ที่สำนักงาน ก.พ. (สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน) ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับระบบข้าราชการพลเรือนภายในประเทศเป็นหลัก ก็ทราบว่ามีตำแหน่งอัครราชทูตฝ่ายการศึกษาอยู่ แต่ตอนแรกไม่อยากมาเลยเพราะคิดว่าทำที่เมืองไทยน่าจะสนุกกว่า แต่ความโชคดีอย่างหนึ่งของผมคือได้มีโอกาสหมุนเวียนไปทำงานในหลาย ๆ หน่วยงานของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งมักจะได้ทำงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนากำลังคนคุณภาพ หรือที่เรียกว่า Talent Management โดยรวมถึงระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance and Potential System: HIPPS) และระบบนักเรียนทุนรัฐบาล ซึ่งสำหรับระบบนักเรียนทุนรัฐบาลนั้น ผมเริ่มทำในส่วนต้นน้ำคือกำหนดว่าแต่ละปีควรมีกี่ทุน เรียนอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็ย้ายมาทำเกี่ยวกับการพัฒนาข้าราชการ (Training) พอทำไปก็เลยเกิดมุมมองใหม่ว่า เอ๊ะ ในเมื่อเราทำต้นน้ำ และ เราเห็นปลายน้ำแล้ว ซึ่งก็คือเห็นนักเรียนทุนที่กลับมาว่าเขาเป็นยังไง ทั้งคนมีคุณภาพและคนมีปัญหา ก็เลยเกิดความคิดอยากจะมาดูตรงช่วงกลางน้ำบ้าง ซึ่งเป็นช่วงที่นักเรียนที่จะก้าวไปเป็นข้าราชการในอนาคตกำลังเรียนอยู่ในต่างประเทศ ต้องการที่จะดูแลเขา บ่มเพาะความคิด ทัศนคติที่ควรจะเป็นของการเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลและข้าราชการ ผมก็เลยอยากมาอยู่ตรงนี้ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ของผม บอกกล่าวเล่าขานให้นักเรียนทุนที่อยู่ที่นี่ เลยเป็นที่มาว่าทำไมถึงมาสมัครในตำแหน่งนี้ (ยิ้ม) ตอนนี้ก็ 2 ปีแล้วครับ”
อะไรคือเหตุผลที่เลือกมาประจำอยู่ที่อังกฤษครับ?
“ผมจบอเมริกา แต่ที่เลือกอังกฤษเพราะเป็นประเทศเล็ก แต่มีจำนวนนักเรียนทุนรัฐบาลไทยเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา แต่โดยตำแหน่งของการดูแลนักเรียนทุนที่ประเทศอังกฤษจะครอบคลุมถึงฝรั่งเศส เยอรมัน และสวิตเซอร์แลนด์ เพราะฉะนั้น มันหลากหลายและค่อนข้างใกล้ชิดกว่าการดูแลในประเทศใหญ่ ๆ คือไม่ใช่ประเทศใหญ่เขาไม่ดูแลนะครับ แต่ผมคิดว่าในประเทศใหญ่การที่เราจะพบนักเรียนแบบ Face to Face จะยากกว่า เพราะเขาใหญ่มาก แต่ในอังกฤษถ้ามีอะไรเราเดินทางไปพบได้เลย ซึ่งนักเรียนทุนรัฐบาลที่เราดูแลมาจากหลากหลายแหล่งทุนโดยหลักๆ จะรวมถึง ทุน ก.พ. กระทรวงวิทยาศาสตร์ สกอ. กระทรวงสาธารณสุข และพสวท. ครับ ซึ่งก็ดูแลเหมือนกันหมด”
แล้วทุน ก.พ. ต่างจากทุนอื่น ๆ ยังไงบ้างครับ?
“ผมพูดถึงลักษณะก็แล้วกัน เพราะทุนอื่น ๆ เยอะมาก ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง แหล่งทุนหลักๆ เช่น ทุน ก.พ. ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ หรือสาธารณสุข เขากำหนดมาเลยว่าจะต้องเรียนสาขาอะไร หน่วยงานต้นสังกัดวิเคราะห์มาแล้วว่ามันจำเป็นต่อหน่วยงาน จำเป็นต่อภารกิจของกระทรวงหรือกรม ชัดเจนในแง่อาชีพการงาน ทำให้ช่วยคนที่ได้รับทุนมองเห็นภาพในแง่การวางเป้าหมายชีวิต วางกรอบกติกาในการเรียน ส่วนทุนอีกหลาย ๆ ประเภทที่ไม่ผูกมัดว่าต้องเรียนอะไร อันนั้นก็ดีสำหรับคนที่ชอบอิสระ แต่อาจจะทำให้บางคนเคว้งว่าจะต้องเรียนอะไร กลับมาแล้วจะทำงานที่ไหน แต่ทุนรัฐบาลค่อนข้างชัดเจน ผมว่าสำหรับคนที่มีจิตสาธารณะอยู่แล้ว มันเป็นการผูกพันแบบ Win-Win คือผูกความก้าวหน้าในด้านการศึกษากับอุดมการณ์ของตนเอง ผมเชื่อว่าอุดมการณ์มันทำให้ชีวิตของคนเรามีค่าขึ้น เพราะฉะนั้นการที่คุณได้รับทุนรัฐบาลส่วนหนึ่งมันตอบโจทย์ชีวิตตรงนี้ ผมไม่พูดประเด็นเรื่องค่าตอบแทนนะ เพราะนานาจิตตัง แล้วแต่ lifestyle ของแต่ละคน”
แต่ละปีมีคนสนใจสอบทุน ก.พ. เยอะมาก ๆ เลยนะครับ แล้วอะไรคือคุณสมบัติสำคัญของคนที่จะได้ทุนนี้ครับ?
“แน่นอนว่าความเก่ง (ยิ้ม) เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ต้องมีครับ ผมถามนักเรียนทุนรัฐบาลว่ารู้ไหมทำไมคุณได้รับเลือก คำตอบที่หลายคนอาจจะคิดอยู่คือเพราะเขาเก่ง ผมก็ว่ามันก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ถ้าไม่เก่งเลยคุณก็สอบไม่ผ่าน แต่นอกจากความเก่ง สิ่งที่นักเรียนทุนรัฐบาลต้องแตกต่างจากคนอื่นคือ ’ใจ’ ใจที่มีให้กับส่วนรวม ใจที่มีให้กับภาครัฐ มีคนเก่งกว่านักเรียนทุนรัฐบาลเยอะแยะ คุณอาจไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่คุณต้องเป็นคนดี ตรงนี้มันอาจจะวัดยากแต่ในเชิงเทคนิคการคัดเลือกก็พอมีทาง อย่างน้อยมีกลิ่นของหัวใจที่อยากจะให้กับส่วนรวมไหม เราอยากได้คนที่มีความเป็น Outside-In คือคิดว่าคนอื่นเขาคิดยังไง มากกว่าคนที่เป็น Inside-Out คือ อยากได้ อยากรับ อยากเอา อยากเป็น ถ้าเป็นอย่างนี้ผมแนะนำว่าอย่ามาสอบทุนรัฐบาล”
ที่ผ่านมามีนักเรียนทุนที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันบ้างรึเปล่าครับ?
“มีบ้าง แต่เป็นส่วนน้อยน่าจะมี 2 แบบครับ คือ เรียนไม่จบกับทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมาผมเห็นว่านักเรียนทุนมีความเครียดอยู่ 3 อย่าง คือ เครียดขาลง เครียดขาขึ้น และเครียดแบบพิเศษหรือเราเรียกว่าเครียดแบบงง ๆ เครียดขาลงคือเรียนไม่ไหว หัวไม่ไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะข้ามหรือเปลี่ยนสาขาที่เรียนจากระดับปริญญาตรีหรือโท ภาษาไม่ได้ ตามไม่ทัน สำหรับเครียดขาขึ้นอาจจะเปรียบเทียบว่าเล่นฟุตบอลอยู่แชมเปี้ยนส์ลีค แต่พอจะเปลี่ยนระดับการศึกษา เช่น จบโทแล้วจะต่อเอก อยากจะย้ายไปมหาวิทยาลัยที่อยู่ในพรีเมียร์ลีค คือเก่งอยู่แล้วแต่อยากจะอัพขึ้นมาอีก อยากอยู่ในมหาวิทยาลัย Top5 ของโลก พอมหาวิทยาลัยเหล่านั้นปฏิเสธก็เลยอาจจะเครียดหรือท้อแท้บ้าง และอันสุดท้ายคือเครียดแบบงง ๆ คือคิดว่าตัวเองค่อนข้างขั้นเทพ แต่จริง ๆ ไม่ใช่ ซึ่งทั้งสามอย่างถ้ามีโอกาสเราจะไปคุยด้วย เพื่อหาวิธีว่าจะแก้ปัญหายังไง ถ้าถึงที่สุดแล้วอย่างกรณีแรก เครียดขาลง เรียนไม่ไหว จะย้ายประเทศไหม เปลี่ยนมหาวิทยาลัย หรือกลับไปเรียนต่อเมืองไทยไหม จริง ๆ แล้วไม่ได้แปลว่าเขาไม่เก่ง แต่บางครั้งมันมีปัจจัยอื่นอย่างเช่นการใช้ชีวิต วิธีเรียนหรือที่เรียกว่า academic culture ที่อาจจะปรับตัวไม่ทัน เราก็ต้องช่วยเขา ส่วนกรณีตอนกลับไปทำงานที่เมืองไทยแล้วไปไม่ถึงฝั่งนั้น ผมจะบอกตลอดเวลาว่าเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลอย่าทำตัวเป็นรถขนของ อย่าขน Text Book กลับเมืองไทยแล้วไปเทกระจาดเที่ยวไปบอกพี่ ๆ น้อง ๆ ลุงป้าข้าราชการที่เมืองไทยว่าต้องทำตาม Text Book ตรงนั้นตรงนี้ ความสนุกของการทำงานคือทำยังไงจะคิดต่อเติมคิดเสริมหรือแม้กระทั่งคิดต้าน เอาสิ่งที่เราเรียนมาประยุกต์ใช้ นี่คือความสนุกท้าทายของนักเรียนทุนรัฐบาล คนที่ทำตัวเป็นรถขนของก็จะไปไม่รอด อึดอัด เพราะมันคือการสวนความเป็นจริง ไม่ practical ไม่ทำให้งานสัมฤทธิ์ผล และจะไม่ประสบความสำเร็จ”
จากที่ท่าน ดร. ทำงานส่วนนี้มา อะไรคือปัญหาที่พบบ่อยที่สุดครับ?
“ภาษาอังกฤษ เป็นอะไรที่พบค่อนข้างบ่อย อันดับต้น ๆ มักจะเป็นภาษาเขียนและก็ภาษาในการสื่อสาร มันจะมีการเรียนที่ต้องเขียนบรรยาย แสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์ ต้องร้อยเรียงตรรกะ ความคิด มันมากกว่ามิติของไวยากรณ์ ต้องผนวกความคิดเข้าไปด้วย ทำยังไงจะถ่ายทอดสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารออกไปให้ได้ ตรงนี้คือประเด็นสำคัญ และอีกปัญหาที่พบบ่อยคือเรื่องการปรับตัวในช่วงแรก ๆ บางคนอาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าถาม รอจนกระทั่งครูสอนจบแล้วค่อยเดินไปถามครู เขาก็ไม่ตอบ เพราะเขาบอกแล้วว่าทำไมในชั้นเรียนไม่ถาม บางคนว่าด้วยซ้ำไปว่าทำแบบนี้เอาเปรียบเพื่อน เพราะถามในชั้นเรียน คนอื่นก็ได้รู้ด้วย แต่คุณมาถามส่วนตัว คนอื่นก็เสียโอกาสไป นอกจากนั้นก็ไม่เชิงว่าเป็นปัญหา จะเป็นเสียดายมากกว่า อันนี้ผมเห็นทั้งกรณีทุนส่วนตัวด้วย คือปิดเทอมปั๊บกลับเมืองไทย เสียดายแทน คือนอกจากวิชาการแล้ว การมาอยู่ต่างประเทศควรตักตวงประสบการณ์หลาย ๆ อย่าง ดูว่าวัฒนธรรมประเทศอื่นเป็นยังไงบ้าง หรือแม้แต่ทางวิชาการ ในหลาย ๆ มหาวิทยาลัย ช่วงปิดเทอมเขาเปิดโอกาสให้ฝึกงาน เป็นการทำงานวิจัยกับอาจารย์ ถ้าเขาเห็นเรามีความสามารถก็จะชวนหรือเราอาจจะไปขอทำ เขาก็จะให้ช่วย คือการฝึกงานไม่ว่าจะเป็นสายวิทยาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์มันทำให้เรามีโอกาสทำงานต่อยอดจากสิ่งที่เราเรียนอยู่ปกติ มันลับสมองเรา ถ้ากลับเมืองไทยภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ใช้ โอกาสในการต่อยอดหายไป 2-3 เดือน อันนี้เป็นสิ่งที่เสียดายแทน หรือจะอยู่และไปเที่ยวก็ยังได้ ไปสนุกกับวัฒนธรรม ชื่นชมชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่ อังกฤษมีอะไรให้น่าศึกษาเยอะมาก พิพิธภัณฑ์แค่เดินเข้าไปก็ได้ความรู้ เหมือนที่ท่าน ว.วชิรเมธี เคยบอกว่า มีสิ่งที่จะต้องรู้ ควรรู้ และประดับความรู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่รู้จากมหาวิทยาลัยอย่างเดียว มีอีกหลายอย่างที่ให้ประดับความรู้เยอะแยะ”
บันทึกของพาพัน ตอน คุยกับ ดร.ปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ อดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการศึกษา) สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนในประเทศอังกฤษ
สวัสดีครับพี่ ๆ เพื่อน ๆ เมื่อปีที่แล้วหลังจากที่พาพันได้ร่วมไปดูงาน 100% Design ลอนดอนกับผู้ชนะเลิศอันดับ 1 โครงการ Use Me Again และอาจารย์สิงห์ อินทรชูโต การไปครั้งนั้นนอกจากจะได้นำนิทรรศการสุดเก๋ระดับโลกมาฝากพี่ ๆ แล้ว (ติดตามอ่านได้ที่กระทู้นี้เลยครับ 3 หนุ่ม 3 มุม พาเที่ยว 100% Design London บันทึกของพาพัน ตอนแรก) ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ พาพันยังได้มีโอกาสเข้าพบท่าน ดร.ปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นอัครราชทูต (ฝ่ายการศึกษา) ประจำกรุงลอนดอนอยู่ครับ ขอบอกเลยว่าพาพันตื่นเต้นและดีใจมาก ๆ ที่ได้รับเกียรติและความกรุณาในครั้งนี้ครับ
*หมายเหตุ
ขณะนี้ ดร.ปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ ได้หมดวาระประจำการที่อังกฤษและเดินทางกลับมาเมืองไทย เพื่อมารับตำแหน่งใหม่ เป็นผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล และรักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาระบบราชการ
ส่วนท่านที่ไปดำรงตำแหน่งอัครราชทูต (ฝ่ายการศึกษา) ประจำกรุงลอนดอนคนปัจจุบัน คือ คุณอรวรรณ นุ้ยภักดี
พี่ ๆ อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า การเรียนต่อต่างประเทศหรือนักเรียนทุน ก.พ.ได้รับการดูแลอย่างไร พาพันได้พูดคุยอะไรกับท่าน ดร. บ้าง การทำงานของอัครราชทูตเป็นยังไง มีหน้าที่อะไร และทำยังไงท่าน ดร. จึงได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้ … ตามมาดูกันเลยครับ
“ผมต้องบอกว่าไม่เคยฝันเลย … คือด้วยความโชคดีที่ได้ทุนรัฐบาล จบมาก็ทำงานรับราชการอยู่ที่สำนักงาน ก.พ. (สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน) ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับระบบข้าราชการพลเรือนภายในประเทศเป็นหลัก ก็ทราบว่ามีตำแหน่งอัครราชทูตฝ่ายการศึกษาอยู่ แต่ตอนแรกไม่อยากมาเลยเพราะคิดว่าทำที่เมืองไทยน่าจะสนุกกว่า แต่ความโชคดีอย่างหนึ่งของผมคือได้มีโอกาสหมุนเวียนไปทำงานในหลาย ๆ หน่วยงานของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งมักจะได้ทำงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนากำลังคนคุณภาพ หรือที่เรียกว่า Talent Management โดยรวมถึงระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance and Potential System: HIPPS) และระบบนักเรียนทุนรัฐบาล ซึ่งสำหรับระบบนักเรียนทุนรัฐบาลนั้น ผมเริ่มทำในส่วนต้นน้ำคือกำหนดว่าแต่ละปีควรมีกี่ทุน เรียนอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็ย้ายมาทำเกี่ยวกับการพัฒนาข้าราชการ (Training) พอทำไปก็เลยเกิดมุมมองใหม่ว่า เอ๊ะ ในเมื่อเราทำต้นน้ำ และ เราเห็นปลายน้ำแล้ว ซึ่งก็คือเห็นนักเรียนทุนที่กลับมาว่าเขาเป็นยังไง ทั้งคนมีคุณภาพและคนมีปัญหา ก็เลยเกิดความคิดอยากจะมาดูตรงช่วงกลางน้ำบ้าง ซึ่งเป็นช่วงที่นักเรียนที่จะก้าวไปเป็นข้าราชการในอนาคตกำลังเรียนอยู่ในต่างประเทศ ต้องการที่จะดูแลเขา บ่มเพาะความคิด ทัศนคติที่ควรจะเป็นของการเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลและข้าราชการ ผมก็เลยอยากมาอยู่ตรงนี้ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ของผม บอกกล่าวเล่าขานให้นักเรียนทุนที่อยู่ที่นี่ เลยเป็นที่มาว่าทำไมถึงมาสมัครในตำแหน่งนี้ (ยิ้ม) ตอนนี้ก็ 2 ปีแล้วครับ”
อะไรคือเหตุผลที่เลือกมาประจำอยู่ที่อังกฤษครับ?
“ผมจบอเมริกา แต่ที่เลือกอังกฤษเพราะเป็นประเทศเล็ก แต่มีจำนวนนักเรียนทุนรัฐบาลไทยเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา แต่โดยตำแหน่งของการดูแลนักเรียนทุนที่ประเทศอังกฤษจะครอบคลุมถึงฝรั่งเศส เยอรมัน และสวิตเซอร์แลนด์ เพราะฉะนั้น มันหลากหลายและค่อนข้างใกล้ชิดกว่าการดูแลในประเทศใหญ่ ๆ คือไม่ใช่ประเทศใหญ่เขาไม่ดูแลนะครับ แต่ผมคิดว่าในประเทศใหญ่การที่เราจะพบนักเรียนแบบ Face to Face จะยากกว่า เพราะเขาใหญ่มาก แต่ในอังกฤษถ้ามีอะไรเราเดินทางไปพบได้เลย ซึ่งนักเรียนทุนรัฐบาลที่เราดูแลมาจากหลากหลายแหล่งทุนโดยหลักๆ จะรวมถึง ทุน ก.พ. กระทรวงวิทยาศาสตร์ สกอ. กระทรวงสาธารณสุข และพสวท. ครับ ซึ่งก็ดูแลเหมือนกันหมด”
แล้วทุน ก.พ. ต่างจากทุนอื่น ๆ ยังไงบ้างครับ?
“ผมพูดถึงลักษณะก็แล้วกัน เพราะทุนอื่น ๆ เยอะมาก ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง แหล่งทุนหลักๆ เช่น ทุน ก.พ. ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ หรือสาธารณสุข เขากำหนดมาเลยว่าจะต้องเรียนสาขาอะไร หน่วยงานต้นสังกัดวิเคราะห์มาแล้วว่ามันจำเป็นต่อหน่วยงาน จำเป็นต่อภารกิจของกระทรวงหรือกรม ชัดเจนในแง่อาชีพการงาน ทำให้ช่วยคนที่ได้รับทุนมองเห็นภาพในแง่การวางเป้าหมายชีวิต วางกรอบกติกาในการเรียน ส่วนทุนอีกหลาย ๆ ประเภทที่ไม่ผูกมัดว่าต้องเรียนอะไร อันนั้นก็ดีสำหรับคนที่ชอบอิสระ แต่อาจจะทำให้บางคนเคว้งว่าจะต้องเรียนอะไร กลับมาแล้วจะทำงานที่ไหน แต่ทุนรัฐบาลค่อนข้างชัดเจน ผมว่าสำหรับคนที่มีจิตสาธารณะอยู่แล้ว มันเป็นการผูกพันแบบ Win-Win คือผูกความก้าวหน้าในด้านการศึกษากับอุดมการณ์ของตนเอง ผมเชื่อว่าอุดมการณ์มันทำให้ชีวิตของคนเรามีค่าขึ้น เพราะฉะนั้นการที่คุณได้รับทุนรัฐบาลส่วนหนึ่งมันตอบโจทย์ชีวิตตรงนี้ ผมไม่พูดประเด็นเรื่องค่าตอบแทนนะ เพราะนานาจิตตัง แล้วแต่ lifestyle ของแต่ละคน”
แต่ละปีมีคนสนใจสอบทุน ก.พ. เยอะมาก ๆ เลยนะครับ แล้วอะไรคือคุณสมบัติสำคัญของคนที่จะได้ทุนนี้ครับ?
“แน่นอนว่าความเก่ง (ยิ้ม) เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ต้องมีครับ ผมถามนักเรียนทุนรัฐบาลว่ารู้ไหมทำไมคุณได้รับเลือก คำตอบที่หลายคนอาจจะคิดอยู่คือเพราะเขาเก่ง ผมก็ว่ามันก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ถ้าไม่เก่งเลยคุณก็สอบไม่ผ่าน แต่นอกจากความเก่ง สิ่งที่นักเรียนทุนรัฐบาลต้องแตกต่างจากคนอื่นคือ ’ใจ’ ใจที่มีให้กับส่วนรวม ใจที่มีให้กับภาครัฐ มีคนเก่งกว่านักเรียนทุนรัฐบาลเยอะแยะ คุณอาจไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่คุณต้องเป็นคนดี ตรงนี้มันอาจจะวัดยากแต่ในเชิงเทคนิคการคัดเลือกก็พอมีทาง อย่างน้อยมีกลิ่นของหัวใจที่อยากจะให้กับส่วนรวมไหม เราอยากได้คนที่มีความเป็น Outside-In คือคิดว่าคนอื่นเขาคิดยังไง มากกว่าคนที่เป็น Inside-Out คือ อยากได้ อยากรับ อยากเอา อยากเป็น ถ้าเป็นอย่างนี้ผมแนะนำว่าอย่ามาสอบทุนรัฐบาล”
ที่ผ่านมามีนักเรียนทุนที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันบ้างรึเปล่าครับ?
“มีบ้าง แต่เป็นส่วนน้อยน่าจะมี 2 แบบครับ คือ เรียนไม่จบกับทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ที่ผ่านมาผมเห็นว่านักเรียนทุนมีความเครียดอยู่ 3 อย่าง คือ เครียดขาลง เครียดขาขึ้น และเครียดแบบพิเศษหรือเราเรียกว่าเครียดแบบงง ๆ เครียดขาลงคือเรียนไม่ไหว หัวไม่ไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะข้ามหรือเปลี่ยนสาขาที่เรียนจากระดับปริญญาตรีหรือโท ภาษาไม่ได้ ตามไม่ทัน สำหรับเครียดขาขึ้นอาจจะเปรียบเทียบว่าเล่นฟุตบอลอยู่แชมเปี้ยนส์ลีค แต่พอจะเปลี่ยนระดับการศึกษา เช่น จบโทแล้วจะต่อเอก อยากจะย้ายไปมหาวิทยาลัยที่อยู่ในพรีเมียร์ลีค คือเก่งอยู่แล้วแต่อยากจะอัพขึ้นมาอีก อยากอยู่ในมหาวิทยาลัย Top5 ของโลก พอมหาวิทยาลัยเหล่านั้นปฏิเสธก็เลยอาจจะเครียดหรือท้อแท้บ้าง และอันสุดท้ายคือเครียดแบบงง ๆ คือคิดว่าตัวเองค่อนข้างขั้นเทพ แต่จริง ๆ ไม่ใช่ ซึ่งทั้งสามอย่างถ้ามีโอกาสเราจะไปคุยด้วย เพื่อหาวิธีว่าจะแก้ปัญหายังไง ถ้าถึงที่สุดแล้วอย่างกรณีแรก เครียดขาลง เรียนไม่ไหว จะย้ายประเทศไหม เปลี่ยนมหาวิทยาลัย หรือกลับไปเรียนต่อเมืองไทยไหม จริง ๆ แล้วไม่ได้แปลว่าเขาไม่เก่ง แต่บางครั้งมันมีปัจจัยอื่นอย่างเช่นการใช้ชีวิต วิธีเรียนหรือที่เรียกว่า academic culture ที่อาจจะปรับตัวไม่ทัน เราก็ต้องช่วยเขา ส่วนกรณีตอนกลับไปทำงานที่เมืองไทยแล้วไปไม่ถึงฝั่งนั้น ผมจะบอกตลอดเวลาว่าเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลอย่าทำตัวเป็นรถขนของ อย่าขน Text Book กลับเมืองไทยแล้วไปเทกระจาดเที่ยวไปบอกพี่ ๆ น้อง ๆ ลุงป้าข้าราชการที่เมืองไทยว่าต้องทำตาม Text Book ตรงนั้นตรงนี้ ความสนุกของการทำงานคือทำยังไงจะคิดต่อเติมคิดเสริมหรือแม้กระทั่งคิดต้าน เอาสิ่งที่เราเรียนมาประยุกต์ใช้ นี่คือความสนุกท้าทายของนักเรียนทุนรัฐบาล คนที่ทำตัวเป็นรถขนของก็จะไปไม่รอด อึดอัด เพราะมันคือการสวนความเป็นจริง ไม่ practical ไม่ทำให้งานสัมฤทธิ์ผล และจะไม่ประสบความสำเร็จ”
จากที่ท่าน ดร. ทำงานส่วนนี้มา อะไรคือปัญหาที่พบบ่อยที่สุดครับ?
“ภาษาอังกฤษ เป็นอะไรที่พบค่อนข้างบ่อย อันดับต้น ๆ มักจะเป็นภาษาเขียนและก็ภาษาในการสื่อสาร มันจะมีการเรียนที่ต้องเขียนบรรยาย แสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์ ต้องร้อยเรียงตรรกะ ความคิด มันมากกว่ามิติของไวยากรณ์ ต้องผนวกความคิดเข้าไปด้วย ทำยังไงจะถ่ายทอดสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารออกไปให้ได้ ตรงนี้คือประเด็นสำคัญ และอีกปัญหาที่พบบ่อยคือเรื่องการปรับตัวในช่วงแรก ๆ บางคนอาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าถาม รอจนกระทั่งครูสอนจบแล้วค่อยเดินไปถามครู เขาก็ไม่ตอบ เพราะเขาบอกแล้วว่าทำไมในชั้นเรียนไม่ถาม บางคนว่าด้วยซ้ำไปว่าทำแบบนี้เอาเปรียบเพื่อน เพราะถามในชั้นเรียน คนอื่นก็ได้รู้ด้วย แต่คุณมาถามส่วนตัว คนอื่นก็เสียโอกาสไป นอกจากนั้นก็ไม่เชิงว่าเป็นปัญหา จะเป็นเสียดายมากกว่า อันนี้ผมเห็นทั้งกรณีทุนส่วนตัวด้วย คือปิดเทอมปั๊บกลับเมืองไทย เสียดายแทน คือนอกจากวิชาการแล้ว การมาอยู่ต่างประเทศควรตักตวงประสบการณ์หลาย ๆ อย่าง ดูว่าวัฒนธรรมประเทศอื่นเป็นยังไงบ้าง หรือแม้แต่ทางวิชาการ ในหลาย ๆ มหาวิทยาลัย ช่วงปิดเทอมเขาเปิดโอกาสให้ฝึกงาน เป็นการทำงานวิจัยกับอาจารย์ ถ้าเขาเห็นเรามีความสามารถก็จะชวนหรือเราอาจจะไปขอทำ เขาก็จะให้ช่วย คือการฝึกงานไม่ว่าจะเป็นสายวิทยาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์มันทำให้เรามีโอกาสทำงานต่อยอดจากสิ่งที่เราเรียนอยู่ปกติ มันลับสมองเรา ถ้ากลับเมืองไทยภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ใช้ โอกาสในการต่อยอดหายไป 2-3 เดือน อันนี้เป็นสิ่งที่เสียดายแทน หรือจะอยู่และไปเที่ยวก็ยังได้ ไปสนุกกับวัฒนธรรม ชื่นชมชีวิตความเป็นอยู่ของที่นี่ อังกฤษมีอะไรให้น่าศึกษาเยอะมาก พิพิธภัณฑ์แค่เดินเข้าไปก็ได้ความรู้ เหมือนที่ท่าน ว.วชิรเมธี เคยบอกว่า มีสิ่งที่จะต้องรู้ ควรรู้ และประดับความรู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่รู้จากมหาวิทยาลัยอย่างเดียว มีอีกหลายอย่างที่ให้ประดับความรู้เยอะแยะ”