สวัสดีครับทุกท่านที่เข้ามาอ่านประสบการณ์ ที่ผมได้เจอมากกับตัว(มันทำให้ผม หดหู่ ใจมากกับสังคมเด็กสมัยนี้)
ผมเป็น มือใหม่ นะครับยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง แต่ผมขอ แท็ก ครอบครัว ก็แล้วกันนะครับ
เรื่องอาจจะยาวไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมแค่อยากให้คนที่มี ลูกมีครอบครัว หรือรับเด็กมาเลี้ยง รับฟังดู (ภาษาอาจตกไปบ้างต้องขออภัย)
(ผมจะไม่บอกชื่อของบุคคลหรือโรงเรียนหรือจังหวัดและชื่อสถานที่หรืออะใรก็ตามแต่)
เรื่องมีอยู่ว่าประมาณ 1ปี ก่อนตอนนั้นผมพึ่งเรียนจบ ปวส. ผมก็เข้าไปสมัครงานใน บริษัทของน้าผม เป็นบริษัทเกียวกับการข่นส่งสินค้า และผมขอน้าว่าผมเอางานมาทำที่บ้าน เพราะผมไม่ชอบอยู่ในตัวเมืองเท่าไหร แน่นอนเนื่องจากผมเป็นหลานผมก็ได้ทำงานที่บ้าน นอกเมือง
หลังจากที่ผมเอางานมาทำที่บ้าน แน่นอนครับผมอยู่บ้านทั้งวัน สบายสุดๆ และข้างๆ บ้านจะมีบ้านหลังเล็กๆอยู่ เป็นร้านขายกล้วยปิ้ง มีป้า ออกมาขายหน้าบ้านทุกวัน แน่นอนครับผมอุดหนุด ป้าแกทุกวัน เพราะแถวนั้นไม่มี เซเว่น เลยไม่ค่อยจะมี ของว่างกิน และทุกๆ วันสี่โมงเย็น
จะเห็นลูกของป้าแก กลับมากจากโรงเรียน เด็กคนนี้ผิวพรรณดี หน้าตาน่ารักสุดๆ (เดียวๆไม่ต้องคิด ผมไม่ใช่โลลิคอน ครับ) เด็กคนนี้ทุกวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จะมาเล่นที่ สวนบ้านผมทุกวัน (ที่ผมรู้เพราะแม่บ้านบอกครับ เพราะวัน เสาร์-อาทิตย์ ผมจะไปหาแฟนที่ ตปท. ครับ)
แต่ก็มีอยู่ช่วงนึ่ง แฟนผมติดงานเทศกาล(ตลอดเดือน) ผมเลยไม่ได้ไปหาเธอเพราะเธอไม่ว่าง ผมก็อยู่บ้านทั้ง สัปดาห์ ในวันเสาร์ พอผมเครียร์งานเสร็จ ก็ว่าจะมานอนเล่นในสวน(เอาเสื่อหมอนมาครบมีหยิบสาโทติดมือมาด้วยจะได้งีบสบาย) พอถึงที่ผม ปูเสื่อ เรียบร้อย(หยิบหลอดเตรียมดูดสาโท)
เด็กผู้หญิงที่ว่า มาเล่นในสวน แน่นอนดูเด็กคนนั้นสนใจ ไห ที่ผมถือในมือมาก ผมเลยแซวเด็กคนนั้น ไปว่า "ลองกินดูเปล่า?" (ผมยิ้มและยักคิวไปด้วย) เด็กคนนั้นนิ่งคิดนิดหน่อย แล้วพูดตอบมาว่า "ไม่คะ แม่ไม่ให้เล่นกับคนบ้า" 5555+ ผมขำทันที ที่เด็กคนนั้นพูดแบบนี้ แล้วเด็กคนนั้นก็วิ่งไป
ต่อมา ใน เช้าวัน อาทิตย์ ผมออกมาซื้อกล้วยปิ้ง ร้านป้าข้างบ้านผมเห็นเด็กคนนั้นช่วยแม่เขา ปิ้งกล้วยด้วย ผมก็สั่งกล้วยปิ้งไปตามปกติ เด็กคนนั้นก็สกิดแม่เขา แล้วพูดว่า "แม่เนียคนบ้าที่หนูเจอเมื่อวาน" 555+ ผมขำต่อสิครับเจอแบบนี้ ป้าเขาก็ขอโทษผมนะ แต่ผมก็บอกไปเป็นใร สนุกดีออก
แต่ป้า เขาว่าไม่ได้ เดียวป้าจะเลี้ยงข้าวเทียง ขอโทษ ผมก็คิดจะปฏิเสธไป แต่พอมานึกคิดดีๆ ก็ตอบตกลงเพราะผมไม่มีที่ไปอยู่แล้วและอีกอย่างพออยู่กับเด็กคนนี้และป้าแก ผมรู้สึกสนุกและอบอุ่นดี (ผมอยู่บ้านคนเดียว แม่บ้านและคนสวนมาทำงานแบบไปกลับ) และผมก็ชวนมากินที่สวนผมก็แล้วกัน
บรรยากาศกำลังดี เมนู ที่ป้าแกทำมา ก็แน่นอนบ้านนอกแถวอีสาน ต้องส้มตำ ซุปบักเขือ แกงขี้เหล็ก แล้วก็ลาบไก่ อร่อยสุดๆครับ นานๆจะได้กินอาหาร อีสานนอกจากส้มตำ กินไปก็คุยกันไปว่า เป็นมายังใงกัน เลยร็ว่า ป้าแกโดนผัวทิ้ง เพราะป้าแกท้อง พ่อแม่ป้าแกก็ขับไสไล่ส่ง ญาติพี่น้องก็ช่วยได้แค่ที่พัก
บ้านที่ป้าแกอยู่ ผมก็เอะใจ ถามป้าแกไปว่า "งั้นป้าก็อยู่กับลูกสองคนสิ ป้าขายกล้วยปิ้งแล้วก็ส่งลูกเรียน" (ลูกแก ป.6 กำลังจะขึ้น ม.1) ป้าแกก็พยักหน้า ผมคิดในใจเลยว่า กรรมแล้วป้าแกมาเลี้ยงข้าวผมเนียนะ ผมเลยถามป้าแกไปอีก "มันไม่เปลืองเงินหรอครับมาเลี้ยงข้าวผมเนีย" ป้าแกก็ยิ้มแล้วตอบมาว่า "ป้าอยากขอบคุณ ที่ช่วยซื้อกล้วยปิ้งป้าทุกวัน"
แน่นอนล่ะ ครับผมอินมาก ในใจคิด โอ้วพระเจ้า!!! โลกนี้ยังมีอะใรที่ผมไม่รู้ตั้งเยอะ(ปัจจุบันผมอายุ22น่ะครับ)แต่ก่อนก็เคยดูข่าวฟังเรื่องปัญหาครอบครัวของเพื่อนมาบ้างแล้ว พอมาเห็นจริงๆเจอแม่ลูกสู้ชีวิต คู่นี้แล้ว ผมถึงกลับเห็นค่าของเงิน ที่ผมได้แค่ เอาไปซื้อรถ ซื้อเกมส์ ไปเทียว ไปหาแฟนที่ ตปท. ขึ้นมาเลยครับ
ว่ามันลำบากแค่ไหนสำหรับคน ที่สถานะต่างจากเรา กว่าจะได้เงินมา แน่นอนครับ ป้าแกเปลียนความคิดผมแล้ว หลังจากนั้น ก็เหมื่อนเดิมครับ ผมก็ซื้อกล้วยปิ้ง ของแกทุกเช้า บ้างวันผมก็ชวนลูกแกไป ตลาดไปซื้อ อาหารมากินตอนเย็น ของสดบ้างสำเร็จบ้าง ผมเริ่มสนิทกับครอบครัวแม่ลูก นี้มากจนรู้สึกเหมื่อนเป็นครอบครัวเดียวกัน
หลังจากนั้น หมดช่วงเทศกาล เสาร์-อาทิตย์ ผมก็ไปหาแฟนที่ ตทป. เหมือนเคย แต่คราวนี้ผมซื้อกล้วยปิ้งของป้าแกไปให้แฟนผมลองกินด้วย (แต่กว่าจะผ่านให้ขึ้นเครื่องมาได้นี้ห่อไม่รู้กี่ชั้น) แฟนผมชอบมากบอกว่าอร่อยดี ผมก็พูดไปว่าถ้ากินร้อนๆ อร่อยกว่านี้อีก และผมก็เอาเรื่องนี้ตลอดทั้งเดือนเล่าให้แฟนผมฟัง แฟนผมก็ชอบบอกว่าอยากมา เจอ
เด็กคนนั้นและอยากกิน กล้วยปิ้งร้อนๆ พอผมกลับมาจาก ตปท. ผมก็มาเล่าไปป้าแกฟังว่า แฟนผมชอบกล้วยปิ้งป้ามากเลยน่ะ บอกว่าอยากกินแบบร้อนๆ ด้วยเดียวผมต้องพามาให้ป้ารู้จักแน่นอน และป้าจะตกใจเมื่อเจอแฟนผม(ผมพูดและก็โบกไม้โบกมือไปแบบเวอร์ๆ) ป้าแกก็ขำเล็กๆ ทุกอย่างราบรื่นดีครับ จนผ่านไปเกือบปี ลูกป้าแกปิดเทอมเรียบร้อย
รอขึ้น ม.1 รอลุ้นว่าสอบเข้าได้หรือเปล่า(ผมขอบอกแค่ว่าเป็นโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่แห่งนึ่งในภาคอีสาน ผมเกลียดสังคมในโรงเรียนนี้มากเพราะผมก็เคยเรียนโรงเรียนนี้มาและขอลาออก) ป้าแกก็เริ่มมีอาการไม่สู้ดีเป็นลม ร่มพับ ตอนนั้นผมยังไม่รู้เพราะพึ้งกลับมาจาก ตปท. และสงสัยเล็กน้อยว่าป้าแกทำใมไม่ออกมาขาย กล้วยปิ้งเหมือนทุกวัน
ผมรอจน สิบโมง ก็ไม่มีวี่แวว ผมเลยเดินไปดู ผมก็เห็นลูกแกกำลัง นึงข้าวอยู่ผมเลยถามไปว่า แล้วแม่ล่ะ น้องนุน(จากนี้ผมขอเรียกลูกป้าแกว่าน้องนุน นะครับชื่อสมมุติจะได้พิมพ์ง่ายขึ้นหน่อย) น้องนุนก็เล่าว่า แม่ป่วยมาเป็น สองวันแล้วแต่ไม่ยอมไปหาหมอเพราะ หนูกำลังจะขึ้น ม.1 กลัวไม่มีเงินใช้จ่าย แน่นอนผมแคร์สะที่ไหนละครับ ผมตรงดิ่ง
อุ้มป้าแกขึ้นมา(ผมรู้สึกได้เลยตัวป้าแกเบามากๆ) ป้าแกก็ งงสิครับ ก็ถามจะพาป้าไปไหน ผมบอกว่าเดียวพาไปหาคนรู้จัก ผมก็ขับรถตรงดิ่ง ไปโรงบาลเอกชน ในตัวจังหวัด ป้าแกก็บอกไม่เอาๆ ป้าไม่มีเงินจ่ายค่ายา หรอก ผมก็ตามเดิมครับ แคร์ที่ไหนล่ะ (อันนี้ยอมรับเลยครับว่าผมแคร์ความรู้สึกตัวเองมากที่สุด ในใจแค่คิดจะให้ป้าแกอยู่กับผม ไปนานๆ)
ที่ผมมาที่นี้ผม ลุงผมเป็น หมอทีนี้พอดีเลยโกง(สันดานส่วนตัว)ไม่ต้องรอคิว ให้ลุงผมตรวจอาการดูให้ ลุงผมก็บอกอยู่ที่นี้ สักวันสองวันรอ ผลตรวจก่อน จะดีกว่า ป้าแกก็ขัดขืน ไม่ยอมอยากกลับบ้าน น้องนุน ก็ขอร้องให้ ป้าแกนอนโรงบาล ป้าแกก็ยอม ผมก็พาน้องนุน กลับบ้านไปเอาข้าวของเสื้อผ้า ไปนอนฝ้าแม่เขาทื่โรงบาล ตามสเต็บ ผมก็กลับบ้านมานอน
และก็คิด ป้าแกคงไม่เป็นมากหรอกนะ แต่ผมก็ยังคิดอีกว่าน้ำหนักของป้าแกเบา มากจนผมหยุดคิดไม่ได้มันเบา เหมือนกับไม่มีอะใรเลย เช้าวันต่อมาผมก็ไป โรงบาลไปเยียมป้าแก แล้วก็รอผลตรวจจากโรงบาลด้วย ผลตรวจออกมาตอนนานหน่อยเพราะต้องตรวจสองรอบให้แน่ใจ แน่นอนครับสิ่งที่ผมรู้สึกเมื่อตอนอุ้มป้าแกมันเหมือน เดจาวู..................
สิ่งแรกที่ลุงผมถามคือ "ไหวหรือเปล่า? เขาไม่ใช่ ญาติเราสะด้วยรับคนเดียวจะไหวหรอ?" ผมบรรลุเลย ว่าเป็นโรคที่ต้องใช้เงินรักษาเยอะแน่ๆ เลยถามผมว่า คนเดียวไหวหรือเปล่า และลุงผมก็บอกว่า นี้เป็นภาวะเบื่ออาหารและภาวะน้ำหนักลดจากโรคมะเร็ง (cancer cachexiaพิมพ์ถูกหรือเปล่าครับ?) ผมนิ่งเลยครับและถามไปว่า นานแค่ไหน
ลุงผมก็บอกเลยว่ามันสุดทางแล้ว(ลุงผมเป็นหมอที่นิสัยเสียมากไม่รู้จะเป็นกับคนอื่นหรือเปล่าแต่ถ้าคนในครอบครัวแกจะพูดด้วยแบบไม่แคร์จิตใจกันเลยที่เดียวยิ่งพูดกับพ่อผมเนียน่ะโอโห้ พ่อผมขับรถชนต้นไม้ขาแค่พลิก แต่ลุงแกบอกกับพ่อผมว่า ขาหักวะ ติดเชื้อต้องตัดทิ้ง มีการบอกให้เซ็นยอมรับด้วยแนะ) มาเข้าเรื่องต่อครับ
ผมคุยกับลุงผมสักพักและหมอที่ตรวจโรคของป้าแก ผมเลยรู้ว่าป้าแกคงเป็นมากนานเป็นปีแล้ว และไม่ได้รับการรักษาสักที ถึงช่วยตอนนี้สภาพป้าแกคงไม่ไหว ถึงหาย ร่างกายคงอ่อนแอมากๆ ผมก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วยเห็น ป้าแกนั่งดูทีวิกับน้องนุน ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าสีหน้า ผมเป็นยังใงป้าแกมองผมแล้ว ก็ยิ้ม เหมือนเคย ผมคิดในใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับ น้องนุนลูกแกยังใง?
ผ่านไป สองสัปดาร์ ผลสอบออกมากแล้ว สรุป น้องนุนได้เรียนไปโรงเรียนมัธยมที่ว่า แล้วดีใจก็มาหาแม่ของเธอที่โรงพยาบาล(ผมเป็นคนขับรถไปรับไปส่งน้องนุน) ตอนนี้ป้าแกดูมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อก่อนมากเริ่มกินอาหารได้นิดหน่อยจากแต่ก่อนที่กินไม่ได้เลย ผมก็โอเคร หวังป้าแกคงไม่เป็นอะใรแน่ๆ ป้าแกคงหายแล้วถึงไม่สนิทก็เถอะ......
หลังจากรู้ว่าน้องนุน สอบเข้าได้ผมก็พาน้องเขาไปซื้อชุดซื้อกระเป๋ารองเท้าตามปกติ ของเด็ก ม.ต้นใหม่(ตอนนั้นไม่คอยโกนหนวดเพราะเป็นวันพฤหัส ปกติผมโกนหนวดทุกวันศุกร์ก่อนไปหาแฟน ขนหน้าผมขึ้นไวมากเอาจริงๆเป็นคนขนเยอะ) ก็เลยโดนทักว่า คุณยังหนุ่มอยู่เลยนะค่ะ ผมก็ขำเล็กน้อย อิอิ บ้าง พองาม หลักจานนั้นทุกอย่างก็กำลังลงตัว
อีก1สัปดาร์ น้องนุน ก็เปิดเทอม และสุกท้ายเรื่องที่ผม เคจาวู ไว้ ก็เกิดขึ้น ป้าแกจากไปอย่างสงบ สงบมากๆ ผมฟังจากหมอประจำตัว ที่รักษา แกบอกว่า ก็ตรวจร่างกายแกปกติเหมือนทุกวัน แกก็พูดคุยปกติ แล้วแกก็บอกว่าเหนือยมากๆ อย่างนอนพัก แล้วแกก็จากไป ทุกคนในโรงพยาบายตกใจมากที่แกเสีย เพราะร่างกายแกดีขึ้นเรือยๆมาตลอด
พบก็จัดงาน ศพให้เธอ ชวนเฉพาะคนในหมู่บ้าน มางานศพแก น้องนุน ก็ร้องไห้หน้าโรงศพแม่ งานศพนี้ ผมจัดแค่ 3 เพราะน้องนุ่นกำลังจะเปิดเทอม ผมคิดเลยว่ามันต้องแย่มากๆแน่ สำหรับน้องนุน ที่ต้องเสียแม่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนให้แม่ได้เห็น และน้องนุนจะทำยังใงต่อไป คงต้องไปอยู่กับ ญาติคนอื่นๆ แล้วสินะ ผมคิดว่าคงต้องจากกัน แล้วหรอ.......
ผมมีน้ำตาตกบ้าง (จริงๆผมเป็นใจแข็งมากครับ) และคิดเลยครับว่า ครอบครัวสองแม่ลูกนี้ สอนอะใรผมบ้าง ผมที่เป็นแค่ใอ้หนุ่มห่วยแตก ใช้เงินเหมือนกระดาษ ไม่เคยเห็นใจคนรอบข้าง ที่ไม่มีแม่แต่ความสงสารขอทาน(ผมเคยดูถูกขอทานครับ) ความคิดพวกนี้ผมเปลี่ยนตั้งแต่ได้มากรู้จักพวกเขา จนน้าผม(ผมไปกราบขอบคุณน้าที่ส่งผมเรียนจนจบ)
พี่ชายผม(พี่ชายผมมาขอยืมเงินปกติไม่เคยให้แต่ตอนนี้ให้) แม่ผม(ผมไปเยียมบ่อยขึ้นจากปีล่ะสองครั่งเป็นเดือนล่ะครั่ง) พ่อผม(ผมเริ่มพูดคุยกับพ่อผมมากขึ้น) ญาติคนอื่นๆ แปลกใจ(ก่อนหน้านี้ญาติผมทุกคนรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวมาก) ผมเสียใจสุดๆครับ... ต่อมางานศพวันที่สอง รู้ว่าญาติของป้าแก ก็มาไหว้ศพแก สิ่งที่ผมเห็นคือ คุณป้าคนนึ่ง รู้สึกจะเป็นน้องสาวแก
ห้อยทองแหวนทอง(มาแนวคุณนายตลาดเต็มที่) เห้ยยย!!! อะใรเนีย ตัวเองก็มี ถานะ น่ะทำใม ไม่ช่วยพี่สาวตัวเองบ้างเลยว่ะ ผมคิด ทุกอย่างก็ปกติดี จนถึงช่วงเย็น ญาติแกคนนึงก็พูดกับ น้องนุน ออกมา แม่แกคงมีเงินเก็บเยอะสินะ ดูสิมีปัญญา จัดงานศพให้ตัวเองด้วย(พูดด้วยอาการเมา จริงๆผมก็ไม่อยากให้มีเหล้าในงานหรอกผมไม่ได้ซ์้อเข้ามาเลยน่ะ แต่คงมีคนลักลอบนำ รวงข้าว เข้ามา)
ตอนนี้ผมของขึ้นเลยครับผม นั่งโต๊ะตรงข้าม กับโต๊ะนั้น(นั่งกับกลุ่มเพื่อนๆ) ผมถึงกับหลุดปากพูดไปว่า พมต.(ขอย่อน่ะครับ) และก่อนที่สวนสัตว์จะออกมาต่อ เพื่อนผมก็ห้ามเอาไว้ทัน และญาติฝั่งนั้น ก็ตอบโต้มาว่า เธอเกียวอะใรด้วย ผมก็ตอบไปเงินจัดงานศพนี้ มันของผมเอง ฝั่งนั้นก็เงียบสิครับ หลังจากเลิกงาน ผมก็เข้าไปปลอบน้องนุน บอกน้องเขาว่า อย่าคิดมากเลยเน่อ แม่น้องก็ต้องบอกแบบนี้เหมือนกัน
และก็หลังจากเผาศพในวันสุดท้าย ผมคิดว่าผมคงได้ ลาจากน้องนุน เด็ดขาดแล้ว ผมก็ว่าจะเดินไปลาน้องเขา พร้อมให้ของที่ระลึกด้วย(ผมซื้อโทรศัพท์ให้น้องเขาครับจะได้ติดต่อได้ว่าเป็นยังใงบ้างอะใรเงีย.....ไม่ได้จะเลียงต๋อยโว้ยย!!) ผมซื้อให้เพราะอยากขอบคุณครอบครัวนี้ที่สอนผม และทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้าง ถึงจะเล็กน้อยก็เถอะ พอเข้าไปหาน้องนุน เอาของให้ น้องเขาตอนแรกไม่อยากรับ
เพราะมันแพง แต่ผมบอกไว้โทรหากันใงจะได้ถามว่าบ้านใหม่เป็นใง แต่น้องเขายิมแห้งๆ แล้วพูดมาว่า "หนูจะได้ไปอยู่สถาพินิจ นะคะ" โอ้ววววเหยดดดตะะะเข้!!!!!! ผมตรงดิ่งไปหา ญาติของเขาแล้วถามทำใมส่งน้องเขาไปสถานพินิจ ผมบอกไปว่าน้องนุน สอบเข้าไปเรียนโรงเรียนมัธยมที่ว่า แล้ว ถ้าให้ไปสถานพินิจ จะเสียโอกาส นี้นะครับ และเขาพูดกับมาด้วยถ้อยคำ ที่เจ็บปวดสัสๆ
มีต่อ
เหตุการณ์ ที่ทำให้ความคิดและชีวิตผมเปลี่ยน (เรื่องจริง)
ผมเป็น มือใหม่ นะครับยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง แต่ผมขอ แท็ก ครอบครัว ก็แล้วกันนะครับ
เรื่องอาจจะยาวไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมแค่อยากให้คนที่มี ลูกมีครอบครัว หรือรับเด็กมาเลี้ยง รับฟังดู (ภาษาอาจตกไปบ้างต้องขออภัย)
(ผมจะไม่บอกชื่อของบุคคลหรือโรงเรียนหรือจังหวัดและชื่อสถานที่หรืออะใรก็ตามแต่)
เรื่องมีอยู่ว่าประมาณ 1ปี ก่อนตอนนั้นผมพึ่งเรียนจบ ปวส. ผมก็เข้าไปสมัครงานใน บริษัทของน้าผม เป็นบริษัทเกียวกับการข่นส่งสินค้า และผมขอน้าว่าผมเอางานมาทำที่บ้าน เพราะผมไม่ชอบอยู่ในตัวเมืองเท่าไหร แน่นอนเนื่องจากผมเป็นหลานผมก็ได้ทำงานที่บ้าน นอกเมือง
หลังจากที่ผมเอางานมาทำที่บ้าน แน่นอนครับผมอยู่บ้านทั้งวัน สบายสุดๆ และข้างๆ บ้านจะมีบ้านหลังเล็กๆอยู่ เป็นร้านขายกล้วยปิ้ง มีป้า ออกมาขายหน้าบ้านทุกวัน แน่นอนครับผมอุดหนุด ป้าแกทุกวัน เพราะแถวนั้นไม่มี เซเว่น เลยไม่ค่อยจะมี ของว่างกิน และทุกๆ วันสี่โมงเย็น
จะเห็นลูกของป้าแก กลับมากจากโรงเรียน เด็กคนนี้ผิวพรรณดี หน้าตาน่ารักสุดๆ (เดียวๆไม่ต้องคิด ผมไม่ใช่โลลิคอน ครับ) เด็กคนนี้ทุกวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จะมาเล่นที่ สวนบ้านผมทุกวัน (ที่ผมรู้เพราะแม่บ้านบอกครับ เพราะวัน เสาร์-อาทิตย์ ผมจะไปหาแฟนที่ ตปท. ครับ)
แต่ก็มีอยู่ช่วงนึ่ง แฟนผมติดงานเทศกาล(ตลอดเดือน) ผมเลยไม่ได้ไปหาเธอเพราะเธอไม่ว่าง ผมก็อยู่บ้านทั้ง สัปดาห์ ในวันเสาร์ พอผมเครียร์งานเสร็จ ก็ว่าจะมานอนเล่นในสวน(เอาเสื่อหมอนมาครบมีหยิบสาโทติดมือมาด้วยจะได้งีบสบาย) พอถึงที่ผม ปูเสื่อ เรียบร้อย(หยิบหลอดเตรียมดูดสาโท)
เด็กผู้หญิงที่ว่า มาเล่นในสวน แน่นอนดูเด็กคนนั้นสนใจ ไห ที่ผมถือในมือมาก ผมเลยแซวเด็กคนนั้น ไปว่า "ลองกินดูเปล่า?" (ผมยิ้มและยักคิวไปด้วย) เด็กคนนั้นนิ่งคิดนิดหน่อย แล้วพูดตอบมาว่า "ไม่คะ แม่ไม่ให้เล่นกับคนบ้า" 5555+ ผมขำทันที ที่เด็กคนนั้นพูดแบบนี้ แล้วเด็กคนนั้นก็วิ่งไป
ต่อมา ใน เช้าวัน อาทิตย์ ผมออกมาซื้อกล้วยปิ้ง ร้านป้าข้างบ้านผมเห็นเด็กคนนั้นช่วยแม่เขา ปิ้งกล้วยด้วย ผมก็สั่งกล้วยปิ้งไปตามปกติ เด็กคนนั้นก็สกิดแม่เขา แล้วพูดว่า "แม่เนียคนบ้าที่หนูเจอเมื่อวาน" 555+ ผมขำต่อสิครับเจอแบบนี้ ป้าเขาก็ขอโทษผมนะ แต่ผมก็บอกไปเป็นใร สนุกดีออก
แต่ป้า เขาว่าไม่ได้ เดียวป้าจะเลี้ยงข้าวเทียง ขอโทษ ผมก็คิดจะปฏิเสธไป แต่พอมานึกคิดดีๆ ก็ตอบตกลงเพราะผมไม่มีที่ไปอยู่แล้วและอีกอย่างพออยู่กับเด็กคนนี้และป้าแก ผมรู้สึกสนุกและอบอุ่นดี (ผมอยู่บ้านคนเดียว แม่บ้านและคนสวนมาทำงานแบบไปกลับ) และผมก็ชวนมากินที่สวนผมก็แล้วกัน
บรรยากาศกำลังดี เมนู ที่ป้าแกทำมา ก็แน่นอนบ้านนอกแถวอีสาน ต้องส้มตำ ซุปบักเขือ แกงขี้เหล็ก แล้วก็ลาบไก่ อร่อยสุดๆครับ นานๆจะได้กินอาหาร อีสานนอกจากส้มตำ กินไปก็คุยกันไปว่า เป็นมายังใงกัน เลยร็ว่า ป้าแกโดนผัวทิ้ง เพราะป้าแกท้อง พ่อแม่ป้าแกก็ขับไสไล่ส่ง ญาติพี่น้องก็ช่วยได้แค่ที่พัก
บ้านที่ป้าแกอยู่ ผมก็เอะใจ ถามป้าแกไปว่า "งั้นป้าก็อยู่กับลูกสองคนสิ ป้าขายกล้วยปิ้งแล้วก็ส่งลูกเรียน" (ลูกแก ป.6 กำลังจะขึ้น ม.1) ป้าแกก็พยักหน้า ผมคิดในใจเลยว่า กรรมแล้วป้าแกมาเลี้ยงข้าวผมเนียนะ ผมเลยถามป้าแกไปอีก "มันไม่เปลืองเงินหรอครับมาเลี้ยงข้าวผมเนีย" ป้าแกก็ยิ้มแล้วตอบมาว่า "ป้าอยากขอบคุณ ที่ช่วยซื้อกล้วยปิ้งป้าทุกวัน"
แน่นอนล่ะ ครับผมอินมาก ในใจคิด โอ้วพระเจ้า!!! โลกนี้ยังมีอะใรที่ผมไม่รู้ตั้งเยอะ(ปัจจุบันผมอายุ22น่ะครับ)แต่ก่อนก็เคยดูข่าวฟังเรื่องปัญหาครอบครัวของเพื่อนมาบ้างแล้ว พอมาเห็นจริงๆเจอแม่ลูกสู้ชีวิต คู่นี้แล้ว ผมถึงกลับเห็นค่าของเงิน ที่ผมได้แค่ เอาไปซื้อรถ ซื้อเกมส์ ไปเทียว ไปหาแฟนที่ ตปท. ขึ้นมาเลยครับ
ว่ามันลำบากแค่ไหนสำหรับคน ที่สถานะต่างจากเรา กว่าจะได้เงินมา แน่นอนครับ ป้าแกเปลียนความคิดผมแล้ว หลังจากนั้น ก็เหมื่อนเดิมครับ ผมก็ซื้อกล้วยปิ้ง ของแกทุกเช้า บ้างวันผมก็ชวนลูกแกไป ตลาดไปซื้อ อาหารมากินตอนเย็น ของสดบ้างสำเร็จบ้าง ผมเริ่มสนิทกับครอบครัวแม่ลูก นี้มากจนรู้สึกเหมื่อนเป็นครอบครัวเดียวกัน
หลังจากนั้น หมดช่วงเทศกาล เสาร์-อาทิตย์ ผมก็ไปหาแฟนที่ ตทป. เหมือนเคย แต่คราวนี้ผมซื้อกล้วยปิ้งของป้าแกไปให้แฟนผมลองกินด้วย (แต่กว่าจะผ่านให้ขึ้นเครื่องมาได้นี้ห่อไม่รู้กี่ชั้น) แฟนผมชอบมากบอกว่าอร่อยดี ผมก็พูดไปว่าถ้ากินร้อนๆ อร่อยกว่านี้อีก และผมก็เอาเรื่องนี้ตลอดทั้งเดือนเล่าให้แฟนผมฟัง แฟนผมก็ชอบบอกว่าอยากมา เจอ
เด็กคนนั้นและอยากกิน กล้วยปิ้งร้อนๆ พอผมกลับมาจาก ตปท. ผมก็มาเล่าไปป้าแกฟังว่า แฟนผมชอบกล้วยปิ้งป้ามากเลยน่ะ บอกว่าอยากกินแบบร้อนๆ ด้วยเดียวผมต้องพามาให้ป้ารู้จักแน่นอน และป้าจะตกใจเมื่อเจอแฟนผม(ผมพูดและก็โบกไม้โบกมือไปแบบเวอร์ๆ) ป้าแกก็ขำเล็กๆ ทุกอย่างราบรื่นดีครับ จนผ่านไปเกือบปี ลูกป้าแกปิดเทอมเรียบร้อย
รอขึ้น ม.1 รอลุ้นว่าสอบเข้าได้หรือเปล่า(ผมขอบอกแค่ว่าเป็นโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่แห่งนึ่งในภาคอีสาน ผมเกลียดสังคมในโรงเรียนนี้มากเพราะผมก็เคยเรียนโรงเรียนนี้มาและขอลาออก) ป้าแกก็เริ่มมีอาการไม่สู้ดีเป็นลม ร่มพับ ตอนนั้นผมยังไม่รู้เพราะพึ้งกลับมาจาก ตปท. และสงสัยเล็กน้อยว่าป้าแกทำใมไม่ออกมาขาย กล้วยปิ้งเหมือนทุกวัน
ผมรอจน สิบโมง ก็ไม่มีวี่แวว ผมเลยเดินไปดู ผมก็เห็นลูกแกกำลัง นึงข้าวอยู่ผมเลยถามไปว่า แล้วแม่ล่ะ น้องนุน(จากนี้ผมขอเรียกลูกป้าแกว่าน้องนุน นะครับชื่อสมมุติจะได้พิมพ์ง่ายขึ้นหน่อย) น้องนุนก็เล่าว่า แม่ป่วยมาเป็น สองวันแล้วแต่ไม่ยอมไปหาหมอเพราะ หนูกำลังจะขึ้น ม.1 กลัวไม่มีเงินใช้จ่าย แน่นอนผมแคร์สะที่ไหนละครับ ผมตรงดิ่ง
อุ้มป้าแกขึ้นมา(ผมรู้สึกได้เลยตัวป้าแกเบามากๆ) ป้าแกก็ งงสิครับ ก็ถามจะพาป้าไปไหน ผมบอกว่าเดียวพาไปหาคนรู้จัก ผมก็ขับรถตรงดิ่ง ไปโรงบาลเอกชน ในตัวจังหวัด ป้าแกก็บอกไม่เอาๆ ป้าไม่มีเงินจ่ายค่ายา หรอก ผมก็ตามเดิมครับ แคร์ที่ไหนล่ะ (อันนี้ยอมรับเลยครับว่าผมแคร์ความรู้สึกตัวเองมากที่สุด ในใจแค่คิดจะให้ป้าแกอยู่กับผม ไปนานๆ)
ที่ผมมาที่นี้ผม ลุงผมเป็น หมอทีนี้พอดีเลยโกง(สันดานส่วนตัว)ไม่ต้องรอคิว ให้ลุงผมตรวจอาการดูให้ ลุงผมก็บอกอยู่ที่นี้ สักวันสองวันรอ ผลตรวจก่อน จะดีกว่า ป้าแกก็ขัดขืน ไม่ยอมอยากกลับบ้าน น้องนุน ก็ขอร้องให้ ป้าแกนอนโรงบาล ป้าแกก็ยอม ผมก็พาน้องนุน กลับบ้านไปเอาข้าวของเสื้อผ้า ไปนอนฝ้าแม่เขาทื่โรงบาล ตามสเต็บ ผมก็กลับบ้านมานอน
และก็คิด ป้าแกคงไม่เป็นมากหรอกนะ แต่ผมก็ยังคิดอีกว่าน้ำหนักของป้าแกเบา มากจนผมหยุดคิดไม่ได้มันเบา เหมือนกับไม่มีอะใรเลย เช้าวันต่อมาผมก็ไป โรงบาลไปเยียมป้าแก แล้วก็รอผลตรวจจากโรงบาลด้วย ผลตรวจออกมาตอนนานหน่อยเพราะต้องตรวจสองรอบให้แน่ใจ แน่นอนครับสิ่งที่ผมรู้สึกเมื่อตอนอุ้มป้าแกมันเหมือน เดจาวู..................
สิ่งแรกที่ลุงผมถามคือ "ไหวหรือเปล่า? เขาไม่ใช่ ญาติเราสะด้วยรับคนเดียวจะไหวหรอ?" ผมบรรลุเลย ว่าเป็นโรคที่ต้องใช้เงินรักษาเยอะแน่ๆ เลยถามผมว่า คนเดียวไหวหรือเปล่า และลุงผมก็บอกว่า นี้เป็นภาวะเบื่ออาหารและภาวะน้ำหนักลดจากโรคมะเร็ง (cancer cachexiaพิมพ์ถูกหรือเปล่าครับ?) ผมนิ่งเลยครับและถามไปว่า นานแค่ไหน
ลุงผมก็บอกเลยว่ามันสุดทางแล้ว(ลุงผมเป็นหมอที่นิสัยเสียมากไม่รู้จะเป็นกับคนอื่นหรือเปล่าแต่ถ้าคนในครอบครัวแกจะพูดด้วยแบบไม่แคร์จิตใจกันเลยที่เดียวยิ่งพูดกับพ่อผมเนียน่ะโอโห้ พ่อผมขับรถชนต้นไม้ขาแค่พลิก แต่ลุงแกบอกกับพ่อผมว่า ขาหักวะ ติดเชื้อต้องตัดทิ้ง มีการบอกให้เซ็นยอมรับด้วยแนะ) มาเข้าเรื่องต่อครับ
ผมคุยกับลุงผมสักพักและหมอที่ตรวจโรคของป้าแก ผมเลยรู้ว่าป้าแกคงเป็นมากนานเป็นปีแล้ว และไม่ได้รับการรักษาสักที ถึงช่วยตอนนี้สภาพป้าแกคงไม่ไหว ถึงหาย ร่างกายคงอ่อนแอมากๆ ผมก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วยเห็น ป้าแกนั่งดูทีวิกับน้องนุน ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าสีหน้า ผมเป็นยังใงป้าแกมองผมแล้ว ก็ยิ้ม เหมือนเคย ผมคิดในใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับ น้องนุนลูกแกยังใง?
ผ่านไป สองสัปดาร์ ผลสอบออกมากแล้ว สรุป น้องนุนได้เรียนไปโรงเรียนมัธยมที่ว่า แล้วดีใจก็มาหาแม่ของเธอที่โรงพยาบาล(ผมเป็นคนขับรถไปรับไปส่งน้องนุน) ตอนนี้ป้าแกดูมีน้ำมีนวลกว่าเมื่อก่อนมากเริ่มกินอาหารได้นิดหน่อยจากแต่ก่อนที่กินไม่ได้เลย ผมก็โอเคร หวังป้าแกคงไม่เป็นอะใรแน่ๆ ป้าแกคงหายแล้วถึงไม่สนิทก็เถอะ......
หลังจากรู้ว่าน้องนุน สอบเข้าได้ผมก็พาน้องเขาไปซื้อชุดซื้อกระเป๋ารองเท้าตามปกติ ของเด็ก ม.ต้นใหม่(ตอนนั้นไม่คอยโกนหนวดเพราะเป็นวันพฤหัส ปกติผมโกนหนวดทุกวันศุกร์ก่อนไปหาแฟน ขนหน้าผมขึ้นไวมากเอาจริงๆเป็นคนขนเยอะ) ก็เลยโดนทักว่า คุณยังหนุ่มอยู่เลยนะค่ะ ผมก็ขำเล็กน้อย อิอิ บ้าง พองาม หลักจานนั้นทุกอย่างก็กำลังลงตัว
อีก1สัปดาร์ น้องนุน ก็เปิดเทอม และสุกท้ายเรื่องที่ผม เคจาวู ไว้ ก็เกิดขึ้น ป้าแกจากไปอย่างสงบ สงบมากๆ ผมฟังจากหมอประจำตัว ที่รักษา แกบอกว่า ก็ตรวจร่างกายแกปกติเหมือนทุกวัน แกก็พูดคุยปกติ แล้วแกก็บอกว่าเหนือยมากๆ อย่างนอนพัก แล้วแกก็จากไป ทุกคนในโรงพยาบายตกใจมากที่แกเสีย เพราะร่างกายแกดีขึ้นเรือยๆมาตลอด
พบก็จัดงาน ศพให้เธอ ชวนเฉพาะคนในหมู่บ้าน มางานศพแก น้องนุน ก็ร้องไห้หน้าโรงศพแม่ งานศพนี้ ผมจัดแค่ 3 เพราะน้องนุ่นกำลังจะเปิดเทอม ผมคิดเลยว่ามันต้องแย่มากๆแน่ สำหรับน้องนุน ที่ต้องเสียแม่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนให้แม่ได้เห็น และน้องนุนจะทำยังใงต่อไป คงต้องไปอยู่กับ ญาติคนอื่นๆ แล้วสินะ ผมคิดว่าคงต้องจากกัน แล้วหรอ.......
ผมมีน้ำตาตกบ้าง (จริงๆผมเป็นใจแข็งมากครับ) และคิดเลยครับว่า ครอบครัวสองแม่ลูกนี้ สอนอะใรผมบ้าง ผมที่เป็นแค่ใอ้หนุ่มห่วยแตก ใช้เงินเหมือนกระดาษ ไม่เคยเห็นใจคนรอบข้าง ที่ไม่มีแม่แต่ความสงสารขอทาน(ผมเคยดูถูกขอทานครับ) ความคิดพวกนี้ผมเปลี่ยนตั้งแต่ได้มากรู้จักพวกเขา จนน้าผม(ผมไปกราบขอบคุณน้าที่ส่งผมเรียนจนจบ)
พี่ชายผม(พี่ชายผมมาขอยืมเงินปกติไม่เคยให้แต่ตอนนี้ให้) แม่ผม(ผมไปเยียมบ่อยขึ้นจากปีล่ะสองครั่งเป็นเดือนล่ะครั่ง) พ่อผม(ผมเริ่มพูดคุยกับพ่อผมมากขึ้น) ญาติคนอื่นๆ แปลกใจ(ก่อนหน้านี้ญาติผมทุกคนรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวมาก) ผมเสียใจสุดๆครับ... ต่อมางานศพวันที่สอง รู้ว่าญาติของป้าแก ก็มาไหว้ศพแก สิ่งที่ผมเห็นคือ คุณป้าคนนึ่ง รู้สึกจะเป็นน้องสาวแก
ห้อยทองแหวนทอง(มาแนวคุณนายตลาดเต็มที่) เห้ยยย!!! อะใรเนีย ตัวเองก็มี ถานะ น่ะทำใม ไม่ช่วยพี่สาวตัวเองบ้างเลยว่ะ ผมคิด ทุกอย่างก็ปกติดี จนถึงช่วงเย็น ญาติแกคนนึงก็พูดกับ น้องนุน ออกมา แม่แกคงมีเงินเก็บเยอะสินะ ดูสิมีปัญญา จัดงานศพให้ตัวเองด้วย(พูดด้วยอาการเมา จริงๆผมก็ไม่อยากให้มีเหล้าในงานหรอกผมไม่ได้ซ์้อเข้ามาเลยน่ะ แต่คงมีคนลักลอบนำ รวงข้าว เข้ามา)
ตอนนี้ผมของขึ้นเลยครับผม นั่งโต๊ะตรงข้าม กับโต๊ะนั้น(นั่งกับกลุ่มเพื่อนๆ) ผมถึงกับหลุดปากพูดไปว่า พมต.(ขอย่อน่ะครับ) และก่อนที่สวนสัตว์จะออกมาต่อ เพื่อนผมก็ห้ามเอาไว้ทัน และญาติฝั่งนั้น ก็ตอบโต้มาว่า เธอเกียวอะใรด้วย ผมก็ตอบไปเงินจัดงานศพนี้ มันของผมเอง ฝั่งนั้นก็เงียบสิครับ หลังจากเลิกงาน ผมก็เข้าไปปลอบน้องนุน บอกน้องเขาว่า อย่าคิดมากเลยเน่อ แม่น้องก็ต้องบอกแบบนี้เหมือนกัน
และก็หลังจากเผาศพในวันสุดท้าย ผมคิดว่าผมคงได้ ลาจากน้องนุน เด็ดขาดแล้ว ผมก็ว่าจะเดินไปลาน้องเขา พร้อมให้ของที่ระลึกด้วย(ผมซื้อโทรศัพท์ให้น้องเขาครับจะได้ติดต่อได้ว่าเป็นยังใงบ้างอะใรเงีย.....ไม่ได้จะเลียงต๋อยโว้ยย!!) ผมซื้อให้เพราะอยากขอบคุณครอบครัวนี้ที่สอนผม และทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้าง ถึงจะเล็กน้อยก็เถอะ พอเข้าไปหาน้องนุน เอาของให้ น้องเขาตอนแรกไม่อยากรับ
เพราะมันแพง แต่ผมบอกไว้โทรหากันใงจะได้ถามว่าบ้านใหม่เป็นใง แต่น้องเขายิมแห้งๆ แล้วพูดมาว่า "หนูจะได้ไปอยู่สถาพินิจ นะคะ" โอ้ววววเหยดดดตะะะเข้!!!!!! ผมตรงดิ่งไปหา ญาติของเขาแล้วถามทำใมส่งน้องเขาไปสถานพินิจ ผมบอกไปว่าน้องนุน สอบเข้าไปเรียนโรงเรียนมัธยมที่ว่า แล้ว ถ้าให้ไปสถานพินิจ จะเสียโอกาส นี้นะครับ และเขาพูดกับมาด้วยถ้อยคำ ที่เจ็บปวดสัสๆ
มีต่อ