สวัสดีครับ ปกติผมไม่ได้มาอยู่ที่ห้องนี้หรอกนะครับ แต่ช่วงนี้เจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าอดรนทนไม่ได้จนขอระบายนิดหน่อย
ไม่ใช่เรื่องไกลอื่น ตามหัวข้อเลยครับ เป็นเรื่องแนวคิดของบางคนที่ยังคิดที่จะไปเรียนเมืองนอกเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษครับ
บังเอิญผมเคยทำอาชีพเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษบ้าง ไม่ได้เก่งมากนะครับ แต่ถ้ามีนักเรียนมาให้สอน แล้วเวลาว่างก็ไป
หลังๆ ไม่ค่อยได้สอน เพราะรู้สึกคนเก่งภาษาเยอะแยะ น่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าผมเอง หลังๆ เลยปฏิเสธไปเยอะ เสียดายเหมือนกัน
ด้วยความว่าทำอาชีพนี้บ้าง คนรอบตัวหลายๆ คนจึงถามผมว่าไปเรียนภาษาที่ประเทศไหนดี หรือเรียนสถาบันไหนจะได้ผลดี
ผมขอแยกเป็นสองประเด็นนะครับ เรียนภาษาอังกฤษประเทศไหนดี กับเรียนภาษากับสถาบันไหนดี
ผมขอเล่า Backgroud คร่าวๆ ละกัน ว่าเป็นผมเรียนโรงเรียนไทยมาทั้งชีวิต เรียนภาษาอังกฤษก็เหมือนเด็กไทยทั่วไป
เพิ่งได้เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษก็ตอนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าเข้าคลาสแรกก็แทบเป็นลม เพราะฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย
อาจารย์พูดภาษาอังกฤษแบบที่ไม่ใช่สอนภาษาอีกต่อไป (ปกติเรียนกับอาจารย์ฝรั่งในโรงเรียน มันก็เป็น conversation ง่ายๆ นึกออกไหมครับ)
ผมต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่เกือบเดือนทีเดียว ในการฟัง ฟัง และฟังอย่างตั้งใจ เพราะเข้าไปแล้ว ไม่อยากออก
เข้าก็ไม่ง่าย เป็นมหาวิทยาลัยรัฐซะด้วย ก็เลยต้องตั้งใจเรียน ให้สมกับที่เสียเงินมาแพงกว่าชาวบ้าน
แกรมม่าก่อนเข้า แย่ครับ เขียนอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เพื่อนที่เรียนอินเตอร์ทั้งหลายแก้ให้ที ขีดแดงแล้วแทบจะแก้ให้ใหม่ทั้งประโยค
เทอมแรก วิชาภาษาอังกฤษที่คนครึ่งคณะ excempt ผมก็ต้องเรียน และคนครึ่งหนึ่งที่เรียนได้ A ผมก็ได้แค่ B+
เรียกว่ากว่าจะเอาภาษากระดิก เพื่อจะเรียนได้ เลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน
ต้องทั้งเปลี่ยนหนังที่ดู จากละครช่อ 3 5 7 เป็นซีรีส์ฝรั่ง
ซีดีเพลงไทย (บอกอายุเลยทีเดียว 555) ต้องเก็บลงกรุ เปิดคลื่นเพลงฝรั่งจากมือถือเข้าหูแทน (ไม่มีเงินซื้อซีดีเพลงฝรั่ง)
หนังสือ textbook ก็ต้องอ่าน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างก็ต้องอ่าน ถอยไม่ได้ เพราะเรียนแล้ว
บุญยังมีเพื่อนช่วยเต็มที่ แลยจบมาได้แบบเลยสามขึ้นมานิดหน่อย
กลับมาเข้าเรื่องครับ อย่างที่เล่าไปว่า มักจะมีคนรอบข้างมาปรึกษาเรื่องเรียนภาษาที่เมืองนอกว่าไปที่ไหนดี ประเทศไหนดี
ผมขอเรียนด้วยความเคารพอย่างเต็มที่ว่า ประเทศไหน เมืองไหนก็ได้ครับ
ขอให้คนไทยน้อยเข้าว่า ไม่มีได้ยิ่งดี ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าคงจะได้ผล แต่เมืองพวกนี้ไม่มีสถาบันสอนภาษาอยู่กัน ก็เลยหาที่ไปไม่ได้
ก็ลงเอยที่เมืองใหญ่ที่มีสถาบันภาษา และคนไทยเต็มไปหมด
ร้อยละ 90 ของคนที่ไปเรียนภาษาตามสถาบันพวกนี้ ภาษาไม่ได้ดีไปกว่าคุณเท่าไร อาจจะคล่องกว่า แต่ไม่ได้ดีกว่าค่อนข้างแน่ครับ
เพราะผมเองก็เคยไปโรงเรียนพวกนี้เหมือนกัน แต่ผมไปหลังจากเรียนจบแล้ว ด้วยเหตุผลที่คงอธิบายตรงนี้ลำบาก ขอข้ามไปนะครับ
แต่สิ่งผมพบคือ พบว่าคนที่เก่งจริงๆ ทั้งโรงเรียนมีอยู่ไม่เกิน 20 จาก 200 คน
บางโรงเรียนยังเอาอาจารย์โปรตุเกส เยอรมัน มาสอนภาษาอังกฤษอยู่เลยครับ
ไปถึงเมืองผู้ดี เมืองลุงแซม ต้องทนฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไส้กรอก มันไม่ใช่อ่ะครับ มันไม่ใช่
แต่ด้วยเคารพอีกครั้ง คนต่างชาติกลุ่มนี้สอนดีกว่าเจ้าของภาษาบางคนนะครับ
ดังนั้นผมจะบอกทุกคนว่า ไปเรียนอะไรก็ได้ที่มี native speaker เยอะๆ ต่างชาติน้อยๆ เดี๋ยวก็ได้ภาษาเอง
แต่ร้อยละ 95 ไม่มีใครกล้าทำครับ ทุกคนยังมุ่งมั่นที่จะไปเรียนภาษาตามสถาบันสอนภาษาเหล่านี้
ที่แย่ที่สุดคือ หลีกเลี่ยงโฮสแฟมมิลี่มาอยู่หอกับคนต่างชาติ และได้ภาษากลับมาไม่คุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เสียไปเลย
ได้แค่ความคล่อง แต่ไม่ได้ความถูกต้อง บอกตามตรงครับว่าผมเสียดายเงินแทนมากๆ
บางคนอยากไปเพื่อเปิดโลกกว้าง อันนี้ผมเฉยๆ เพราะรู้สึกว่าเขามีจุดประสงค์ต่างไป แต่คนที่อยากได้ภาษา
ผมว่ามันไม่ใช่ครับ ผมเสียดายเงินแทนมากๆ
สรุปคือ ถ้าอยากเปิดโลกกว้าง ไปได้เต็มที่ตามแต่ทุนทรัพย์จะหนุนนำครับ แต่ถ้าไปเพื่อภาษา ขอให้คิดดีๆ อีกครั้ง
เรื่องที่สอง เรื่องสถาบันสอนภาษาอังกฤษ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ตอบไม่ได้ครับว่าที่ไหนดีกว่าที่ไหน
ตอน ม.ปลาย ผมก็เรียนติวตามที่เขาติวกัน ก็ไม่ได้แย่นะครับ ผมเรียน Enconcept ก็ได้ศัพท์ ได้ structure ที่ช่วยเรื่องการอ่านมาเยอะอยู่
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นภาษามันเป็นทักษะครับ อาจารย์เก่งแค่ไหน ถ้าอ่านแต่ในตำราที่พี่เขาให้มาอย่างเดียว ก็ได้แค่ทำข้อสอบได้ แต่ใช้จริงไม่ได้อยู่ดี
แต่การมีครูที่ดี จะทำให้เขามีความรู้มากพอที่จะตอบคำถามได้ดี ซึ่งผมมันช่วยได้มาก เพราะทำให้เราเข้าใจได้เร็วขึ้น
ไม่ต้องไปงมเองใน google และความสามารถในการตอบคำถามสำคัญกว่าการสอนตามเนื้อหาอย่างเดียวมากกกกกกกกกกกกกกกก
เพราะฉะนั้น เวลามีคนถามว่าเรียนสถาบันไหนดี ผมมักจะตอบว่าไม่รู้ และไม่รู้จะแนะนำโรงเรียนไหนด้วย ผมก็เคยเรียนแค่ตอนสอบ ม.ปลาย
บอกได้แค่ว่า ถ้าไม่ช่วยตัวเอง เรียน และเสียเงินไปกับกี่สถาบันกี่แห่ง กับหนังสือแกรมม่ากี่เล่มก็ไม่ช่วย
อย่างที่ผมเล่าว่าภาษาที่ผมได้มาจากซีดี จากซีรีส์ จากห้องเรียน(ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ) และจากการอ่าน textbook
เพื่อนไทยๆ ของผมทั้งหลาย ที่เรียนพร้อมหลักสูตรภาษาอังกฤษพร้อมกัน ที่อ่านได้ พูดคล่อง เขียนเก่งก็ผ่าน process นี้ทุกคนครับ
ไม่มีใครตื่นขึ้นมาแล้วสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย
คนที่ไป exchange ตอนมัธยมปลายบางคนกลับมา
ยังสู้เพื่อนๆ ผมที่หัดด้วยตัวเองที่เมืองไทยไม่ได้เลยครับ (นั่นขนาดคลุกคลีตีโมงกับฝรั่งอยู่เกือบปีแล้วนะครับ)
แต่ของแบบนี้มันไม่ได้เกิดกันในวันสองวัน แต่สะสมเป็นเดือน เป็นปี ต้องยอมพูดผิด เขียนผิด ทำผิดเพื่อเรียนรู้ (เพราะผมก็ผิดมาก่อน)
ในความคิดเห็นของผม และจากประสบการณ์ เด็กไทยจำนวนมาก อดทน หรือมี passion ไม่พอ และไม่กล้าผิดอีกต่างหาก (ก็เลยไม่ฝึกอะไรเลย)
ผมเขียนกระทู้นี้หวังว่าหากมีคนมาเห็น แล้วฉุกคิดลดจำนวนคนไปเรียนภาษาที่เมืองนอก
แล้วฝึกฝนด้วยตัวเองที่เมืองไทย ผมก็ดีใจสุดๆ แล้วครับ
และสุดท้ายอยากให้กำลังใจทุกคนที่คิดจะเริ่มคิดจะไปเรียนภาษาที่เมืองนอก หรือสถาบันภาษาว่าถามตัวเองดีพอรึยังว่าต้องการอะไร
ถ้าต้องการภาษาเป็นประเด็นหลัก ถามตัวเองต่อว่าคุ้มกับเงินที่เสียไหม หวังอะไร จะพัฒนาอะไรนอกเหนือจากที่เขาสอนรึเปล่า
ถ้าคำตอบคือพร้อม ผมก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จเร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้นะครับ
ปล. แทคเรื่องเรียนต่อ เพราะเป็นเรื่องเรียนภาษานะครับ
แทคเรื่องชีวิตในต่างแดน เพราะเป็นเรื่องชีวิตนักเรียน
แทคภาษาอังกฤษเพราะเป็นเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษนะครับ
ทบทวนแนวคิดเรื่องไปเรียนภาษาที่เมืองนอก หรือหาสถาบันภาษาเพื่อให้พัฒนาภาษาอังกฤษกันหน่อยได้ไหมครับ
ไม่ใช่เรื่องไกลอื่น ตามหัวข้อเลยครับ เป็นเรื่องแนวคิดของบางคนที่ยังคิดที่จะไปเรียนเมืองนอกเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษครับ
บังเอิญผมเคยทำอาชีพเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษบ้าง ไม่ได้เก่งมากนะครับ แต่ถ้ามีนักเรียนมาให้สอน แล้วเวลาว่างก็ไป
หลังๆ ไม่ค่อยได้สอน เพราะรู้สึกคนเก่งภาษาเยอะแยะ น่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าผมเอง หลังๆ เลยปฏิเสธไปเยอะ เสียดายเหมือนกัน
ด้วยความว่าทำอาชีพนี้บ้าง คนรอบตัวหลายๆ คนจึงถามผมว่าไปเรียนภาษาที่ประเทศไหนดี หรือเรียนสถาบันไหนจะได้ผลดี
ผมขอแยกเป็นสองประเด็นนะครับ เรียนภาษาอังกฤษประเทศไหนดี กับเรียนภาษากับสถาบันไหนดี
ผมขอเล่า Backgroud คร่าวๆ ละกัน ว่าเป็นผมเรียนโรงเรียนไทยมาทั้งชีวิต เรียนภาษาอังกฤษก็เหมือนเด็กไทยทั่วไป
เพิ่งได้เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษก็ตอนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าเข้าคลาสแรกก็แทบเป็นลม เพราะฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย
อาจารย์พูดภาษาอังกฤษแบบที่ไม่ใช่สอนภาษาอีกต่อไป (ปกติเรียนกับอาจารย์ฝรั่งในโรงเรียน มันก็เป็น conversation ง่ายๆ นึกออกไหมครับ)
ผมต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่เกือบเดือนทีเดียว ในการฟัง ฟัง และฟังอย่างตั้งใจ เพราะเข้าไปแล้ว ไม่อยากออก
เข้าก็ไม่ง่าย เป็นมหาวิทยาลัยรัฐซะด้วย ก็เลยต้องตั้งใจเรียน ให้สมกับที่เสียเงินมาแพงกว่าชาวบ้าน
แกรมม่าก่อนเข้า แย่ครับ เขียนอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เพื่อนที่เรียนอินเตอร์ทั้งหลายแก้ให้ที ขีดแดงแล้วแทบจะแก้ให้ใหม่ทั้งประโยค
เทอมแรก วิชาภาษาอังกฤษที่คนครึ่งคณะ excempt ผมก็ต้องเรียน และคนครึ่งหนึ่งที่เรียนได้ A ผมก็ได้แค่ B+
เรียกว่ากว่าจะเอาภาษากระดิก เพื่อจะเรียนได้ เลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน
ต้องทั้งเปลี่ยนหนังที่ดู จากละครช่อ 3 5 7 เป็นซีรีส์ฝรั่ง
ซีดีเพลงไทย (บอกอายุเลยทีเดียว 555) ต้องเก็บลงกรุ เปิดคลื่นเพลงฝรั่งจากมือถือเข้าหูแทน (ไม่มีเงินซื้อซีดีเพลงฝรั่ง)
หนังสือ textbook ก็ต้องอ่าน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างก็ต้องอ่าน ถอยไม่ได้ เพราะเรียนแล้ว
บุญยังมีเพื่อนช่วยเต็มที่ แลยจบมาได้แบบเลยสามขึ้นมานิดหน่อย
กลับมาเข้าเรื่องครับ อย่างที่เล่าไปว่า มักจะมีคนรอบข้างมาปรึกษาเรื่องเรียนภาษาที่เมืองนอกว่าไปที่ไหนดี ประเทศไหนดี
ผมขอเรียนด้วยความเคารพอย่างเต็มที่ว่า ประเทศไหน เมืองไหนก็ได้ครับ
ขอให้คนไทยน้อยเข้าว่า ไม่มีได้ยิ่งดี ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าคงจะได้ผล แต่เมืองพวกนี้ไม่มีสถาบันสอนภาษาอยู่กัน ก็เลยหาที่ไปไม่ได้
ก็ลงเอยที่เมืองใหญ่ที่มีสถาบันภาษา และคนไทยเต็มไปหมด
ร้อยละ 90 ของคนที่ไปเรียนภาษาตามสถาบันพวกนี้ ภาษาไม่ได้ดีไปกว่าคุณเท่าไร อาจจะคล่องกว่า แต่ไม่ได้ดีกว่าค่อนข้างแน่ครับ
เพราะผมเองก็เคยไปโรงเรียนพวกนี้เหมือนกัน แต่ผมไปหลังจากเรียนจบแล้ว ด้วยเหตุผลที่คงอธิบายตรงนี้ลำบาก ขอข้ามไปนะครับ
แต่สิ่งผมพบคือ พบว่าคนที่เก่งจริงๆ ทั้งโรงเรียนมีอยู่ไม่เกิน 20 จาก 200 คน
บางโรงเรียนยังเอาอาจารย์โปรตุเกส เยอรมัน มาสอนภาษาอังกฤษอยู่เลยครับ
ไปถึงเมืองผู้ดี เมืองลุงแซม ต้องทนฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไส้กรอก มันไม่ใช่อ่ะครับ มันไม่ใช่
แต่ด้วยเคารพอีกครั้ง คนต่างชาติกลุ่มนี้สอนดีกว่าเจ้าของภาษาบางคนนะครับ
ดังนั้นผมจะบอกทุกคนว่า ไปเรียนอะไรก็ได้ที่มี native speaker เยอะๆ ต่างชาติน้อยๆ เดี๋ยวก็ได้ภาษาเอง
แต่ร้อยละ 95 ไม่มีใครกล้าทำครับ ทุกคนยังมุ่งมั่นที่จะไปเรียนภาษาตามสถาบันสอนภาษาเหล่านี้
ที่แย่ที่สุดคือ หลีกเลี่ยงโฮสแฟมมิลี่มาอยู่หอกับคนต่างชาติ และได้ภาษากลับมาไม่คุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เสียไปเลย
ได้แค่ความคล่อง แต่ไม่ได้ความถูกต้อง บอกตามตรงครับว่าผมเสียดายเงินแทนมากๆ
บางคนอยากไปเพื่อเปิดโลกกว้าง อันนี้ผมเฉยๆ เพราะรู้สึกว่าเขามีจุดประสงค์ต่างไป แต่คนที่อยากได้ภาษา
ผมว่ามันไม่ใช่ครับ ผมเสียดายเงินแทนมากๆ
สรุปคือ ถ้าอยากเปิดโลกกว้าง ไปได้เต็มที่ตามแต่ทุนทรัพย์จะหนุนนำครับ แต่ถ้าไปเพื่อภาษา ขอให้คิดดีๆ อีกครั้ง
เรื่องที่สอง เรื่องสถาบันสอนภาษาอังกฤษ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ตอบไม่ได้ครับว่าที่ไหนดีกว่าที่ไหน
ตอน ม.ปลาย ผมก็เรียนติวตามที่เขาติวกัน ก็ไม่ได้แย่นะครับ ผมเรียน Enconcept ก็ได้ศัพท์ ได้ structure ที่ช่วยเรื่องการอ่านมาเยอะอยู่
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นภาษามันเป็นทักษะครับ อาจารย์เก่งแค่ไหน ถ้าอ่านแต่ในตำราที่พี่เขาให้มาอย่างเดียว ก็ได้แค่ทำข้อสอบได้ แต่ใช้จริงไม่ได้อยู่ดี
แต่การมีครูที่ดี จะทำให้เขามีความรู้มากพอที่จะตอบคำถามได้ดี ซึ่งผมมันช่วยได้มาก เพราะทำให้เราเข้าใจได้เร็วขึ้น
ไม่ต้องไปงมเองใน google และความสามารถในการตอบคำถามสำคัญกว่าการสอนตามเนื้อหาอย่างเดียวมากกกกกกกกกกกกกกกก
เพราะฉะนั้น เวลามีคนถามว่าเรียนสถาบันไหนดี ผมมักจะตอบว่าไม่รู้ และไม่รู้จะแนะนำโรงเรียนไหนด้วย ผมก็เคยเรียนแค่ตอนสอบ ม.ปลาย
บอกได้แค่ว่า ถ้าไม่ช่วยตัวเอง เรียน และเสียเงินไปกับกี่สถาบันกี่แห่ง กับหนังสือแกรมม่ากี่เล่มก็ไม่ช่วย
อย่างที่ผมเล่าว่าภาษาที่ผมได้มาจากซีดี จากซีรีส์ จากห้องเรียน(ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ) และจากการอ่าน textbook
เพื่อนไทยๆ ของผมทั้งหลาย ที่เรียนพร้อมหลักสูตรภาษาอังกฤษพร้อมกัน ที่อ่านได้ พูดคล่อง เขียนเก่งก็ผ่าน process นี้ทุกคนครับ
ไม่มีใครตื่นขึ้นมาแล้วสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย
คนที่ไป exchange ตอนมัธยมปลายบางคนกลับมา
ยังสู้เพื่อนๆ ผมที่หัดด้วยตัวเองที่เมืองไทยไม่ได้เลยครับ (นั่นขนาดคลุกคลีตีโมงกับฝรั่งอยู่เกือบปีแล้วนะครับ)
แต่ของแบบนี้มันไม่ได้เกิดกันในวันสองวัน แต่สะสมเป็นเดือน เป็นปี ต้องยอมพูดผิด เขียนผิด ทำผิดเพื่อเรียนรู้ (เพราะผมก็ผิดมาก่อน)
ในความคิดเห็นของผม และจากประสบการณ์ เด็กไทยจำนวนมาก อดทน หรือมี passion ไม่พอ และไม่กล้าผิดอีกต่างหาก (ก็เลยไม่ฝึกอะไรเลย)
ผมเขียนกระทู้นี้หวังว่าหากมีคนมาเห็น แล้วฉุกคิดลดจำนวนคนไปเรียนภาษาที่เมืองนอก
แล้วฝึกฝนด้วยตัวเองที่เมืองไทย ผมก็ดีใจสุดๆ แล้วครับ
และสุดท้ายอยากให้กำลังใจทุกคนที่คิดจะเริ่มคิดจะไปเรียนภาษาที่เมืองนอก หรือสถาบันภาษาว่าถามตัวเองดีพอรึยังว่าต้องการอะไร
ถ้าต้องการภาษาเป็นประเด็นหลัก ถามตัวเองต่อว่าคุ้มกับเงินที่เสียไหม หวังอะไร จะพัฒนาอะไรนอกเหนือจากที่เขาสอนรึเปล่า
ถ้าคำตอบคือพร้อม ผมก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จเร็วขึ้นกว่าที่คาดไว้นะครับ
ปล. แทคเรื่องเรียนต่อ เพราะเป็นเรื่องเรียนภาษานะครับ
แทคเรื่องชีวิตในต่างแดน เพราะเป็นเรื่องชีวิตนักเรียน
แทคภาษาอังกฤษเพราะเป็นเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษนะครับ