จากข่าวพาดหัว "ผู้ว่าฯ-บุกยึดสวนป่า ท่านผู้หญิงยสวดีกว่า-350-ไร่ "
ทำให้ลูกศิษย์อย่างเราและคนอื่นๆตกใจมาก
เพราะถ้าคุณเคยเรียนโรงเรียนอัมพรไพศาล
คุณจะรู้ว่าท่านผู้หญิงเป็นอาจารย์ที่มีวินัยและรักในความถูกต้องมาก
สอนลูกหลานมารุ่นต่อรุ่นให้เป็นคนดีและมีชื่อเสียงหลายคน
จึงทำให้ลูกศิษย์ลูกหารับรู้ว่าข่าวนี้เกินจริงมาก ต้องมีที่มาที่ไปแน่นอน
และที่เลวร้ายที่สุดคือผลกระทบของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว อันเกิดจากบุคคลภายนอกที่เสพย์ข่าวมากเกินไปจนเกิดการด่าทอ
เสียหายๆ ทั้งที่บุคคลเหล่านั้นยังไม่รู้จัก หรือเคยมาเรียนโรงเรียนอัมพรไพศาลด้วยซ้ำ เกิดจากความไม่ยั้งคิดทั้งปวง
แน่นอนคนจากไปแล้วพูดไม่ได้ แต่ลูกหลานท่านยังอยู่ ยังดูแลรักษาโรงเรียนอันเป็นที่รัก
โดยขออนุญาตยกตัวอย่างข่าวจาก Snews ซึ่งมีเนื้อหาข่าวดังนี้
http://money.sanook.com/192293/
_______________________________________________________________
และทางโรงเรียนอัมพรไพศาลก็มีประกาศออกมาแล้วถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึงที่มาที่ไป
ซึ่งบุคคลภายนอกอาจจะยังไม่ได้รับรู้
“ ขอชี้แจงข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์ที่ลูกศิษย์อัมพรไพศาล ทุกคนเป็นห่วงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้าไปตรวจสอบสถานที่โครงการปลูกป่าที่ท่านผู้หญิงเคยทำเมื่อท่านยังไม่ได้จากพวกเราไป
เมื่อ พ.ศ.2533 ท่านผู้หญิง หรือคุณยายหญิงของพวกเรา ได้ไปเยี่ยมโครงการหมู่บ้านเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุ 60 พรรษา ณ ตำบลนาพระ อ.นาแห้ว จ.เลย มีโอกาสผ่านมาทาง อ.ภูเรือ เห็นภูเขาเขตนั้นกลายเป็นภูเขาหัวโล้นเกือบหมด เพราะชาวบ้านใช้ที่ดินปลูกข้าวโพด และขิง ดังนั้นเมื่อมีนายตำรวจท่านหนึ่งนำที่มาเสนอขาย ท่านจึงได้รับซื้อไว้ เพราะนายตำรวจท่านนั้นแจ้งว่าเจ้าของจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้ชาวต่างชาติ ด้วยความหวงแหนในแผ่นดินเกิด และอยากจะช่วยปลูกป่าทดแทนส่วนที่เสียหายแล้วเป็นจำนวนมากจึงรับซื้อไว้ และเริ่มปลูกไม้ป่ายืนต้นทันทีอย่างต่อเนื่องโดยมีเอกสารสิทธิเป็น น.ส.3 ทุกแปลง
หลังจากนั้นหลายปี ทางราชการได้มีเอกสารมาแจ้งว่า เอกสารสิทธิที่ท่าน ซื้อมานั้นเป็นเอกสารที่ออกโดยมิชอบ ท่านจึงเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะการโอนกรรมสิทธิ์ก็ทำที่ที่ทำการราชการ (อำเภอ) เจ้าหน้าที่ก็มิได้ทักท้วงแต่ประการใด จึงมิได้มีการอุธรณ์คำสั่งและฟ้องร้องกันขึ้นและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2554
เมื่อได้รับพิพากษาของศาลแล้วท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2555 และเกิดเหตุการณ์จู่โจมเข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2557 ที่ผ่านมา
ขอเรียนว่าท่านมิได้ “ ฮุบ ” ที่ดินป่าสงวนแต่อย่างใด ตั้งแต่ได้รับกรรมสิทธิ์มาท่านก็พยายามปลูกต้นไม้ป่าอย่างต่อเนื่อง จำนวนกว่า 10,000 ต้น ครั้นเมื่อมีคำพิพากษาออกมาท่านก็รอคอยอย่างสงบและพร้อมที่จะปฎิบัติชอบ อุทิศตน เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มาเป็นระยะเวลาอันยาวนานจวบจนอายุท่าน 105 ปี ไม่เคยมีเรื่องเสียหายใดๆ
ดังนั้นจึงขอชี้แจงให้ท่านที่เป็นห่วงได้รับทราบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้ท่าน ผู้ล่วงลับไปแล้วผู้ซึ่งมีเจตนาแต่เพียงประการเดียวคือ รักษาป่าไว้ของชาติให้คงอยู่ไม่ถูกทำลายเหมือนกับที่หลายๆคนทำอยู่เป็นประจำ ”
สุดท้ายนี้เราไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรมาก แต่อยากให้ใครหลายๆคน
มีสติกันสักนิดเวลาจะเสพย์ข่าวสารต่างๆ นึกถึงบุคคลในข่าวบ้างว่าท่านรู้จักดีพอไหม
ไม่มีลูกหลานคนไหนอยากให้ผู้ใหญ่ดีๆที่รู้จักกันมาโดนใครก็ไม่รู้ด่าหลอกจริงไหม ?
และฝากถึงนักข่าวด้วยว่าเวลาจะเขียน ประกาศ วิเคราะห์ข่าวอะไร ถามถึงบุคคลอีกฝ่ายด้วย ถามลูกหลานเขาว่าทำจริงหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
เจอข่าวโบกข้างเดียวแบบนี้ สงสารวิญญาณดีๆที่เขาอุตส่าดูแลนักเรียนและทรัพยากรมา จนอายุ 105 ปี
และสุดท้ายที่ดินทั้งหมดก็ยินดีคืนให้โดยไม่ขัดขืนหรือขัดกฏหมายใดๆ โปรดเข้าใจว่าท่านก็ดูแลอย่างสงบจริงๆไม่มีเรื่องกับใครใดๆ
กรณีข่าว ผู้ว่าบุกยึดสวนป่า ท่านผู้หญิงยสวดี 350 ไร่มันมีที่มา อย่าเชื่อที่ข่าวพาดเกินไป ยังมีความจริงซ่อนอยู่
ทำให้ลูกศิษย์อย่างเราและคนอื่นๆตกใจมาก
เพราะถ้าคุณเคยเรียนโรงเรียนอัมพรไพศาล
คุณจะรู้ว่าท่านผู้หญิงเป็นอาจารย์ที่มีวินัยและรักในความถูกต้องมาก
สอนลูกหลานมารุ่นต่อรุ่นให้เป็นคนดีและมีชื่อเสียงหลายคน
จึงทำให้ลูกศิษย์ลูกหารับรู้ว่าข่าวนี้เกินจริงมาก ต้องมีที่มาที่ไปแน่นอน
และที่เลวร้ายที่สุดคือผลกระทบของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว อันเกิดจากบุคคลภายนอกที่เสพย์ข่าวมากเกินไปจนเกิดการด่าทอ
เสียหายๆ ทั้งที่บุคคลเหล่านั้นยังไม่รู้จัก หรือเคยมาเรียนโรงเรียนอัมพรไพศาลด้วยซ้ำ เกิดจากความไม่ยั้งคิดทั้งปวง
แน่นอนคนจากไปแล้วพูดไม่ได้ แต่ลูกหลานท่านยังอยู่ ยังดูแลรักษาโรงเรียนอันเป็นที่รัก
โดยขออนุญาตยกตัวอย่างข่าวจาก Snews ซึ่งมีเนื้อหาข่าวดังนี้
http://money.sanook.com/192293/
_______________________________________________________________
และทางโรงเรียนอัมพรไพศาลก็มีประกาศออกมาแล้วถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึงที่มาที่ไป
ซึ่งบุคคลภายนอกอาจจะยังไม่ได้รับรู้
“ ขอชี้แจงข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์ที่ลูกศิษย์อัมพรไพศาล ทุกคนเป็นห่วงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้าไปตรวจสอบสถานที่โครงการปลูกป่าที่ท่านผู้หญิงเคยทำเมื่อท่านยังไม่ได้จากพวกเราไป
เมื่อ พ.ศ.2533 ท่านผู้หญิง หรือคุณยายหญิงของพวกเรา ได้ไปเยี่ยมโครงการหมู่บ้านเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุ 60 พรรษา ณ ตำบลนาพระ อ.นาแห้ว จ.เลย มีโอกาสผ่านมาทาง อ.ภูเรือ เห็นภูเขาเขตนั้นกลายเป็นภูเขาหัวโล้นเกือบหมด เพราะชาวบ้านใช้ที่ดินปลูกข้าวโพด และขิง ดังนั้นเมื่อมีนายตำรวจท่านหนึ่งนำที่มาเสนอขาย ท่านจึงได้รับซื้อไว้ เพราะนายตำรวจท่านนั้นแจ้งว่าเจ้าของจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้ชาวต่างชาติ ด้วยความหวงแหนในแผ่นดินเกิด และอยากจะช่วยปลูกป่าทดแทนส่วนที่เสียหายแล้วเป็นจำนวนมากจึงรับซื้อไว้ และเริ่มปลูกไม้ป่ายืนต้นทันทีอย่างต่อเนื่องโดยมีเอกสารสิทธิเป็น น.ส.3 ทุกแปลง
หลังจากนั้นหลายปี ทางราชการได้มีเอกสารมาแจ้งว่า เอกสารสิทธิที่ท่าน ซื้อมานั้นเป็นเอกสารที่ออกโดยมิชอบ ท่านจึงเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะการโอนกรรมสิทธิ์ก็ทำที่ที่ทำการราชการ (อำเภอ) เจ้าหน้าที่ก็มิได้ทักท้วงแต่ประการใด จึงมิได้มีการอุธรณ์คำสั่งและฟ้องร้องกันขึ้นและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2554
เมื่อได้รับพิพากษาของศาลแล้วท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2555 และเกิดเหตุการณ์จู่โจมเข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2557 ที่ผ่านมา
ขอเรียนว่าท่านมิได้ “ ฮุบ ” ที่ดินป่าสงวนแต่อย่างใด ตั้งแต่ได้รับกรรมสิทธิ์มาท่านก็พยายามปลูกต้นไม้ป่าอย่างต่อเนื่อง จำนวนกว่า 10,000 ต้น ครั้นเมื่อมีคำพิพากษาออกมาท่านก็รอคอยอย่างสงบและพร้อมที่จะปฎิบัติชอบ อุทิศตน เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มาเป็นระยะเวลาอันยาวนานจวบจนอายุท่าน 105 ปี ไม่เคยมีเรื่องเสียหายใดๆ
ดังนั้นจึงขอชี้แจงให้ท่านที่เป็นห่วงได้รับทราบ ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้ท่าน ผู้ล่วงลับไปแล้วผู้ซึ่งมีเจตนาแต่เพียงประการเดียวคือ รักษาป่าไว้ของชาติให้คงอยู่ไม่ถูกทำลายเหมือนกับที่หลายๆคนทำอยู่เป็นประจำ ”
สุดท้ายนี้เราไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรมาก แต่อยากให้ใครหลายๆคน
มีสติกันสักนิดเวลาจะเสพย์ข่าวสารต่างๆ นึกถึงบุคคลในข่าวบ้างว่าท่านรู้จักดีพอไหม
ไม่มีลูกหลานคนไหนอยากให้ผู้ใหญ่ดีๆที่รู้จักกันมาโดนใครก็ไม่รู้ด่าหลอกจริงไหม ?
และฝากถึงนักข่าวด้วยว่าเวลาจะเขียน ประกาศ วิเคราะห์ข่าวอะไร ถามถึงบุคคลอีกฝ่ายด้วย ถามลูกหลานเขาว่าทำจริงหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
เจอข่าวโบกข้างเดียวแบบนี้ สงสารวิญญาณดีๆที่เขาอุตส่าดูแลนักเรียนและทรัพยากรมา จนอายุ 105 ปี
และสุดท้ายที่ดินทั้งหมดก็ยินดีคืนให้โดยไม่ขัดขืนหรือขัดกฏหมายใดๆ โปรดเข้าใจว่าท่านก็ดูแลอย่างสงบจริงๆไม่มีเรื่องกับใครใดๆ