ต้องขอโทษเพื่อนๆทุกคนที่คอยติดตามด้วยค่ะ
เพราะช่วงนี้งานเยอะมาก แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลยค่ะ
แต่ถึงอย่างไร ชีวิตคนเราไม่ว่าจะเกิดมาในสถาณะใดก็ต้องสู้ค่ะ
แม้คนที่เกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่างก็ยังต้องต่อสู้กับใจตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ฉวยโอกาสที่มีมากมายของตัวเองไปทำความชั่วค่ะ
เล่าต่อเลยนะคะ
หลังจากที่ดิฉันมาเรียนในเมืองได้ปีกว่า ก็หาทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ก็ทำมันทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ค่ะ
ไม่ว่าจะรับจ้างล้างจาน รับจ้างขายของ พอมีรถแล้วก็ไปรับจ้างขายของที่ตลาดรินคำตอนกลางคืนค่ะ ได้วันละร้อยห้าสิบ
เชื่อมั๊ยคะว่าความรู้สึกตอนนั้น เหมือนได้เยอะมาก ค่าห้องก็ช่วยกันจ่ายกะพี่สาว ฉันแทบไม่ได้ขอเงินพ่อแม่เลยค่ะ
พอพ่อแม่ไม่ต้องรับภาระค่าเล่าเรียนมากนัก เพราะพี่ชายเรียนจบปชว.แล้ว ก็ทำงานส่งตัวเองเรียนปวส.อยู่สระบุรีค่ะ
ส่วนพี่สาวก็ทำงาน มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองเลี้ยงน้อง พ่อเลยขอทำความฝันตัวเองซักครั้ง
พ่อฝันอยากมีรถกระบะขับค่ะ ไปซื้อรถเก่าๆมือสอง สภาพตามราคา แม้ใครจะหัวเราะเยาะว่าเป็นรถเก่า
แต่ลองคิดดูสิคะ คนที่ไม่เคยมี วันหนึ่งได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ย่อมรักและหวงแหน เห็นพ่อแม่มีความสุขก็ดีใจค่ะ
แต่ชีวิตคนเราก็เหมือนกับละครน้ำเน่า ย่อมมีอุปสรรคมาพิสูจน์ความเป็นคนของเราเสมอ
มองย้อนกลับมาดูเรื่องนี้ของตัวเองทีไร ก็แอบหัวเราะไปทั้งน้ำตา ช่างเหมือนบางฉากบางตอนของละครน้ำเน่าจริงๆ
พอพี่สาวมาทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นพนักงานเสริฟค่ะ ด้วยความที่พี่สาวหน้าตาดี มีลูกค้าหนุ่มๆมาชอบ
ทำให้ร้านมีลูกค้าประจำเยอะแยะ บวกกับความใสซื่อ และขยันอดทน ไม่แปลกที่เจ้เจ้าของเขาจะทั้งรักและเอ็นดู
เจ้แกใจดีมากค่ะ แนะนำให้พี่สาวไปเรียนต่อมหาลัยราชภัฎเชียงใหม่ โดยที่เจ้ออกค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเป็นก้อนให้ก่อนแล้วแกก็หักทีหลัง
ด้วยความเมตตาของเจ้ สามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง แม้จะเจอแต่เรื่องเลวร้าย แต่ก็ยังนับว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดี
เพราะเราสามารถเรียนรู้ได้อีกอย่างว่า จิตใจคนเรานั้นยากแท้หยั่งถึง
หลังจากที่พี่สาวได้ไปเรียนก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น แล้วเธอก็ได้คบกับผู้ชายคนหนึ่ง มันเป็นรักครั้งแรก ถือว่าเธอได้เรียนรู้ชีวิตอีกขั้น
คบกันแรกๆ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าสถานะและเชื้อชาติเราเป็นอย่างไร เราไม่เคยคิดจะปกปิด ปล่อยไปตามธรรมชาติ
แล้ววันหนึ่ง เขาก็รู้ และเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร เขายังรักและยังดีกับพี่สาวเราเหมือนเช่นเดิม
ถึงอย่างไร พี่สาวก็ยังคงรักสาสถานะแฟนไว้ไม่ให้เกินเลยจนถึงสถานะผัวเมีย เพราะเราจำเสมอกับคำพูดที่ว่า
"ถ้าเกินสองเดือนแล้วไม่อุ้มท้องกลับมาจะให้เหยียบหน้าเลย" (จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้กลับไปเหยียบหน้าคนพูดเลยค่ะ)
เมื่อความผูกพันเริ่มขึ้น คบกันได้ปีกว่า พ่อแม่ฝ่ายชายก็เริ่มรับรู้ ว่าเขามาคบกับพี่สาว แรกๆก็ไม่ว่าอะไร
พอนานไปๆแม่เขาก็เริ่มมีท่าทีรังเกียจ ด้วยที่ว่า เราไม่ใช่คนไทย จนในที่สุด ต้องเลิกกัน
ฉันเข้าใจความรู้สึกพี่สาวดี ว่าเจ็บปวดแค่ไหน มันปวดร้าวในใจไปทุกครั้ง ที่พี่ถามฉันว่า เราผิดอะไร ผิดมากเหรอที่เราไม่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
กว่าจะผ่านเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ เราต้องให้กำลังใจต่อกันและกันมากมาย จนบางครั้งเราก็กลัวกับความรัก ไม่กล้าแม้แต่จะคิดรักใคร
ทั้งๆที่ใจลึกๆเรายังรู้ดีว่า ความรักช่างสวยงาม แต่ถึงอย่างไร เราก็ไม่ยอมให้อะไรๆมาลดคุณค่าความเป็นคนของเรา
ถึงแม้ฉันจะเจียมตัวเองมาตลอด กลัวการเริ่มต้นความรัก เพราะกลัวจุดจบที่ฉันเองรู้ดีว่าเป็นเช่นไร
แต่ธรรมชาติของคน มันต้องมีซักครั้ง ที่เราจะรู้สึกรักใครและฉันก็เป็นเช่นนั้น
ตอน ปวช.สอง ฉันก็ได้คบกับรุ่นพี่คนหนึ่ง (ก็คบพอๆกับพี่สาว แต่อกหักทีหลัง)
อย่างที่บอก ว่าถึงใครจะรังเกียจเรา แต่เราไม่เคยรังเกียจเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ฉันไม่เคยปิดบังว่า ตัวเองเป็นใคร เชื้อชาติอะไร
ฉันบอกพี่เขาไปตรงๆ และพี่เขาก็รับได้ ฉันยังจำเสมอคำที่เขาบอกฉันว่า คนเราคุณค่าอยู่ที่จิตใจ แม้มันจะเป็นเพียงคำพูดโกหกของเขา ฉันก็ยังรู้สึกดี
เขาคอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ไปรับไปส่ง ให้เกียรติกันเสมอ จนวันหนึ่ง เขาพาฉันไปรู้จักกับครอบครัวเขา
และฉันก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเดิม ทำไมนะ ฉันที่เป็นแบบนี้ ยังไม่มีคุณค่าพอกับความรักอีกเหรอ
แม้ว่าครอบครัวเขาจะได้ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าครอบครัวเขาไม่ได้ต้อนรับฉันเลย
ฉันพยายามอดทน เพื่อความรัก พยายามประคับประคองให้ถึงที่สุด ฉันบอกกับตัวเองว่า แค่ต้องร้องไห้ ฉันต้องทนได้
แต่พี่สาวฉันบอกว่า แล้วเราจะร้องไห้ทำไม เมื่อก่อนเราอยู่ของเราได้ มันแค่เหนื่อย แต่วันนี้เราก็ยังเหนื่อยแถมยังต้องเจ็บปวดใจอีก เพื่ออะไร
ความรักเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าต้องรักไปแล้วเจ็บไปแบบนี้เขาเรียกว่ารักข้างเดียว
แล้วความรักที่ฉันพยายามประคับประคองมันมา ก็จบแบบเจ็บๆเหมือนเดิม
เมื่อแม่ของเขาป่วยต้องผ่าตัดหัวใจ และพักอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน
ฉันก็ทำหน้าที่เป็นคนใช้เป็นคนเฝ้าแม่ของเขา เพราะเขาบอกว่า เขาไม่มีใครนอกจากฉัน
พี่สาวของเขามาเยี่ยมแต่ละครั้งไม่ถึงชั่วโมง แต่ฉันต้องอยู่เฝ้าตลอด
เลิกเรียนต้องรีบไปหา คอยป้อนข้าว เช็ดตัวให้ เวลามีใครมาเยี่ยม แม่เขามักจะบอกใครๆว่า
ฉันคือเด็กที่ลูกเขาหามาช่วยดูแล จ้างเป็นวันๆ เพราะลูกเขาไม่มีเวลาต้องทำงาน
คุ้นๆมั๊ยคะ เหมือนเราเห็นภาพนี้ในละครหลังข่าว แต่นี่ชีวิตจริงค่ะ เจ็บจริง ร้องไห้จริง
ฉันมานึกทบทวนตัวเอง ทบทวนคำพูดของพี่สาวฉัน และฉันถามตัวเองซ้ำๆว่า ฉันทำเพื่ออะไร เจ็บไปเพื่ออะไร เมื่อก่อนไม่มีเขา ฉันก็ไม่เห็นต้องเป็นแบบนี้
ฉันตัดสินใจ ตัดใจจากเขา แต่ฉันคิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่ฉันที่เสียใจ แต่เป็นเขาต่างหากที่ต้องเสียใจ
เพราะเขาได้สูญเสียคนๆหนึ่ง ที่รักและหวังดีกับเขา และพร้อมจะทำอะไรเพื่อเขาเสมอ
หลังจากนั้นฉันก็ยังทำเหมือนเดิม ยังคงไปเฝ้าแม่เขา ปรนนิบัติแม่เขาเท่าที่ฉันจะทำได้ จนแม่เขาออกจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่บ้าน
ฉันเลยตัดสินใจบอกเลิกเขา ด้วยเหตุผลอะไรนั้นเขาเองคงรู้ดี เขาไม่ถามไม่พูดอะไร
การจากลาเจ็บปวดเสมอ ไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่าเราจะยอมให้ตัวเองเจ็บปวดนานซักเท่าไหร่ แน่นอนฉันไม่ยอมให้ความเจ็บนี้ติดตัวฉันนานหรอก
เพราะชีวิตฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ แค่คนที่เขาไม่รักไม่เห็นค่าเราจากไปก็เท่านั้นเอง
ปล.กระทู้แรกค่ะ
http://pantip.com/topic/32225545
# ยี่สิบปีที่รอคอย # ถ่ายบัตรประชาชนครั้งแรก # ฉันได้เป็นคนไทยอย่างเต็มภาคภูมิ #((ภาค2))
เพราะช่วงนี้งานเยอะมาก แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลยค่ะ
แต่ถึงอย่างไร ชีวิตคนเราไม่ว่าจะเกิดมาในสถาณะใดก็ต้องสู้ค่ะ
แม้คนที่เกิดมาเพียบพร้อมทุกอย่างก็ยังต้องต่อสู้กับใจตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ฉวยโอกาสที่มีมากมายของตัวเองไปทำความชั่วค่ะ
เล่าต่อเลยนะคะ
หลังจากที่ดิฉันมาเรียนในเมืองได้ปีกว่า ก็หาทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ก็ทำมันทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ค่ะ
ไม่ว่าจะรับจ้างล้างจาน รับจ้างขายของ พอมีรถแล้วก็ไปรับจ้างขายของที่ตลาดรินคำตอนกลางคืนค่ะ ได้วันละร้อยห้าสิบ
เชื่อมั๊ยคะว่าความรู้สึกตอนนั้น เหมือนได้เยอะมาก ค่าห้องก็ช่วยกันจ่ายกะพี่สาว ฉันแทบไม่ได้ขอเงินพ่อแม่เลยค่ะ
พอพ่อแม่ไม่ต้องรับภาระค่าเล่าเรียนมากนัก เพราะพี่ชายเรียนจบปชว.แล้ว ก็ทำงานส่งตัวเองเรียนปวส.อยู่สระบุรีค่ะ
ส่วนพี่สาวก็ทำงาน มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองเลี้ยงน้อง พ่อเลยขอทำความฝันตัวเองซักครั้ง
พ่อฝันอยากมีรถกระบะขับค่ะ ไปซื้อรถเก่าๆมือสอง สภาพตามราคา แม้ใครจะหัวเราะเยาะว่าเป็นรถเก่า
แต่ลองคิดดูสิคะ คนที่ไม่เคยมี วันหนึ่งได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ย่อมรักและหวงแหน เห็นพ่อแม่มีความสุขก็ดีใจค่ะ
แต่ชีวิตคนเราก็เหมือนกับละครน้ำเน่า ย่อมมีอุปสรรคมาพิสูจน์ความเป็นคนของเราเสมอ
มองย้อนกลับมาดูเรื่องนี้ของตัวเองทีไร ก็แอบหัวเราะไปทั้งน้ำตา ช่างเหมือนบางฉากบางตอนของละครน้ำเน่าจริงๆ
พอพี่สาวมาทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นพนักงานเสริฟค่ะ ด้วยความที่พี่สาวหน้าตาดี มีลูกค้าหนุ่มๆมาชอบ
ทำให้ร้านมีลูกค้าประจำเยอะแยะ บวกกับความใสซื่อ และขยันอดทน ไม่แปลกที่เจ้เจ้าของเขาจะทั้งรักและเอ็นดู
เจ้แกใจดีมากค่ะ แนะนำให้พี่สาวไปเรียนต่อมหาลัยราชภัฎเชียงใหม่ โดยที่เจ้ออกค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเป็นก้อนให้ก่อนแล้วแกก็หักทีหลัง
ด้วยความเมตตาของเจ้ สามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง แม้จะเจอแต่เรื่องเลวร้าย แต่ก็ยังนับว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดี
เพราะเราสามารถเรียนรู้ได้อีกอย่างว่า จิตใจคนเรานั้นยากแท้หยั่งถึง
หลังจากที่พี่สาวได้ไปเรียนก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น แล้วเธอก็ได้คบกับผู้ชายคนหนึ่ง มันเป็นรักครั้งแรก ถือว่าเธอได้เรียนรู้ชีวิตอีกขั้น
คบกันแรกๆ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าสถานะและเชื้อชาติเราเป็นอย่างไร เราไม่เคยคิดจะปกปิด ปล่อยไปตามธรรมชาติ
แล้ววันหนึ่ง เขาก็รู้ และเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร เขายังรักและยังดีกับพี่สาวเราเหมือนเช่นเดิม
ถึงอย่างไร พี่สาวก็ยังคงรักสาสถานะแฟนไว้ไม่ให้เกินเลยจนถึงสถานะผัวเมีย เพราะเราจำเสมอกับคำพูดที่ว่า
"ถ้าเกินสองเดือนแล้วไม่อุ้มท้องกลับมาจะให้เหยียบหน้าเลย" (จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้กลับไปเหยียบหน้าคนพูดเลยค่ะ)
เมื่อความผูกพันเริ่มขึ้น คบกันได้ปีกว่า พ่อแม่ฝ่ายชายก็เริ่มรับรู้ ว่าเขามาคบกับพี่สาว แรกๆก็ไม่ว่าอะไร
พอนานไปๆแม่เขาก็เริ่มมีท่าทีรังเกียจ ด้วยที่ว่า เราไม่ใช่คนไทย จนในที่สุด ต้องเลิกกัน
ฉันเข้าใจความรู้สึกพี่สาวดี ว่าเจ็บปวดแค่ไหน มันปวดร้าวในใจไปทุกครั้ง ที่พี่ถามฉันว่า เราผิดอะไร ผิดมากเหรอที่เราไม่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
กว่าจะผ่านเวลาเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ เราต้องให้กำลังใจต่อกันและกันมากมาย จนบางครั้งเราก็กลัวกับความรัก ไม่กล้าแม้แต่จะคิดรักใคร
ทั้งๆที่ใจลึกๆเรายังรู้ดีว่า ความรักช่างสวยงาม แต่ถึงอย่างไร เราก็ไม่ยอมให้อะไรๆมาลดคุณค่าความเป็นคนของเรา
ถึงแม้ฉันจะเจียมตัวเองมาตลอด กลัวการเริ่มต้นความรัก เพราะกลัวจุดจบที่ฉันเองรู้ดีว่าเป็นเช่นไร
แต่ธรรมชาติของคน มันต้องมีซักครั้ง ที่เราจะรู้สึกรักใครและฉันก็เป็นเช่นนั้น
ตอน ปวช.สอง ฉันก็ได้คบกับรุ่นพี่คนหนึ่ง (ก็คบพอๆกับพี่สาว แต่อกหักทีหลัง)
อย่างที่บอก ว่าถึงใครจะรังเกียจเรา แต่เราไม่เคยรังเกียจเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ฉันไม่เคยปิดบังว่า ตัวเองเป็นใคร เชื้อชาติอะไร
ฉันบอกพี่เขาไปตรงๆ และพี่เขาก็รับได้ ฉันยังจำเสมอคำที่เขาบอกฉันว่า คนเราคุณค่าอยู่ที่จิตใจ แม้มันจะเป็นเพียงคำพูดโกหกของเขา ฉันก็ยังรู้สึกดี
เขาคอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง ไปรับไปส่ง ให้เกียรติกันเสมอ จนวันหนึ่ง เขาพาฉันไปรู้จักกับครอบครัวเขา
และฉันก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเดิม ทำไมนะ ฉันที่เป็นแบบนี้ ยังไม่มีคุณค่าพอกับความรักอีกเหรอ
แม้ว่าครอบครัวเขาจะได้ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าครอบครัวเขาไม่ได้ต้อนรับฉันเลย
ฉันพยายามอดทน เพื่อความรัก พยายามประคับประคองให้ถึงที่สุด ฉันบอกกับตัวเองว่า แค่ต้องร้องไห้ ฉันต้องทนได้
แต่พี่สาวฉันบอกว่า แล้วเราจะร้องไห้ทำไม เมื่อก่อนเราอยู่ของเราได้ มันแค่เหนื่อย แต่วันนี้เราก็ยังเหนื่อยแถมยังต้องเจ็บปวดใจอีก เพื่ออะไร
ความรักเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าต้องรักไปแล้วเจ็บไปแบบนี้เขาเรียกว่ารักข้างเดียว
แล้วความรักที่ฉันพยายามประคับประคองมันมา ก็จบแบบเจ็บๆเหมือนเดิม
เมื่อแม่ของเขาป่วยต้องผ่าตัดหัวใจ และพักอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน
ฉันก็ทำหน้าที่เป็นคนใช้เป็นคนเฝ้าแม่ของเขา เพราะเขาบอกว่า เขาไม่มีใครนอกจากฉัน
พี่สาวของเขามาเยี่ยมแต่ละครั้งไม่ถึงชั่วโมง แต่ฉันต้องอยู่เฝ้าตลอด
เลิกเรียนต้องรีบไปหา คอยป้อนข้าว เช็ดตัวให้ เวลามีใครมาเยี่ยม แม่เขามักจะบอกใครๆว่า
ฉันคือเด็กที่ลูกเขาหามาช่วยดูแล จ้างเป็นวันๆ เพราะลูกเขาไม่มีเวลาต้องทำงาน
คุ้นๆมั๊ยคะ เหมือนเราเห็นภาพนี้ในละครหลังข่าว แต่นี่ชีวิตจริงค่ะ เจ็บจริง ร้องไห้จริง
ฉันมานึกทบทวนตัวเอง ทบทวนคำพูดของพี่สาวฉัน และฉันถามตัวเองซ้ำๆว่า ฉันทำเพื่ออะไร เจ็บไปเพื่ออะไร เมื่อก่อนไม่มีเขา ฉันก็ไม่เห็นต้องเป็นแบบนี้
ฉันตัดสินใจ ตัดใจจากเขา แต่ฉันคิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่ฉันที่เสียใจ แต่เป็นเขาต่างหากที่ต้องเสียใจ
เพราะเขาได้สูญเสียคนๆหนึ่ง ที่รักและหวังดีกับเขา และพร้อมจะทำอะไรเพื่อเขาเสมอ
หลังจากนั้นฉันก็ยังทำเหมือนเดิม ยังคงไปเฝ้าแม่เขา ปรนนิบัติแม่เขาเท่าที่ฉันจะทำได้ จนแม่เขาออกจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่บ้าน
ฉันเลยตัดสินใจบอกเลิกเขา ด้วยเหตุผลอะไรนั้นเขาเองคงรู้ดี เขาไม่ถามไม่พูดอะไร
การจากลาเจ็บปวดเสมอ ไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่าเราจะยอมให้ตัวเองเจ็บปวดนานซักเท่าไหร่ แน่นอนฉันไม่ยอมให้ความเจ็บนี้ติดตัวฉันนานหรอก
เพราะชีวิตฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ แค่คนที่เขาไม่รักไม่เห็นค่าเราจากไปก็เท่านั้นเอง
ปล.กระทู้แรกค่ะ
http://pantip.com/topic/32225545