20 มิถุนายน 2557 ช่วงเวลาประมาณ 18.15 นาที
ขอออกตัวก่อนว่า จขกท.เองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนโดนล้วง แต่อยู่ในเหตุการณ์หลังจากนั้น....
ระหว่างนั่งรอพี่ชายอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อรอพี่ชายไปดูหนัง ได้โทรไปถามพี่ชายเพื่อสอบถามว่ามาถึงไหนแล้ว พี่ชายได้บอกว่าเกิดเหตุการณ์ล้วงกระเป๋าขึ้นเมื่อกี้นี้ ให้มาเจอกันที่ห้องของรปภ.ของบีทีเอส เมื่อไปถึงพี่ชายกำลังเดินออกมาพอดี ทางบีทีเอสแจ้งว่าให้ไปแจ้งความที่ สน.สวนลุมพินี ก่อนระหว่างทางที่นั่งรถไฟฟ้าไป ก็ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น....
จำนวนคนหลักๆ ในเหตุการณ์วันนี้มี ทั้งหมด 6 คน
1.ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นชาวเนปาล ขอเรียกว่า Mr.B
2.พยานผู้เห็นตอนล้วง ขอเรียกว่า ฟ.
3.เพื่อนของ ฟ. ซึ่งยืนอยู่ด้วยกันแต่ไม่เห็นตอนล้วง ขอเรียกว่า จ.
4.พี่ชายผม ซึ่งยืนอยู่ด้วยกันกับ ฟ. และ จ. ขอเรียกว่า พี่ อ.
5.แฟนพี่ชายผม ตามมาทีหลังพร้อมๆกับผมเลย
6. จขกท. เอง
ขณะอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอสที่กำลังวิ่งเข้าสถานีชิดลม ซึ่งบนรถคนแน่นมากๆ Mr.B ฟ. จ. และพี่ อ. ได้ยืนอยู่บนรถไฟฟ้าขบวนนี้ใกล้ๆกัน รหว่างที่รถกำลังจอด ฟ. ได้เห็น ผู้ชายชาวต่างชาติคนนึงกำลังเหมือนจะล้วงกระเป๋า Mr.B จากทางกระเป๋าเงินซึ่งใส่ไว้ด้านหลังกระเป๋ากางเกงของเค้า พอผู้ชายคนนั้นล้วงเสร็จ Mr.B ก็ยังไม่รู้ตัว ผู้ชายคนนั้นก็เดินลงจากรถไฟฟ้าที่สถานีชิดลมทันที ทันใดนั้นฟ. ที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่ยังตกใจอยู่ จึงหันไปถาม จ. ว่ามะกี้เหมือนจะเห็นว่า Mr.B โดนล้วงกระเป๋า ทั้งสองคนจึงบอกให้ทาง Mr.B ลองดูกระเป๋าเงินว่ายังอยู่ไหม ซึ่งเป็ฯขณะเดียวกันกับที่ รถไฟฟ้า เคลื่อนตัวออกจากสถานีพอดี Mr.B ได้บอกว่ากระเป๋าเงินไม่อยู่แล้ว จึงทำให้รู้แน่ชัดว่าโดนล้วงจิง พี่อ. ซึ่งยืนอยู่ด้วย จึงแนะนำให้กดปุ่มแจ้งคนขับรถไฟฟ้า ซึ่งรถไฟฟ้าออกจากสถานีมาแล้วกดเท่าไหรๆ ก็ไม่มีคนตอบ กว่าจะมาตอบก็เกือบถึงสยามแล้ว พอตอบก็ปรมาณว่าไม่ค่อยได้ยินเสียงซักเท่าไหร พอมาถึงสถานีสยามเลยตัดสินใจบอก จนท. เพื่อขอดูกล้องทางทีมซีเคียวริตี้ได้บอกว่าให้ไปแจ้งความก่อน ซึ่ง สถานทีชิดลมอยู่ในท้องที่ของ สน.สวนลุมพินี จึงจะสามารถให้ดูกล้องวงจรปิดได้....
หลังจากตกลงกันพวกเราทั้ง 6 คนกลัวว่าจะต้องใช้เวลามากในการนั่งรถเพราะเป็นวันศุกร์รถติดมากๆ จึงตดสินใจนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่ สถานีศาลาแดง (ลืมบอกไป โชคดีมากที่วันนี้ Mr.B ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าแบบ One Day Pass) และเดินทะลุสวนลุมพินี เพื่อไปสน.ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่ง.... หลังจากพวกเรามาถึง สน.สวนลุมพินี กันแล้ว พวกเราได้เข้าไปแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันกับ พ.ต.ท.ท่านหนึ่ง ซึ่งหลังจากแจ้งความเสร็จ ตรวจท่านนี้ได้บอกพวกเราว่า ให้พวกเรากลับบ้านได้เลย เดี่ญวทางตำรวจจะจัดการเอง ซึ่ง!! พวกทาง ฟ. ก็บอกแล้วว่า ฟ. เป็นคนเห็นหน้าคนร้าย ตัว Mr.B เองไม่เห็นพวกเราจึงมาแจ้งความกันเพื่อเอาไปดูกล้องวงจรปิด ตกลงกันอยู่ซักพักนึง ตำรวจจึงยอม ใส่ชื่อของ ฟ. ลงไปเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ในใบแจ้งความนั้นด้วย จากนั้นพวกเราก็กลับกันออกมาจากสถานีตำรวจ ออกเดินเท้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าสถานีเพลินจิต เพื่อมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟฟ้าสยามอีกครั้งหนึ่ง ....ช่วงเวลาประมาณ 19.20 นาที ออกจากสถานีตำรวจ
******* สิ่งที่หายในกระเป๋าเงินคือมีเงินไทย 12,000 บาท เงินรูปี 1,000 รูปี ซิมการ์ด 2 ประเทศ บัตรเครดิต นามบัตร
เมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าสยาม พี่ๆ จนท.ที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดรถไฟฟ้า น่ารักมากๆ พวกพี่ๆ ได้ขอตรวจสอบเอกสารใบแจ้งความที่ได้มาจากนั้นพี่ๆ ได้เปิดรูปให้ดูเลยแล้วถามว่าคนนี้ใช่ไหม พี่ๆ เค้าได้ช่วยกันค้นหาผู้ต้องสัยตามที่เราบอก ตั้งแต่พวกเรามาแจ้งแล้ว พวกเราจึงไม่ต้องเสียเวลาค้นหา เจอรูปผู้ต้องสงสัยในทันที่ ซึ่งเมื่อ ฟ. เห็น ฟ. บอกเลยว่าใช่เลยคนนี้แหละ รูปที่เห็นเป็นรูปที่เดินออกจากสถานี เดินขึ้นขบวนรถ และช่วงเปิดกระเป๋าเงินดูหลังจากแตะบัตรออกจากสถานีไปแล้ว แต่ภาพทั้งหลายก็ไม่ชัดมากพอที่จะเห็นได้แน่ๆ ว่าใช่กระเป๋าเงินของเจ้าของรึเปล่า เท่านั้นไม่พอ พี่ๆ ที่น่ารักๆทุกๆคนยังบอกอีกว่า พี่ๆ ได้ดำเนินการส่งรูปให้ส่วนกลางแล้ว เพื่อให้รีบตามตรวจสอบตามสถานี ต่างๆ ที่คาดว่าผู้ต้องสัยจะอยู่ เพราะเกรงว่าอาจจะกลับมาก่อเหตุอีกได้... หลังจากที่พวกเราดูภาพไปสักพัก ทางพี่ๆ บีทีเอสถามถึงหนังสือขอภาพ
ซึ่งการที่จะได้ภาพออกไปนั้นจะต้องมีหนังสือจากทางตำรวจมาพี่ๆ ถึงจะส่งเรื่องไปที่สนง.ใหญ่ และจะไรท์ภาพใส่ซีดีมาให้ เราจึงบอกว่าทางตำรวจไม่ได้ให้เอกสารใดๆ มาเลย ทั้งยังบอกอีกว่า “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวตำรวจจัดการเอง” ผมก็เลยสอบถามจากพี่ๆ ว่าต้องทำอย่างไรอย่างนั้น พี่ๆ ได้บอกว่า ให้พวกเราเอาหนังสือตัวอย่างไป ต้องใช้เวลา 3 วัน เป็นอย่างน้อยในการขอภาพ ซึ่งต้องให้ตำรวจออกหนังสือที่มีตราครุฑให้ และให้เอาหนังสือกลับมาส่ง จากนั้นวันรับซีดีต้องให้ตำรวจเท่านั้นมารับซีดีจากทางบีทีเอส (ยุ่งยากมากกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!! ฟังละอยากกลับบ้านนอน Zzzzzz) ช่วงเวลาประมาณ 20.15 นาที อยู่บีทีเอสสยาม
จากนั้นพวกเราจึงตกลงกัน ว่าจะมีใครกลับก่อนไหม สรุปแล้วก็คือไหนๆ ก็ช่วยมาขนาดนี้แล้วอีกนิดนึงจะเป็นไรไป พวกเราจึงพาเค้านั่งรถไฟฟ้า กลับไปที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท ซอย 11 เพื่อไปเอาเงินที่เค้าสำรองไว้ (โชคดีมากกกกก นอกจากเค้าจะสำรองเงินไว้แล้วนะ พาสปอร์ตก็อยู่ โรงแรม อีก 2 วันเค้าจะเดินทางกลับแล้ว ตั๋วเครื่องบินก็จองแล้ว อิอิ อย่างน้อยก็กลับบ้านที่เนปาลได้ละน่ะ ผมคิดในใจ 55555) จากที่ออกจากโรงแรมเราก็ได้นั่งแท็กซี่ไป สน.ลุมพินี ขอบคุณพี่แท็กซี่มากๆ ที่รับพวกเรา 6 คนอัดกันเป็นปลากระป๋องไปจนถึง ฮ่าๆ ..........
ช่วงเวลาประมาณ 21.10 นาที กลับมาถึงสถานีตำรวจกันอีกครั้ง กลับมาเจอท่าน!!! พ.ต.ท. ท่านนี้อีกครั้ง... เมื่อมาถึงพวกผมได้แจ้งตามที่ทราบมาว่าทางพี่ๆ ที่บีทีเอสต้องการเอกสารที่สถานีตำรวจออกให้ บลาๆๆ เพื่อให้ไปขอภาพจากบีทีเอส ซึ่งพวกผมก็แจ้งไป ทางตำรวจก็บอกว่าจะออกให้แล้วเอาไปให้เอง ตามเดิม!!!!!!!!!! ซึ่งพวกผมก็ปฏิเสธกันเต็มที่มากๆ เนื่องจากคิดว่าถ้ารอกว่าเรื่องจะดำเนินการคงใช้เวลาแน่ๆ ผมเลยพยายามจะยืนยันว่าจะเอาให้ได้ เค้าบอกได้ ถ้าจะเอาพรุ่งนี้มาเอาตอน 6 โมงเย็น เพราะต้องรอให้นายเซนต์ให้ ค่อยมาเอา 6 โมงเย็น พวกเราพูดอะไรกันไม่ออกก็เลย ต้องยอมกลับแต่โดยดี เพราะท่านเล่นถีบไถ่ไล่ส่งอย่างเดียว พูดอย่างเดียวยังไม่ว่าง -........- โอเคๆ กลับก็กลับ กลับบบบบบบบก็ได้ !!
พวกเราออกมายืนตกลงกันอยู่หน้า สน.ชั่วครู่ ทางผู้เสียหายจะพาพวกเราไปเลี้ยงข้าว ณ ตอนนั้นก็จะ 4 ทุ่มแล้วก็เลยตัดสินใจไปกินแมคโดนัลที่ ตึกสีลมกัน......
ระหว่างกินแมคกันอยู่นั้น มีโทรศัพท์เข้ามาที่เบอร์ของ ฟ. สรุปคือ พี่ๆ ทีมซีเคียวริตี้ของบีทีเอส เจอตัวปัญหาแล้ว กำลังพาไปที่กองกำการตำรวจท่องเที่ยว ให้เราไปเจอพี่เค้าที่สถานีบีทีเอสสยาม เมื่อเราไปถึงมี พี่ผู้ชายคนนึง พาเราไปขึ้นรถไฟฟ้าต่อไปสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ และเดินเข้าไปที่...สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับ 1 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ช่วงเวลาประมาณ 22.42 นาที
ระหว่างทางที่เดินเข้าไปนั้นก็ได้สอบถามกะทางพี่ๆ ทีมของบีทีเอสที่พามาว่า ไปเจอมาได้อย่างไร พี่ๆ บอกว่า เจอตัวอยู่แถวๆ สถานีนานา จึงนำตัวมาส่งตำรวจท่องเที่ยวและก็แจ้งให้พวกเราทราบ...
มาถึงจุดนี้มีบุคคลเพิ่มมาอีก 3 คน..
1.พี่เต้ เป็นสารวัตร
2.พี่อาร์ม เป็นรองสารวัตร
3.ชายคนล้วงกระเป๋า สอบถามได้ความว่าเป็นชาวแอลจีเรีย
เมื่อมาถึงเราได้เดินไปดูผู้หน้าคนที่จับมาได้ สรุปคือใช่ ฟ. บอกว่าคนนี้แหละใช่เลย ซึ่งเค้าก็นั่งนิ่งงงงและเฉยมากๆ ทำหน้าแบบไม่รู้อะไรเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จึงได้สอบถามพี่เต้ๆ บอกว่า ในตัวเค้ามีเงินอยู่ 19,000 บาท ไม่มีพาสปอตตัวจริงแต่มีสำเนา เน่าๆ อยู่ 1 ใบ (เน่ามากกกกกกกก จับแป๊บเดียวขาดเลย -…..- ) หลักฐานอย่างอื่นที่ขโมยไปไม่มีเลย และก็มีโทรศัพท์มือถือซัมซุงอีก 1 เครื่อง สอบถามมาได้ว่าพาสปอตอยู่ที่แฟนๆ อยู่จังหวัดพิษณุโลก ที่พักๆ อยู่แถวๆ รัชดา จากนั้นพี่อาร์มจึงพาเราเข้าไปหาพี่เต้ ซึ่งพี่เต้ได้ขอให้พวกเราอยู่กันดึกหน่อยเพื่อเค้าจะทำสำนวนและให้พวกเราเป็นพยาน เพื่อเอาสำนวนนี้ไปส่งที่ สน.ท้องที่อีกที เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวนั้น ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนผู้ต้องหา จึงต้องรวบรวมข้อมูลและหลักฐานส่งเรื่องทั้งหมดไปที่ สน.ลุมพินีที่เป็น สน.ท้องที่ๆ เกิดเรื่อง...... หลังจากที่รอพี่ๆ ทำสำนวนเสร็จ ได้ใช้โทรศัพท์ของผู้ต้องสงสัยโทรไปหาแฟนเค้าครับซึ่งเป็นคนไทย ถามเค้าว่าพาสปอตผู้ชายคนนี้อยู่ที่ไหน คนที่เป็นแฟนบอกไม่ทราบ และถามว่าผู้ชายคนนี้แฟนคุณเนี่ยพักอยู่ที่ไหน เค้าบอกว่า พักอยู่กับเพื่อนแถวๆ รามคำแหง และก็ให้การวนไปวนมา เสียงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน คุยไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย เลิกคุย จากนั้น พี่อาร์มจะพาชายคนล้วงกระเป๋าพร้อมสำนวนที่พี่เต้ทำให้ไปที่ สน.สวนลุมพินีอีกครั้ง ช่วงเวลาประมาณตี 2 ส่วนพวกเราทั้ง 6 คนก็นั่งรถตู้ตามไป ระหว่างสอบสวนย่อยๆ นั้นได้มีพี่คนที่เป็นล่ามได้แปลคำพูดหนึ่งของ Mr.B ให้ฟังประมาณว่า “ขอบคุณน้องๆ ทุกๆ คนที่มาช่วยเค้าในวันนี้ ที่ช่วยตามเรื่องดำเนินเรื่องให้ จนดึกๆ ดื่นๆ ถึงป่านนี้ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องของน้องๆ เลยซักนิด ที่เค้าทำวันนี้ทั้งหมดนี้เค้าก็ไม่หวังเลยว่าของจะได้กลับคืนมา เค้าแค่ไม่อยากให้คนเลวๆ แบบนี้อยู่ในประเทศไทย ประเทศนี้ที่เค้าชอบ และจะได้ไม่ต้องมีคนอื่นมาโดนเหมือนเค้าอีก อยากให้เรื่องเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นระวังตัว จะได้ไม่ต้องมาโดนเหมือนเค้าอีก” ฟังละซึ้งงง จริงๆ (ลืมบอกไป ท่าน พ.ต.ท.ท่านเมื่อหัวค่ำออกเวรแล้ว!!!!!!!!!) เรื่องทั้งหมดเหมือนจะจบแค่นั้นแต่มันยังไม่จบเท่านั้น เพราะการสอบสวนต้องใช้เวลานานทางตำรวจจึงบอกว่าต้องขอสอบสวนคนอื่นก่อนและสอบสวนพยานทีหลัง ซึ่งใช้เวลานาน จึงให้พวกเรากลับบ้านกันก่อนเพราะ ขณะนั้น เวลาตี 3 กว่าแล้ว ทางร้อยเวรบอกว่าจะนัด ฟ. มาอีกครั้งนึงในวันรุ่งขึ้นเพื่อสอบสวนพยาน พวกเราจำต้องยอมกลับ ส่วนทางชายคนล้วงกระเป๋า พี่อาร์มและพี่ๆ ตำรวจท่องเที่ยว ยังคงที่จะอยู่ที่ สน. เพื่อรอส่งตัวผู้ต้องหากันต่อไป ครับ...............ช่วงเวลาประมาณตี 3.35 นาที ออกจาก สน.สวนลุมพินี
[เตือนภัย]เรื่องเล่า:โจรลักทรัพย์บนรถไฟฟ้าบีทีเอสกับเหล่าพยานพิทักษ์ผู้เสียหาย
ขอออกตัวก่อนว่า จขกท.เองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนโดนล้วง แต่อยู่ในเหตุการณ์หลังจากนั้น....
ระหว่างนั่งรอพี่ชายอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อรอพี่ชายไปดูหนัง ได้โทรไปถามพี่ชายเพื่อสอบถามว่ามาถึงไหนแล้ว พี่ชายได้บอกว่าเกิดเหตุการณ์ล้วงกระเป๋าขึ้นเมื่อกี้นี้ ให้มาเจอกันที่ห้องของรปภ.ของบีทีเอส เมื่อไปถึงพี่ชายกำลังเดินออกมาพอดี ทางบีทีเอสแจ้งว่าให้ไปแจ้งความที่ สน.สวนลุมพินี ก่อนระหว่างทางที่นั่งรถไฟฟ้าไป ก็ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น....
จำนวนคนหลักๆ ในเหตุการณ์วันนี้มี ทั้งหมด 6 คน
1.ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นชาวเนปาล ขอเรียกว่า Mr.B
2.พยานผู้เห็นตอนล้วง ขอเรียกว่า ฟ.
3.เพื่อนของ ฟ. ซึ่งยืนอยู่ด้วยกันแต่ไม่เห็นตอนล้วง ขอเรียกว่า จ.
4.พี่ชายผม ซึ่งยืนอยู่ด้วยกันกับ ฟ. และ จ. ขอเรียกว่า พี่ อ.
5.แฟนพี่ชายผม ตามมาทีหลังพร้อมๆกับผมเลย
6. จขกท. เอง
ขณะอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอสที่กำลังวิ่งเข้าสถานีชิดลม ซึ่งบนรถคนแน่นมากๆ Mr.B ฟ. จ. และพี่ อ. ได้ยืนอยู่บนรถไฟฟ้าขบวนนี้ใกล้ๆกัน รหว่างที่รถกำลังจอด ฟ. ได้เห็น ผู้ชายชาวต่างชาติคนนึงกำลังเหมือนจะล้วงกระเป๋า Mr.B จากทางกระเป๋าเงินซึ่งใส่ไว้ด้านหลังกระเป๋ากางเกงของเค้า พอผู้ชายคนนั้นล้วงเสร็จ Mr.B ก็ยังไม่รู้ตัว ผู้ชายคนนั้นก็เดินลงจากรถไฟฟ้าที่สถานีชิดลมทันที ทันใดนั้นฟ. ที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่ยังตกใจอยู่ จึงหันไปถาม จ. ว่ามะกี้เหมือนจะเห็นว่า Mr.B โดนล้วงกระเป๋า ทั้งสองคนจึงบอกให้ทาง Mr.B ลองดูกระเป๋าเงินว่ายังอยู่ไหม ซึ่งเป็ฯขณะเดียวกันกับที่ รถไฟฟ้า เคลื่อนตัวออกจากสถานีพอดี Mr.B ได้บอกว่ากระเป๋าเงินไม่อยู่แล้ว จึงทำให้รู้แน่ชัดว่าโดนล้วงจิง พี่อ. ซึ่งยืนอยู่ด้วย จึงแนะนำให้กดปุ่มแจ้งคนขับรถไฟฟ้า ซึ่งรถไฟฟ้าออกจากสถานีมาแล้วกดเท่าไหรๆ ก็ไม่มีคนตอบ กว่าจะมาตอบก็เกือบถึงสยามแล้ว พอตอบก็ปรมาณว่าไม่ค่อยได้ยินเสียงซักเท่าไหร พอมาถึงสถานีสยามเลยตัดสินใจบอก จนท. เพื่อขอดูกล้องทางทีมซีเคียวริตี้ได้บอกว่าให้ไปแจ้งความก่อน ซึ่ง สถานทีชิดลมอยู่ในท้องที่ของ สน.สวนลุมพินี จึงจะสามารถให้ดูกล้องวงจรปิดได้....
หลังจากตกลงกันพวกเราทั้ง 6 คนกลัวว่าจะต้องใช้เวลามากในการนั่งรถเพราะเป็นวันศุกร์รถติดมากๆ จึงตดสินใจนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่ สถานีศาลาแดง (ลืมบอกไป โชคดีมากที่วันนี้ Mr.B ซื้อตั๋วรถไฟฟ้าแบบ One Day Pass) และเดินทะลุสวนลุมพินี เพื่อไปสน.ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่ง.... หลังจากพวกเรามาถึง สน.สวนลุมพินี กันแล้ว พวกเราได้เข้าไปแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันกับ พ.ต.ท.ท่านหนึ่ง ซึ่งหลังจากแจ้งความเสร็จ ตรวจท่านนี้ได้บอกพวกเราว่า ให้พวกเรากลับบ้านได้เลย เดี่ญวทางตำรวจจะจัดการเอง ซึ่ง!! พวกทาง ฟ. ก็บอกแล้วว่า ฟ. เป็นคนเห็นหน้าคนร้าย ตัว Mr.B เองไม่เห็นพวกเราจึงมาแจ้งความกันเพื่อเอาไปดูกล้องวงจรปิด ตกลงกันอยู่ซักพักนึง ตำรวจจึงยอม ใส่ชื่อของ ฟ. ลงไปเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ในใบแจ้งความนั้นด้วย จากนั้นพวกเราก็กลับกันออกมาจากสถานีตำรวจ ออกเดินเท้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าสถานีเพลินจิต เพื่อมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟฟ้าสยามอีกครั้งหนึ่ง ....ช่วงเวลาประมาณ 19.20 นาที ออกจากสถานีตำรวจ
******* สิ่งที่หายในกระเป๋าเงินคือมีเงินไทย 12,000 บาท เงินรูปี 1,000 รูปี ซิมการ์ด 2 ประเทศ บัตรเครดิต นามบัตร
เมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าสยาม พี่ๆ จนท.ที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดรถไฟฟ้า น่ารักมากๆ พวกพี่ๆ ได้ขอตรวจสอบเอกสารใบแจ้งความที่ได้มาจากนั้นพี่ๆ ได้เปิดรูปให้ดูเลยแล้วถามว่าคนนี้ใช่ไหม พี่ๆ เค้าได้ช่วยกันค้นหาผู้ต้องสัยตามที่เราบอก ตั้งแต่พวกเรามาแจ้งแล้ว พวกเราจึงไม่ต้องเสียเวลาค้นหา เจอรูปผู้ต้องสงสัยในทันที่ ซึ่งเมื่อ ฟ. เห็น ฟ. บอกเลยว่าใช่เลยคนนี้แหละ รูปที่เห็นเป็นรูปที่เดินออกจากสถานี เดินขึ้นขบวนรถ และช่วงเปิดกระเป๋าเงินดูหลังจากแตะบัตรออกจากสถานีไปแล้ว แต่ภาพทั้งหลายก็ไม่ชัดมากพอที่จะเห็นได้แน่ๆ ว่าใช่กระเป๋าเงินของเจ้าของรึเปล่า เท่านั้นไม่พอ พี่ๆ ที่น่ารักๆทุกๆคนยังบอกอีกว่า พี่ๆ ได้ดำเนินการส่งรูปให้ส่วนกลางแล้ว เพื่อให้รีบตามตรวจสอบตามสถานี ต่างๆ ที่คาดว่าผู้ต้องสัยจะอยู่ เพราะเกรงว่าอาจจะกลับมาก่อเหตุอีกได้... หลังจากที่พวกเราดูภาพไปสักพัก ทางพี่ๆ บีทีเอสถามถึงหนังสือขอภาพ
ซึ่งการที่จะได้ภาพออกไปนั้นจะต้องมีหนังสือจากทางตำรวจมาพี่ๆ ถึงจะส่งเรื่องไปที่สนง.ใหญ่ และจะไรท์ภาพใส่ซีดีมาให้ เราจึงบอกว่าทางตำรวจไม่ได้ให้เอกสารใดๆ มาเลย ทั้งยังบอกอีกว่า “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวตำรวจจัดการเอง” ผมก็เลยสอบถามจากพี่ๆ ว่าต้องทำอย่างไรอย่างนั้น พี่ๆ ได้บอกว่า ให้พวกเราเอาหนังสือตัวอย่างไป ต้องใช้เวลา 3 วัน เป็นอย่างน้อยในการขอภาพ ซึ่งต้องให้ตำรวจออกหนังสือที่มีตราครุฑให้ และให้เอาหนังสือกลับมาส่ง จากนั้นวันรับซีดีต้องให้ตำรวจเท่านั้นมารับซีดีจากทางบีทีเอส (ยุ่งยากมากกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!! ฟังละอยากกลับบ้านนอน Zzzzzz) ช่วงเวลาประมาณ 20.15 นาที อยู่บีทีเอสสยาม
จากนั้นพวกเราจึงตกลงกัน ว่าจะมีใครกลับก่อนไหม สรุปแล้วก็คือไหนๆ ก็ช่วยมาขนาดนี้แล้วอีกนิดนึงจะเป็นไรไป พวกเราจึงพาเค้านั่งรถไฟฟ้า กลับไปที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท ซอย 11 เพื่อไปเอาเงินที่เค้าสำรองไว้ (โชคดีมากกกกก นอกจากเค้าจะสำรองเงินไว้แล้วนะ พาสปอร์ตก็อยู่ โรงแรม อีก 2 วันเค้าจะเดินทางกลับแล้ว ตั๋วเครื่องบินก็จองแล้ว อิอิ อย่างน้อยก็กลับบ้านที่เนปาลได้ละน่ะ ผมคิดในใจ 55555) จากที่ออกจากโรงแรมเราก็ได้นั่งแท็กซี่ไป สน.ลุมพินี ขอบคุณพี่แท็กซี่มากๆ ที่รับพวกเรา 6 คนอัดกันเป็นปลากระป๋องไปจนถึง ฮ่าๆ ..........
ช่วงเวลาประมาณ 21.10 นาที กลับมาถึงสถานีตำรวจกันอีกครั้ง กลับมาเจอท่าน!!! พ.ต.ท. ท่านนี้อีกครั้ง... เมื่อมาถึงพวกผมได้แจ้งตามที่ทราบมาว่าทางพี่ๆ ที่บีทีเอสต้องการเอกสารที่สถานีตำรวจออกให้ บลาๆๆ เพื่อให้ไปขอภาพจากบีทีเอส ซึ่งพวกผมก็แจ้งไป ทางตำรวจก็บอกว่าจะออกให้แล้วเอาไปให้เอง ตามเดิม!!!!!!!!!! ซึ่งพวกผมก็ปฏิเสธกันเต็มที่มากๆ เนื่องจากคิดว่าถ้ารอกว่าเรื่องจะดำเนินการคงใช้เวลาแน่ๆ ผมเลยพยายามจะยืนยันว่าจะเอาให้ได้ เค้าบอกได้ ถ้าจะเอาพรุ่งนี้มาเอาตอน 6 โมงเย็น เพราะต้องรอให้นายเซนต์ให้ ค่อยมาเอา 6 โมงเย็น พวกเราพูดอะไรกันไม่ออกก็เลย ต้องยอมกลับแต่โดยดี เพราะท่านเล่นถีบไถ่ไล่ส่งอย่างเดียว พูดอย่างเดียวยังไม่ว่าง -........- โอเคๆ กลับก็กลับ กลับบบบบบบบก็ได้ !!
พวกเราออกมายืนตกลงกันอยู่หน้า สน.ชั่วครู่ ทางผู้เสียหายจะพาพวกเราไปเลี้ยงข้าว ณ ตอนนั้นก็จะ 4 ทุ่มแล้วก็เลยตัดสินใจไปกินแมคโดนัลที่ ตึกสีลมกัน......
ระหว่างกินแมคกันอยู่นั้น มีโทรศัพท์เข้ามาที่เบอร์ของ ฟ. สรุปคือ พี่ๆ ทีมซีเคียวริตี้ของบีทีเอส เจอตัวปัญหาแล้ว กำลังพาไปที่กองกำการตำรวจท่องเที่ยว ให้เราไปเจอพี่เค้าที่สถานีบีทีเอสสยาม เมื่อเราไปถึงมี พี่ผู้ชายคนนึง พาเราไปขึ้นรถไฟฟ้าต่อไปสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ และเดินเข้าไปที่...สถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับ 1 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ช่วงเวลาประมาณ 22.42 นาที
ระหว่างทางที่เดินเข้าไปนั้นก็ได้สอบถามกะทางพี่ๆ ทีมของบีทีเอสที่พามาว่า ไปเจอมาได้อย่างไร พี่ๆ บอกว่า เจอตัวอยู่แถวๆ สถานีนานา จึงนำตัวมาส่งตำรวจท่องเที่ยวและก็แจ้งให้พวกเราทราบ...
มาถึงจุดนี้มีบุคคลเพิ่มมาอีก 3 คน..
1.พี่เต้ เป็นสารวัตร
2.พี่อาร์ม เป็นรองสารวัตร
3.ชายคนล้วงกระเป๋า สอบถามได้ความว่าเป็นชาวแอลจีเรีย
เมื่อมาถึงเราได้เดินไปดูผู้หน้าคนที่จับมาได้ สรุปคือใช่ ฟ. บอกว่าคนนี้แหละใช่เลย ซึ่งเค้าก็นั่งนิ่งงงงและเฉยมากๆ ทำหน้าแบบไม่รู้อะไรเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จึงได้สอบถามพี่เต้ๆ บอกว่า ในตัวเค้ามีเงินอยู่ 19,000 บาท ไม่มีพาสปอตตัวจริงแต่มีสำเนา เน่าๆ อยู่ 1 ใบ (เน่ามากกกกกกกก จับแป๊บเดียวขาดเลย -…..- ) หลักฐานอย่างอื่นที่ขโมยไปไม่มีเลย และก็มีโทรศัพท์มือถือซัมซุงอีก 1 เครื่อง สอบถามมาได้ว่าพาสปอตอยู่ที่แฟนๆ อยู่จังหวัดพิษณุโลก ที่พักๆ อยู่แถวๆ รัชดา จากนั้นพี่อาร์มจึงพาเราเข้าไปหาพี่เต้ ซึ่งพี่เต้ได้ขอให้พวกเราอยู่กันดึกหน่อยเพื่อเค้าจะทำสำนวนและให้พวกเราเป็นพยาน เพื่อเอาสำนวนนี้ไปส่งที่ สน.ท้องที่อีกที เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวนั้น ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนผู้ต้องหา จึงต้องรวบรวมข้อมูลและหลักฐานส่งเรื่องทั้งหมดไปที่ สน.ลุมพินีที่เป็น สน.ท้องที่ๆ เกิดเรื่อง...... หลังจากที่รอพี่ๆ ทำสำนวนเสร็จ ได้ใช้โทรศัพท์ของผู้ต้องสงสัยโทรไปหาแฟนเค้าครับซึ่งเป็นคนไทย ถามเค้าว่าพาสปอตผู้ชายคนนี้อยู่ที่ไหน คนที่เป็นแฟนบอกไม่ทราบ และถามว่าผู้ชายคนนี้แฟนคุณเนี่ยพักอยู่ที่ไหน เค้าบอกว่า พักอยู่กับเพื่อนแถวๆ รามคำแหง และก็ให้การวนไปวนมา เสียงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน คุยไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย เลิกคุย จากนั้น พี่อาร์มจะพาชายคนล้วงกระเป๋าพร้อมสำนวนที่พี่เต้ทำให้ไปที่ สน.สวนลุมพินีอีกครั้ง ช่วงเวลาประมาณตี 2 ส่วนพวกเราทั้ง 6 คนก็นั่งรถตู้ตามไป ระหว่างสอบสวนย่อยๆ นั้นได้มีพี่คนที่เป็นล่ามได้แปลคำพูดหนึ่งของ Mr.B ให้ฟังประมาณว่า “ขอบคุณน้องๆ ทุกๆ คนที่มาช่วยเค้าในวันนี้ ที่ช่วยตามเรื่องดำเนินเรื่องให้ จนดึกๆ ดื่นๆ ถึงป่านนี้ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องของน้องๆ เลยซักนิด ที่เค้าทำวันนี้ทั้งหมดนี้เค้าก็ไม่หวังเลยว่าของจะได้กลับคืนมา เค้าแค่ไม่อยากให้คนเลวๆ แบบนี้อยู่ในประเทศไทย ประเทศนี้ที่เค้าชอบ และจะได้ไม่ต้องมีคนอื่นมาโดนเหมือนเค้าอีก อยากให้เรื่องเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นระวังตัว จะได้ไม่ต้องมาโดนเหมือนเค้าอีก” ฟังละซึ้งงง จริงๆ (ลืมบอกไป ท่าน พ.ต.ท.ท่านเมื่อหัวค่ำออกเวรแล้ว!!!!!!!!!) เรื่องทั้งหมดเหมือนจะจบแค่นั้นแต่มันยังไม่จบเท่านั้น เพราะการสอบสวนต้องใช้เวลานานทางตำรวจจึงบอกว่าต้องขอสอบสวนคนอื่นก่อนและสอบสวนพยานทีหลัง ซึ่งใช้เวลานาน จึงให้พวกเรากลับบ้านกันก่อนเพราะ ขณะนั้น เวลาตี 3 กว่าแล้ว ทางร้อยเวรบอกว่าจะนัด ฟ. มาอีกครั้งนึงในวันรุ่งขึ้นเพื่อสอบสวนพยาน พวกเราจำต้องยอมกลับ ส่วนทางชายคนล้วงกระเป๋า พี่อาร์มและพี่ๆ ตำรวจท่องเที่ยว ยังคงที่จะอยู่ที่ สน. เพื่อรอส่งตัวผู้ต้องหากันต่อไป ครับ...............ช่วงเวลาประมาณตี 3.35 นาที ออกจาก สน.สวนลุมพินี