สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ชอบมากค่ะ
เป็นหนังที่ดูเหมือนจะมุ๊งมิ๊ง แต่เนื้อหาหนักมากๆ สำหรับเด็กๆ ถ้าดูไปและคิดไปด้วย
เช่น การเปิดเรื่องด้วยการเปรียบเทียบอาณาจักร fairy ที่ไม่ต้องมีกษัตริย์ เพราะอยู่กันแบบเชื่อใจและเกื้อกูลกัน กับอาณาจักรมนุษย์ ที่ปกครองด้วยกษัตริย์ เป็นอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน อิจฉาริษยา ละโมภ ทรยศ หักหลัง
และมีการดำเนินเรื่องที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับปรัชญาการใช้ชีวิตตลอดเวลา และแอบจิกกัดความเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเรื่อง รวมถึงตอนที่ Maleficent สู้ชนะ Stefan และมีโอกาสที่จะฆ่า แต่เธอก็ไม่ฆ่า และพูดว่า "It's over." - "โอเค เลิกแล้วต่อกันนะ ชั้นให้อภัยในสิ่งที่เธอทำไว้กับชั้น" แล้วเธอก็หันหลังกำลังจะเดินจากไป.....แต่ Stefan (ด้วยความเป็นมนุษญ์ที่มีจิตใจต่ำช้า) ไม่ยอมเลิก ไม่รู้จักคำว่าให้อภัย กลับลอบทำร้ายเธอจากข้างหลัง แต่ในที่สุดก็ต้องพบกับจุดจบเพราะความเคียดแค้น ชิงชัง ของตัวเอง และการไม่รู้จักให้อภัย - เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากใครสามารถ "ให้อภัย" ได้ ก็ถือว่าอยู่เหนือความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆไปขั้นนึงแล้วค่ะ
เด็กๆ คงดูกันสนุกเพราะมีพี่อีกาเป็นจุดดึงดูด สร้างความขบขัน
ผู้ใหญ่ คงดูแล้วแสบๆคันๆ เพราะเหมือนโดนนางฟ้าเสียดสีความเป็นมนุษย์ของเราตลอดทั้งเรื่อง
ป.ล. แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เรื่องนี้ แค่ไปดูการแสดงของ แองจี้ ที่เข้าถึงบทบาทสุดๆ ก็คุ้มแล้วค่ะ โดยเฉพาะฉากที่เธอเดินเข้าไประหว่างพิธี Christening ของ Aurora และบทที่เธอพูดในฉากนั้น

เป็นหนังที่ดูเหมือนจะมุ๊งมิ๊ง แต่เนื้อหาหนักมากๆ สำหรับเด็กๆ ถ้าดูไปและคิดไปด้วย
เช่น การเปิดเรื่องด้วยการเปรียบเทียบอาณาจักร fairy ที่ไม่ต้องมีกษัตริย์ เพราะอยู่กันแบบเชื่อใจและเกื้อกูลกัน กับอาณาจักรมนุษย์ ที่ปกครองด้วยกษัตริย์ เป็นอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน อิจฉาริษยา ละโมภ ทรยศ หักหลัง
และมีการดำเนินเรื่องที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับปรัชญาการใช้ชีวิตตลอดเวลา และแอบจิกกัดความเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเรื่อง รวมถึงตอนที่ Maleficent สู้ชนะ Stefan และมีโอกาสที่จะฆ่า แต่เธอก็ไม่ฆ่า และพูดว่า "It's over." - "โอเค เลิกแล้วต่อกันนะ ชั้นให้อภัยในสิ่งที่เธอทำไว้กับชั้น" แล้วเธอก็หันหลังกำลังจะเดินจากไป.....แต่ Stefan (ด้วยความเป็นมนุษญ์ที่มีจิตใจต่ำช้า) ไม่ยอมเลิก ไม่รู้จักคำว่าให้อภัย กลับลอบทำร้ายเธอจากข้างหลัง แต่ในที่สุดก็ต้องพบกับจุดจบเพราะความเคียดแค้น ชิงชัง ของตัวเอง และการไม่รู้จักให้อภัย - เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากใครสามารถ "ให้อภัย" ได้ ก็ถือว่าอยู่เหนือความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆไปขั้นนึงแล้วค่ะ
เด็กๆ คงดูกันสนุกเพราะมีพี่อีกาเป็นจุดดึงดูด สร้างความขบขัน
ผู้ใหญ่ คงดูแล้วแสบๆคันๆ เพราะเหมือนโดนนางฟ้าเสียดสีความเป็นมนุษย์ของเราตลอดทั้งเรื่อง
ป.ล. แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เรื่องนี้ แค่ไปดูการแสดงของ แองจี้ ที่เข้าถึงบทบาทสุดๆ ก็คุ้มแล้วค่ะ โดยเฉพาะฉากที่เธอเดินเข้าไประหว่างพิธี Christening ของ Aurora และบทที่เธอพูดในฉากนั้น

ความคิดเห็นที่ 21
ผิดหวังอย่างที่สุดครับ
จะให้สรุปย่อๆ มั้นคือ Fan-fiction ที่เขียนมาอวยมาเลฟิเซนต์แบบโอเวอร์เกินเหตุ ไม่ได้มีการวางบทที่ลุ่มลึกหรือผูกเรื่องอะไรเลย
สรุปยาวๆ
-สำหรับหนังที่คิดจะเล่าเรื่องของ "วายร้าย" (มาเลเฟิเซนต์) บทดันมักง่ายสุดๆด้วยการทำตัว "ตัวร้าย" (พระราชา) ให้เป็นตัวละครมิติเดียว เลวสุดขั้ว ไม่มีแง่มุม ไม่มีความน่าสนใจ แค่ต้องทำตัวละครพระราชาให้ร้ายเพราะไม่งั้นมาเลฟิเซนต์จะเป็นตัวเอกไม่ได้
-จริงอยู่หนังให้ชื่อเรื่อง "มาเลฟิเซนต์" และการที่นางจะเป็นจุดเด่นของเรื่องก็ถูกต้องแล้ว แต่หนังทิ้งโครงเรื่องของ "เจ้าหญิงนิทรา" ออกไปเกือบหมด ฉากของเรื่องเล่นออกมาเหมือนละครโรงเรียนที่ข้ามจากเหตุการณ์หนึ่งไปอีกเหตุการณ์หนึ่ง ไม่มีความไหลลื่นต่อเนื่องในการเล่าเรื่อง แค่ทำออกมาเพื่อให้มาเลฟิเซนต์ได้โชว์ตัวเป็นช่วงๆแค่นั้น
-ประเด็นของเรื่องอ่อนมาก ผมเคืองสุดตรงฉากที่ทหารรุมจับมาเลฟิเซนต์ตอนท้ายเรื่องแล้วผลักออโรร่าทิ้งไป คือมันยิ่งตอกย้ำความอ่อนของตัวละคร บทเขียนมนุษย์ชั่วร้ายแบบบ้าบอไปเลย ไม่มอง ไม่สน ไม่ดูสถานการณ์ใดๆทั้งสิ้น ถึงเวลาต้องออกมากระทำชำเราตัวเอกก็วิ่งกรูกันออกมาแบบโง่ๆ ไม่มีใครซักคนคิดเลยว่าเจ้าหญิงของอาณาจักรยืนขวางอยู่ตรงนั้น
ซึ่งผมว่าฉากตรงมันแก้ได้ง่ายๆนิดเดียว อย่างน้อยให้พวกทหารชะงักสักนิดตอนเห็นออโรร่ายืนปกป้องมาเลฟิเซนต์(คือทำเป็นงงๆ 'อ้าว? เจ้าหญิงท่านฟื้นแล้วเหรอ? ฝีมือใคร?') แล้วจากนั้นสเตฟานค่อยออกมาสั่งทหารให้พาตัวออโรร่าออกไปแล้วจัดการมาเลฟิเซนต์ต่อก็ได้ แบบนี้ยังรู้สึกว่าตัวละครในเรื่องมันมีการกระทำสัมพันธ์กันบ้าง
-หนังไม่ปราณีกับบทของเจ้าชายฟิลิปเลย แล้วเขียนสกรีนเพลย์ได้เหมือนแฟนฟิคที่สุดก็ตอนที่มาเลฟิเซนต์ใช้เวทมนต์พาฟิลิปลอยเข้ามาในปราสาท คือมันใช่เลย!!...ผมไม่รู้ว่าอะไรแย่กว่ากันระหว่างนี่คือบทที่เขียนแบบสุกเอาเผากิน...หรือนี่คือบทที่ทีมงานคิดและกรั่นกรองมาแล้วยังมาจบลงที่ฉากนี้??? ทั้งยัดเยียด ทั้งมักง่าย ทั้งดาวน์เกรดตัวละครอื่นๆจนดูเหมือนตัวตลกเพียงเพื่อจะให้มาเลฟิเซนต์เด่นอยู่คนเดียว
บอกตรงๆว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้ผมเริ่มกังวลกับอนาคตของ Live Action ดิสนีย์ เพราะในขณะที่คุณมีหัวเรื่องที่น่าสนใจมากๆ แต่ผลงานที่ออกมากลับไม่มีมนต์ขลังหรือความละเมียดละไม่เหมือนแต่ก่อน
ถ้าเทียบกันแล้ว จริงอยู่ว่าสโนวไวท์เวอร์ชั่นการ์ตูนอาจจะไม่มีเนื้อเรื่องหักมุม นางเอกก็แบนๆมิติเดียว แถมบทยังน้ำเน่าเจ้าชายเจ้าหญิงรักกันแต่แรกพบ ทว่าการดำเนินเรื่องยังมีสเน่ห์และชั้นเชิงมากกว่าเป็นไหนๆ มีช่วงผ่อน ช่วงคั้น ช่วงบีบอารมณ์ ตัวละครทุกตัวมีบทให้เล่น คนบ๊องก็บ๊อง คนจริงจังก็จริงจัง ขนาดวายร้ายเก่าเก็บอย่างราชินีแม่เลี้ยงยังดูมีชีวิตชีวากว่าราชาสเตฟานหลายเท่า
---------------------------------------------------------------------------------------
จะให้สรุปย่อๆ มั้นคือ Fan-fiction ที่เขียนมาอวยมาเลฟิเซนต์แบบโอเวอร์เกินเหตุ ไม่ได้มีการวางบทที่ลุ่มลึกหรือผูกเรื่องอะไรเลย
สรุปยาวๆ
-สำหรับหนังที่คิดจะเล่าเรื่องของ "วายร้าย" (มาเลเฟิเซนต์) บทดันมักง่ายสุดๆด้วยการทำตัว "ตัวร้าย" (พระราชา) ให้เป็นตัวละครมิติเดียว เลวสุดขั้ว ไม่มีแง่มุม ไม่มีความน่าสนใจ แค่ต้องทำตัวละครพระราชาให้ร้ายเพราะไม่งั้นมาเลฟิเซนต์จะเป็นตัวเอกไม่ได้
-จริงอยู่หนังให้ชื่อเรื่อง "มาเลฟิเซนต์" และการที่นางจะเป็นจุดเด่นของเรื่องก็ถูกต้องแล้ว แต่หนังทิ้งโครงเรื่องของ "เจ้าหญิงนิทรา" ออกไปเกือบหมด ฉากของเรื่องเล่นออกมาเหมือนละครโรงเรียนที่ข้ามจากเหตุการณ์หนึ่งไปอีกเหตุการณ์หนึ่ง ไม่มีความไหลลื่นต่อเนื่องในการเล่าเรื่อง แค่ทำออกมาเพื่อให้มาเลฟิเซนต์ได้โชว์ตัวเป็นช่วงๆแค่นั้น
-ประเด็นของเรื่องอ่อนมาก ผมเคืองสุดตรงฉากที่ทหารรุมจับมาเลฟิเซนต์ตอนท้ายเรื่องแล้วผลักออโรร่าทิ้งไป คือมันยิ่งตอกย้ำความอ่อนของตัวละคร บทเขียนมนุษย์ชั่วร้ายแบบบ้าบอไปเลย ไม่มอง ไม่สน ไม่ดูสถานการณ์ใดๆทั้งสิ้น ถึงเวลาต้องออกมากระทำชำเราตัวเอกก็วิ่งกรูกันออกมาแบบโง่ๆ ไม่มีใครซักคนคิดเลยว่าเจ้าหญิงของอาณาจักรยืนขวางอยู่ตรงนั้น
ซึ่งผมว่าฉากตรงมันแก้ได้ง่ายๆนิดเดียว อย่างน้อยให้พวกทหารชะงักสักนิดตอนเห็นออโรร่ายืนปกป้องมาเลฟิเซนต์(คือทำเป็นงงๆ 'อ้าว? เจ้าหญิงท่านฟื้นแล้วเหรอ? ฝีมือใคร?') แล้วจากนั้นสเตฟานค่อยออกมาสั่งทหารให้พาตัวออโรร่าออกไปแล้วจัดการมาเลฟิเซนต์ต่อก็ได้ แบบนี้ยังรู้สึกว่าตัวละครในเรื่องมันมีการกระทำสัมพันธ์กันบ้าง
-หนังไม่ปราณีกับบทของเจ้าชายฟิลิปเลย แล้วเขียนสกรีนเพลย์ได้เหมือนแฟนฟิคที่สุดก็ตอนที่มาเลฟิเซนต์ใช้เวทมนต์พาฟิลิปลอยเข้ามาในปราสาท คือมันใช่เลย!!...ผมไม่รู้ว่าอะไรแย่กว่ากันระหว่างนี่คือบทที่เขียนแบบสุกเอาเผากิน...หรือนี่คือบทที่ทีมงานคิดและกรั่นกรองมาแล้วยังมาจบลงที่ฉากนี้??? ทั้งยัดเยียด ทั้งมักง่าย ทั้งดาวน์เกรดตัวละครอื่นๆจนดูเหมือนตัวตลกเพียงเพื่อจะให้มาเลฟิเซนต์เด่นอยู่คนเดียว
บอกตรงๆว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้ผมเริ่มกังวลกับอนาคตของ Live Action ดิสนีย์ เพราะในขณะที่คุณมีหัวเรื่องที่น่าสนใจมากๆ แต่ผลงานที่ออกมากลับไม่มีมนต์ขลังหรือความละเมียดละไม่เหมือนแต่ก่อน
ถ้าเทียบกันแล้ว จริงอยู่ว่าสโนวไวท์เวอร์ชั่นการ์ตูนอาจจะไม่มีเนื้อเรื่องหักมุม นางเอกก็แบนๆมิติเดียว แถมบทยังน้ำเน่าเจ้าชายเจ้าหญิงรักกันแต่แรกพบ ทว่าการดำเนินเรื่องยังมีสเน่ห์และชั้นเชิงมากกว่าเป็นไหนๆ มีช่วงผ่อน ช่วงคั้น ช่วงบีบอารมณ์ ตัวละครทุกตัวมีบทให้เล่น คนบ๊องก็บ๊อง คนจริงจังก็จริงจัง ขนาดวายร้ายเก่าเก็บอย่างราชินีแม่เลี้ยงยังดูมีชีวิตชีวากว่าราชาสเตฟานหลายเท่า
---------------------------------------------------------------------------------------

แสดงความคิดเห็น
เพื่อนๆรู้สึกผิดหวังหรือสมหวังกับหนังเรื่องMaleficent มาแชร์กันค่ะ