1) นี่คือภาพยนตร์ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็น “หนังระทึกขวัญคาดเดาไม่ได้แห่งปี” พิสูจน์ได้จากทั้งหน้าหนังและชื่อของผู้กำกับ “แซ็ค เครกเกอร์” (Zach Cregger) ที่ทะยานขึ้นมาโดดเด่นจากภาพยนตร์ขวัญใจคอระทึกขวัญอย่าง Barbarian (2022) หนำซ้ำยังมีข่าวลือหนาหูว่า อีกหนึ่งผู้กำกับตัวท็อปสายระทึกขวัญอย่าง “จอร์แดน พีล” (Jordan Peele) ไล่ทีมผู้จัดการของเขาออกหลังจากแพ้การประมูลในการยื่นข้อเสนอเพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ การันตีชัดเจนว่า Weapons มีของแน่นอนและคุ้มค่าที่จะชมอย่างไม่ต้องสงสัย

2) มีหลายที่ใช้คำว่า “หนังสยองขวัญแห่งปี” แต่อาจจะต้องพูดตามตรงเพื่อป้องกันความผิดหวังว่า Weapons ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ขายความสยอง ความหลอน หรือความน่ากลัวขนหัวลุกแต่อย่างใด กลับกัน แม้แต่ความระทึกขวัญที่ตัวหนังมอบให้ก็ยังแทบไม่มีจังหวะให้สะดุ้งจนอะดรีนาลีนหลั่งพรั่งๆ กลับกันตัวหนังเต็มไปด้วยความเงียบงันและธรรมดาสามัญมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมไปเรื่อยๆ จนไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลย แม้หนังจะแทบไม่ได้เข้าใกล้ปริศนาหลักของเรื่องก็ตาม

3) พูดอย่างสัตย์จริงถ้า Weapons ไม่ได้ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ “เปลี่ยนมุมมองตัวละคร” นี่จะเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญธรรมดาๆ อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อลองคลี่ดูเนื้อเรื่องก็แทบไม่มีอะไรให้จับต้องเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความแม่นยำในการวางเส้นเรื่องของผู้กำกับแซ็ค เครกเกอร์ เขาเปลี่ยนเรื่องราวที่เป็นเส้นตรงนี้ให้ยุ่งเหยิงขึ้นด้วย “มุมมองที่ต่างออกไป” มันเหมือนจิ๊กซอว์ภาพใหญ่ง่ายๆ ภาพหนึ่ง แต่เมื่อถูกแยกออกมาเป็นส่วนๆ ความสนุกของการต่อจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นเข้าด้วยกัน นั่นแหละ คือสิ่งที่ Weapons มอบให้กับผู้ชมได้อย่างถึงใจ

4) Pulp Fiction (1994) ของ “เควนติน ทารันติโน” (Quentin Tarantino) เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จในการเล่าเรื่องด้วยวิธีการนี้ (ตัวหนังชนะออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมในปี 1995 จากการเข้าชิงทั้งหมด 7 สาขา) จนมีชื่อเรียกวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้หรือที่คล้ายแบบนี้ว่า Tarantinoesque และเมื่อปีก่อน Strange Darling (2023) ก็หยิบวิธีการนี้มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด(สลับเวลาการเล่าเรื่อง) จนมาถึง Weapons ของแซ็ค เครกเกอร์ นี่เอง

5) ซึ่ง แซ็ค เครกเกอร์ ไม่ได้ตั้งใจทำให้หนังของเขาสับสนหรือดูยากเพื่อท้าทายสติปัญญาของผู้ชม(นึกถึงภาพยนตร์ที่มีฉากเวลาเดินหน้าและถอยหลังเรื่องหนึ่งดู)แบบนั้น แต่มัน คือ เกมส์ปริศนา (puzzle game) ที่ไม่ว่าใครก็สามารถสนุกด้วยได้ มุมมองการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนจาก ครูสาวประจำชั้นห้องเด็กหาย “จัสติน” (Julia Garner) ผู้ปกครอง(พ่อ)ของหนึ่งในเด็กที่หายไป “อาร์เชอร์” (Josh Brolin) ไปจนถึงเด็กชายคนเดียวที่เหลือรอดจากเหตุการณ์นี้ “อเล็กซ์” (Cary Christopher) เป็นสิ่งที่ค่อยๆ พาผู้ชมขยับเข้าใกล้ความดำมืดที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดในแบบที่ไม่ใช่เส้นตรง

6) แน่นอนว่านี่เป็นวิธีการที่เสี่ยงและไม่ใช่ภาพยนตร์ทุกเรื่องสามารถทำแบบนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้น คือ ทำให้ “สนุก” ได้ จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นของแต่ละมุมมองที่เริ่มต้นจากจัสติน ครูสาวประจำชั้น เป็นชิ้นแรก จากนั้นก็ตามด้วยชิ้นที่สอง สาม และสี่ ชั้นเชิงการต่ออยู่ตรงที่ผู้กำกับแซ็ค มีการใส่ “คำใบ้” เอาไว้ก่อนหน้านั้นเสมอ เพื่อให้ผู้ชมระลึกได้ทันทีว่า จิ๊กซอว์ชิ้นที่กำลังถือ(ดู)อยู่นี้ มันเชื่อมกับชิ้นก่อนหน้าตรงไหนก่อนที่ตัวเรื่องจะต่อให้ด้วยซ้ำ และเหมือนมีเสียงจากแซ็คบอกว่า “คุณเก่งมาก” ชมออกมาอย่างไรอย่างนั้นเมื่อเราต่อจิ๊กซอว์ในหัวได้ก่อน

7) อย่างไรก็ตามหากคุณมีอคติหรือต้องการเสพเนื้อเรื่องที่ลุ่มลึกเกี่ยวกับครูสาวผู้ต้องต่อสู้เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับตัวเอง หรือบาดแผลทางใจของชุมชนหลังจากผ่านเรื่องราวโศกนาฏกรรม หรือระบอบยุติธรรมที่หันหลังให้กับเหยื่อตัวน้อยๆ ก็ต้องบอกเลยว่า Weapons ไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้ได้แบบถึงกึ๋น แต่ถึงอย่างนั้นมวลอารมณ์ของเรื่องก็สามารถส่งต่อความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยว และการเสียขวัญผ่านตัวละครในเรื่อง ที่สะท้อนมาจากการสูญเสียเพื่อนสนิทของผู้กำกับแซ็ค รวมถึงสัญญะต่างๆ ในเรื่องที่มีเบื้องหลังเป็นโศกนาฏกรรมเช่นกัน แต่ยังไม่วายยังมีกลิ่นอายของความตลกร้ายที่ใส่เข้ามาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ชวนให้นึกถึงงานของ “ออสกูด เพอร์กินส์” (Osgood Perkins) ทั้ง Longleg (2024) และ The Monkey (2025) ผสมกัน

8) นักแสดงทุกคนทำได้ดีในส่วนที่พวกเขารับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่ จูเลีย การ์เนอร์ ส่งไม้ต่อไปยัง จอช โบรลิน และ อัลเดน เออเร็นริช ในบทพอล นายตำรวจประจำเมือง นอกจากนี้ เบเนดิกต์ หว่อง ในบทแอนดริว ผู้อำนวยการโรงเรียนหลักในเรื่อง จัสติน ลอง ในบทแกรี่ หนุ่มขี้ยา เอมี่ เมดิแกน ในบทหญิงชราลึกลับ ล้วนเป็นส่วนสำคัญ ก่อนจะปิดท้ายด้วย แครี่ คริสโตเฟอร์ นักแสดงเด็กที่รับหน้าที่ในส่วนเฉลยของเรื่อง จึงค่อนข้างฉายแสงโดดเด่นเป็นพิเศษ และต้องชื่นชมนักแสดงสมทบพิเศษทั้งหลายที่รับบทเด็กสูญหายทั้ง 17 คน ถ้าตรงนี้แสดงไม่ดีหรือว่ามีจังหวะหลุดออกมาจะทำให้ภาพยนตร์สูญเสียความน่าเชื่อถือไปในทันที

9) และต้องเน้นย้ำอีกทีว่า Weapons ไม่ใช่ภาพยนตร์สยองขวัญ แทบไม่มีฉากตายให้เห็นบนจอ แต่ก็เต็มไปด้วยความน่าขนลุกและความหดหู่ สังเกตได้ชัดเจนว่าแม้ปริศนาของเรื่องที่เป็นจุดไคลแมกซ์จะตรงไปตรงมามาก แต่เหล่าตัวละครกลับถูกฉุดรั้งด้วยปัญหาส่วนตัวทำให้พวกเขาถูกบีบออกจากเส้นทางไป นี่แหละความตลกร้ายที่ตัวผู้กำกับแซ็ค เครกเกอร์ วางเอาไว้ นอกจากนี้ตัวเลข 2:17 ปรัชญาเบื้องหลังเนื้อเรื่อง ท่าทางการวิ่งของเด็กๆ ในความมืด และอื่นๆ เป็นสิ่งที่หากสนใจตีความเพิ่มเติมก็แล้วแต่บุคคล แต่หากไม่รู้มันก็ทำให้การชมภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกได้อยู่ดี
Story Deocder
[รีวิว] Weapons - หนังระทึกขวัญอย่าคาดเดา เล่าท่ายากแต่เรื่องไม่ยากตาม อุดมความขนลุกและตลกร้าย
2) มีหลายที่ใช้คำว่า “หนังสยองขวัญแห่งปี” แต่อาจจะต้องพูดตามตรงเพื่อป้องกันความผิดหวังว่า Weapons ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ขายความสยอง ความหลอน หรือความน่ากลัวขนหัวลุกแต่อย่างใด กลับกัน แม้แต่ความระทึกขวัญที่ตัวหนังมอบให้ก็ยังแทบไม่มีจังหวะให้สะดุ้งจนอะดรีนาลีนหลั่งพรั่งๆ กลับกันตัวหนังเต็มไปด้วยความเงียบงันและธรรมดาสามัญมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมไปเรื่อยๆ จนไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อเลย แม้หนังจะแทบไม่ได้เข้าใกล้ปริศนาหลักของเรื่องก็ตาม
3) พูดอย่างสัตย์จริงถ้า Weapons ไม่ได้ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบ “เปลี่ยนมุมมองตัวละคร” นี่จะเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญธรรมดาๆ อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อลองคลี่ดูเนื้อเรื่องก็แทบไม่มีอะไรให้จับต้องเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความแม่นยำในการวางเส้นเรื่องของผู้กำกับแซ็ค เครกเกอร์ เขาเปลี่ยนเรื่องราวที่เป็นเส้นตรงนี้ให้ยุ่งเหยิงขึ้นด้วย “มุมมองที่ต่างออกไป” มันเหมือนจิ๊กซอว์ภาพใหญ่ง่ายๆ ภาพหนึ่ง แต่เมื่อถูกแยกออกมาเป็นส่วนๆ ความสนุกของการต่อจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นเข้าด้วยกัน นั่นแหละ คือสิ่งที่ Weapons มอบให้กับผู้ชมได้อย่างถึงใจ
4) Pulp Fiction (1994) ของ “เควนติน ทารันติโน” (Quentin Tarantino) เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จในการเล่าเรื่องด้วยวิธีการนี้ (ตัวหนังชนะออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมในปี 1995 จากการเข้าชิงทั้งหมด 7 สาขา) จนมีชื่อเรียกวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้หรือที่คล้ายแบบนี้ว่า Tarantinoesque และเมื่อปีก่อน Strange Darling (2023) ก็หยิบวิธีการนี้มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด(สลับเวลาการเล่าเรื่อง) จนมาถึง Weapons ของแซ็ค เครกเกอร์ นี่เอง
5) ซึ่ง แซ็ค เครกเกอร์ ไม่ได้ตั้งใจทำให้หนังของเขาสับสนหรือดูยากเพื่อท้าทายสติปัญญาของผู้ชม(นึกถึงภาพยนตร์ที่มีฉากเวลาเดินหน้าและถอยหลังเรื่องหนึ่งดู)แบบนั้น แต่มัน คือ เกมส์ปริศนา (puzzle game) ที่ไม่ว่าใครก็สามารถสนุกด้วยได้ มุมมองการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนจาก ครูสาวประจำชั้นห้องเด็กหาย “จัสติน” (Julia Garner) ผู้ปกครอง(พ่อ)ของหนึ่งในเด็กที่หายไป “อาร์เชอร์” (Josh Brolin) ไปจนถึงเด็กชายคนเดียวที่เหลือรอดจากเหตุการณ์นี้ “อเล็กซ์” (Cary Christopher) เป็นสิ่งที่ค่อยๆ พาผู้ชมขยับเข้าใกล้ความดำมืดที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดในแบบที่ไม่ใช่เส้นตรง
6) แน่นอนว่านี่เป็นวิธีการที่เสี่ยงและไม่ใช่ภาพยนตร์ทุกเรื่องสามารถทำแบบนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้น คือ ทำให้ “สนุก” ได้ จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นของแต่ละมุมมองที่เริ่มต้นจากจัสติน ครูสาวประจำชั้น เป็นชิ้นแรก จากนั้นก็ตามด้วยชิ้นที่สอง สาม และสี่ ชั้นเชิงการต่ออยู่ตรงที่ผู้กำกับแซ็ค มีการใส่ “คำใบ้” เอาไว้ก่อนหน้านั้นเสมอ เพื่อให้ผู้ชมระลึกได้ทันทีว่า จิ๊กซอว์ชิ้นที่กำลังถือ(ดู)อยู่นี้ มันเชื่อมกับชิ้นก่อนหน้าตรงไหนก่อนที่ตัวเรื่องจะต่อให้ด้วยซ้ำ และเหมือนมีเสียงจากแซ็คบอกว่า “คุณเก่งมาก” ชมออกมาอย่างไรอย่างนั้นเมื่อเราต่อจิ๊กซอว์ในหัวได้ก่อน
7) อย่างไรก็ตามหากคุณมีอคติหรือต้องการเสพเนื้อเรื่องที่ลุ่มลึกเกี่ยวกับครูสาวผู้ต้องต่อสู้เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้กับตัวเอง หรือบาดแผลทางใจของชุมชนหลังจากผ่านเรื่องราวโศกนาฏกรรม หรือระบอบยุติธรรมที่หันหลังให้กับเหยื่อตัวน้อยๆ ก็ต้องบอกเลยว่า Weapons ไม่สามารถให้สิ่งเหล่านี้ได้แบบถึงกึ๋น แต่ถึงอย่างนั้นมวลอารมณ์ของเรื่องก็สามารถส่งต่อความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยว และการเสียขวัญผ่านตัวละครในเรื่อง ที่สะท้อนมาจากการสูญเสียเพื่อนสนิทของผู้กำกับแซ็ค รวมถึงสัญญะต่างๆ ในเรื่องที่มีเบื้องหลังเป็นโศกนาฏกรรมเช่นกัน แต่ยังไม่วายยังมีกลิ่นอายของความตลกร้ายที่ใส่เข้ามาในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ชวนให้นึกถึงงานของ “ออสกูด เพอร์กินส์” (Osgood Perkins) ทั้ง Longleg (2024) และ The Monkey (2025) ผสมกัน
8) นักแสดงทุกคนทำได้ดีในส่วนที่พวกเขารับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่ จูเลีย การ์เนอร์ ส่งไม้ต่อไปยัง จอช โบรลิน และ อัลเดน เออเร็นริช ในบทพอล นายตำรวจประจำเมือง นอกจากนี้ เบเนดิกต์ หว่อง ในบทแอนดริว ผู้อำนวยการโรงเรียนหลักในเรื่อง จัสติน ลอง ในบทแกรี่ หนุ่มขี้ยา เอมี่ เมดิแกน ในบทหญิงชราลึกลับ ล้วนเป็นส่วนสำคัญ ก่อนจะปิดท้ายด้วย แครี่ คริสโตเฟอร์ นักแสดงเด็กที่รับหน้าที่ในส่วนเฉลยของเรื่อง จึงค่อนข้างฉายแสงโดดเด่นเป็นพิเศษ และต้องชื่นชมนักแสดงสมทบพิเศษทั้งหลายที่รับบทเด็กสูญหายทั้ง 17 คน ถ้าตรงนี้แสดงไม่ดีหรือว่ามีจังหวะหลุดออกมาจะทำให้ภาพยนตร์สูญเสียความน่าเชื่อถือไปในทันที
9) และต้องเน้นย้ำอีกทีว่า Weapons ไม่ใช่ภาพยนตร์สยองขวัญ แทบไม่มีฉากตายให้เห็นบนจอ แต่ก็เต็มไปด้วยความน่าขนลุกและความหดหู่ สังเกตได้ชัดเจนว่าแม้ปริศนาของเรื่องที่เป็นจุดไคลแมกซ์จะตรงไปตรงมามาก แต่เหล่าตัวละครกลับถูกฉุดรั้งด้วยปัญหาส่วนตัวทำให้พวกเขาถูกบีบออกจากเส้นทางไป นี่แหละความตลกร้ายที่ตัวผู้กำกับแซ็ค เครกเกอร์ วางเอาไว้ นอกจากนี้ตัวเลข 2:17 ปรัชญาเบื้องหลังเนื้อเรื่อง ท่าทางการวิ่งของเด็กๆ ในความมืด และอื่นๆ เป็นสิ่งที่หากสนใจตีความเพิ่มเติมก็แล้วแต่บุคคล แต่หากไม่รู้มันก็ทำให้การชมภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกได้อยู่ดี
Story Deocder