Review: Grace of Monaco (Olivier Dahan,2014) คะแนน D+
By Form Corleone
" การเมือง ครอบครัว ความรัก " สำหรับเรื่องราวของ เกรซ เคลลี คอหนังหรือคนติดตามหนัง คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ไม่ได้แค่การแสดงหนังของเธอที่คว้ารางวัลตุ๊กตาทองคำสาขานักแสดงนำหญิงจาก The Country Girl (1954) แต่แล้วเธอกลับทิ้งวงการภาพยนตร์ในขณะที่เธอกำลังโด่งดังสุดๆ และเป็นช่วงรุ่งโรจน์ที่สุด เพราะอะไรกันเธอจึงตัดสินใจทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อมาแต่งงานกับเจ้าชายแห่งโมนาโก จนกลายเป็น “เกรซ แห่ง โมนาโก” เรื่องราวทั้งหมดเปรียบเสมือน “เทพนิยาย” แต่ในความเป็น เทพนิยาย มันก็ไม่ได้น่าจดจำเท่าที่มันควรจะเป็น!!

หนังเปิดเทศกาลเมืองคานส์ปีนี้ครับ ซึ่งจัดออกไปในทางน่าผิดหวังสุดๆ ทั้งตัวเนื้อเรื่อง สาระ บท การลำดับเรื่องราว สิ่งเดียวที่ช่วยพยุงตัวหนังเกือบทั้งเรื่องคือการแสดงของ “ นิโคล คิดแมน ” เป็นจุดเดียวของหนังเรื่องนี้ที่ดูแล้วไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะอย่างน้อยที่สุด เราก็ได้เห็นการแสดงที่ดี ย้ำกันอีกครั้งว่า การแสดงของคิดแมนนั้นน่าประทับใจมากครับ จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ตัวผู้กำกับเองก็ไม่ได้ต้องการให้ตัวหนังกลายร่างเป็นหนังชีวประวัติ จากคำกล่าว “เรื่องราวนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง” เพราะเหตุนี้ ทัศนะคติของตัวผู้กำกับเอง จึงทำให้หนังหาแนวทางไม่เจอ หาจุดเน้นย้ำไม่เจอว่าแท้จริงแล้วต้องการที่จะสื่ออะไร ><
ตลอดเวลาหนังพยายามให้คนดูรู้สึกว่านี้คือ “fairy tale” แต่ยิ่งพยายามแค่ไหน ก็เหมือนออกไปไกลจนเกือบออกทะเลไปเลยด้วยซ้ำ ยิ่งพยายามยิ่งดูแย่ลง การเล่าเรื่อง การเมือง ก็ดูหาทางลงและหาจุดจบไม่ได้ เล่นประเด็นนี้ได้ตื้นจนเกินไป บทสนทนาก็ดูธรรมดามากจนหาจุดเด่นไม่เจอ ถึงแม้ว่าหนังจะพยายามบิ้วท์อารมณ์ ด้วยการมีฉากสืบสวนหาตัวสายลับ การใส่เพลงประกอบ การตัดภาพเคลื่อนไหวให้รวดเร็ว แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้กลับส่งผลออกมาในแง่ลบ เพราะทุกสิ่งอย่างที่ว่ามานั้น ไม่มีส่วนไหนไปไกลเกินคำว่า “ธรรมดา” ถ้าหาแนวทางได้สักหนึ่งสิ่งแล้วเน้นย้ำส่วนนั้นไปเลยคงจะดีกว่านี้

ภาวะ “ความรัก” ที่หนังต้องการจะสื่อ ความรักสามารถทำให้คนยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อปกป้องมัน จุดนี้เกือบจะทำได้ดีเพราะการแสดงของคิดแมน ต่อให้นักแสดงเก่งกาจแค่ไหน แต่ตัวบทตัวเรื่องไม่ช่วยส่งตัวนักแสดง มันก็เป็นเรื่องยากที่หนังจะทำส่วนนี้ได้ประทับใจ ความหม่นหมองของตัวละครก็ไปไม่สุด ความดราม่าก็ทำออกมาหลอกลวงผู้บริโภค ดูแล้วไม่อินตามจัดไปทางไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำไป กำกับภาพและลำดับภาพก็เลอะเทอะมากในจุดนี้ ดูไม่ค่อยจำเป็น อาจเป็นความต้องการของผู้กำกับ แต่มันเยอะจนหาจุดเด่นไม่ได้อีกเช่นเดิม น่าเบื่อที่สุดครับ!!!
“ครอบครัว” อาจเป็นการสะท้อนแง่มุมของตัวละครได้เกือบดี แต่การนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ก็ดูจางหายไปเรื่อยๆ จนหนังจบ น่าเสียดายและคิดว่าน่าจะเล่นประเด็นนี้ให้เยอะๆแบบเอาให้สุดๆ อาจจะเรียกน้ำตาได้ในระดับหนึ่ง เอาเข้าจริงแล้ว Grace of Monaco คงเป็นหนังอีกเรื่องและก็อีกหลายเรื่องที่ดูเสร็จก็ทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้ ณ เวลานั้น เมื่อคุณดูจบ หนังมีหลายสิ่งเยอะจนหาจุดเด่นและข้อดีที่น่าจดจำออกมาแทบจะไม่ได้เลย ผิดหวังครับ!!

สุดท้าย Grace of Monaco คือ เทพนิยาย ที่พยายามให้ตัวเองดูดีที่สุดโดยการใส่ทุกสิ่งอย่าง จนทำให้มองหาจุดเด่นในตัวเองไม่เจอเลยแม้แต่ข้อเดียว สิ่งเดียวที่รู้สึกดีคือการแสดงของ นิโคล คิดแมน แค่นั้นแหละครับ ถ้าใครสนใจหนังเรื่องนี้ หรืออยากดูเพราะเป็นหนังเปิดงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ก็คิดหน้าคิดหลังไว้นิดนึงนะครับ แต่อย่างไรก็ตามสุดแล้วแต่ที่คุณจะเป็นผู้ตัดสินว่า Grace of Monaco คู่ควรกับคำว่า “เทพนิยาย” มากแค่ไหน >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
อ่านเรื่องอื่น
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
เพจ
https://www.facebook.com/Criticalme?ref_type=bookmark
Review: Grace of Monaco
By Form Corleone
" การเมือง ครอบครัว ความรัก " สำหรับเรื่องราวของ เกรซ เคลลี คอหนังหรือคนติดตามหนัง คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ไม่ได้แค่การแสดงหนังของเธอที่คว้ารางวัลตุ๊กตาทองคำสาขานักแสดงนำหญิงจาก The Country Girl (1954) แต่แล้วเธอกลับทิ้งวงการภาพยนตร์ในขณะที่เธอกำลังโด่งดังสุดๆ และเป็นช่วงรุ่งโรจน์ที่สุด เพราะอะไรกันเธอจึงตัดสินใจทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อมาแต่งงานกับเจ้าชายแห่งโมนาโก จนกลายเป็น “เกรซ แห่ง โมนาโก” เรื่องราวทั้งหมดเปรียบเสมือน “เทพนิยาย” แต่ในความเป็น เทพนิยาย มันก็ไม่ได้น่าจดจำเท่าที่มันควรจะเป็น!!
หนังเปิดเทศกาลเมืองคานส์ปีนี้ครับ ซึ่งจัดออกไปในทางน่าผิดหวังสุดๆ ทั้งตัวเนื้อเรื่อง สาระ บท การลำดับเรื่องราว สิ่งเดียวที่ช่วยพยุงตัวหนังเกือบทั้งเรื่องคือการแสดงของ “ นิโคล คิดแมน ” เป็นจุดเดียวของหนังเรื่องนี้ที่ดูแล้วไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะอย่างน้อยที่สุด เราก็ได้เห็นการแสดงที่ดี ย้ำกันอีกครั้งว่า การแสดงของคิดแมนนั้นน่าประทับใจมากครับ จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ตัวผู้กำกับเองก็ไม่ได้ต้องการให้ตัวหนังกลายร่างเป็นหนังชีวประวัติ จากคำกล่าว “เรื่องราวนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง” เพราะเหตุนี้ ทัศนะคติของตัวผู้กำกับเอง จึงทำให้หนังหาแนวทางไม่เจอ หาจุดเน้นย้ำไม่เจอว่าแท้จริงแล้วต้องการที่จะสื่ออะไร ><
ตลอดเวลาหนังพยายามให้คนดูรู้สึกว่านี้คือ “fairy tale” แต่ยิ่งพยายามแค่ไหน ก็เหมือนออกไปไกลจนเกือบออกทะเลไปเลยด้วยซ้ำ ยิ่งพยายามยิ่งดูแย่ลง การเล่าเรื่อง การเมือง ก็ดูหาทางลงและหาจุดจบไม่ได้ เล่นประเด็นนี้ได้ตื้นจนเกินไป บทสนทนาก็ดูธรรมดามากจนหาจุดเด่นไม่เจอ ถึงแม้ว่าหนังจะพยายามบิ้วท์อารมณ์ ด้วยการมีฉากสืบสวนหาตัวสายลับ การใส่เพลงประกอบ การตัดภาพเคลื่อนไหวให้รวดเร็ว แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้กลับส่งผลออกมาในแง่ลบ เพราะทุกสิ่งอย่างที่ว่ามานั้น ไม่มีส่วนไหนไปไกลเกินคำว่า “ธรรมดา” ถ้าหาแนวทางได้สักหนึ่งสิ่งแล้วเน้นย้ำส่วนนั้นไปเลยคงจะดีกว่านี้
ภาวะ “ความรัก” ที่หนังต้องการจะสื่อ ความรักสามารถทำให้คนยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อปกป้องมัน จุดนี้เกือบจะทำได้ดีเพราะการแสดงของคิดแมน ต่อให้นักแสดงเก่งกาจแค่ไหน แต่ตัวบทตัวเรื่องไม่ช่วยส่งตัวนักแสดง มันก็เป็นเรื่องยากที่หนังจะทำส่วนนี้ได้ประทับใจ ความหม่นหมองของตัวละครก็ไปไม่สุด ความดราม่าก็ทำออกมาหลอกลวงผู้บริโภค ดูแล้วไม่อินตามจัดไปทางไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำไป กำกับภาพและลำดับภาพก็เลอะเทอะมากในจุดนี้ ดูไม่ค่อยจำเป็น อาจเป็นความต้องการของผู้กำกับ แต่มันเยอะจนหาจุดเด่นไม่ได้อีกเช่นเดิม น่าเบื่อที่สุดครับ!!!
“ครอบครัว” อาจเป็นการสะท้อนแง่มุมของตัวละครได้เกือบดี แต่การนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ก็ดูจางหายไปเรื่อยๆ จนหนังจบ น่าเสียดายและคิดว่าน่าจะเล่นประเด็นนี้ให้เยอะๆแบบเอาให้สุดๆ อาจจะเรียกน้ำตาได้ในระดับหนึ่ง เอาเข้าจริงแล้ว Grace of Monaco คงเป็นหนังอีกเรื่องและก็อีกหลายเรื่องที่ดูเสร็จก็ทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้ ณ เวลานั้น เมื่อคุณดูจบ หนังมีหลายสิ่งเยอะจนหาจุดเด่นและข้อดีที่น่าจดจำออกมาแทบจะไม่ได้เลย ผิดหวังครับ!!
สุดท้าย Grace of Monaco คือ เทพนิยาย ที่พยายามให้ตัวเองดูดีที่สุดโดยการใส่ทุกสิ่งอย่าง จนทำให้มองหาจุดเด่นในตัวเองไม่เจอเลยแม้แต่ข้อเดียว สิ่งเดียวที่รู้สึกดีคือการแสดงของ นิโคล คิดแมน แค่นั้นแหละครับ ถ้าใครสนใจหนังเรื่องนี้ หรืออยากดูเพราะเป็นหนังเปิดงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ก็คิดหน้าคิดหลังไว้นิดนึงนะครับ แต่อย่างไรก็ตามสุดแล้วแต่ที่คุณจะเป็นผู้ตัดสินว่า Grace of Monaco คู่ควรกับคำว่า “เทพนิยาย” มากแค่ไหน >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
อ่านเรื่องอื่น http://moviesdelightclub.blogspot.com/
เพจ https://www.facebook.com/Criticalme?ref_type=bookmark