กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เขียนลงพันทิบ ปกติไม่ค่อยจะได้เข้ามาอ่านเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีเวลา จะได้อ่านก็เฉพาะที่เพื่อนส่งมาให้หรือจากโพสของเพื่อนในเฟสบุค ปกติเราไม่ค่อยเป็นคนเล่าเรื่องส่วนตัวกับคนไม่รู้จักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้รู้สึกอึดอัดและอยากได้มุมมองหลากหลายจากมุมมองคนนอกหรือผู้ที่อาจจะมีประสบการณ์ใกล้เคียงกัน เผื่อจะได้ไอเดียในการแก้ปัญหาหรือทำใจยอมรับกับสถานการณ์ได้บ้าง ขอออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นคนเล่าเรื่องไม่เก่ง อาจจะวกไปวนมาบ้าง
เราเพิ่งแต่งงานไปเมื่อปลายปีที่แล้วและท้องทันทีหลังแต่ง พอแต่งงานก็ย้ายมาทำงานกับสามีในกรุงเทพ ทั้งเราและสามีเป็นคนต่างจังหวัดทั้งคู่ เราช่วยสามีทำงานที่โรงงานของเค้า เป็นโรงงานปักและสกรีนผ้า ส่วนมากรับงานผลิตชิ้นส่วนของเสื้อผ้าให้กับการ์เม้นท์ไม่กี่บริษัท และรับงานผลิตเสื้อโปโลและเสื้อยืดเป็นตัวด้วยถ้ามีออร์เดอร์
ตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆก็พอจะรู้แล้วว่าบริษัทมีปัญหาเรื่องการเงิน สภาพคล่องไม่มีเพราะไม่เหลือเงินมาใช้จ่ายหมุนเวียนเลยในแต่ละเดือน เราต้องเอาเงินส่วนตัวที่เก็บสะสมไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ทั้งเงินเดือนคนงานที่ปาไปเดือนละแสนโดยประมาณ เงินสำรองซื้อของพวกสีและไหมที่เอามาใช้งาน เงินเก็บส่วนตัวเรามีมากพอสมควรเพราะเก็บไว้หลายบัญชีกระจัดกระจายกันไป ไม่เคยคิดว่าจะหมดไปง่ายๆเพราะปกติเราเป็นคนใช้จ่ายประหยัด ชอบเปิดบัญชีประเภทสะสมดอกเบี้ยสูงและไม่ค่อยจะถอนเงินออกมาใช้ถ้าไม่จำเป็น ตอนที่รู้ตัวว่าท้องเราก็ดีใจมาก แต่ก็รู้สึกกังวลใจอยู่นิดหน่อยเพราะรู้ตัวว่าโรงงานยังไม่นิ่งพอ ความตั้งใจแรกหลังจากแต่งงานคือตั้งใจจะปรับปรุงระบบของโรงงานรวมทั้งการจ่ายเงินของบริษัทให้สอดคล้องกับรายรับและวิ่งหาลูกค้าเพิ่ม แต่พอท้องแล้วกลับทำอะไรได้ไม่มากเท่าที่ตั้งใจเพราะอ่อนเพลียมาก แม้จะไม่แพ้ท้องแบบคนอื่นเค้าซึ่งโชคดีมาก แต่ก็ต้องระมัดระวังตัวไม่หักโหมทำงานหนักในช่วงท้องอ่อน ในแต่ละเดือนเราก็ยังคงออกค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทเป็นหลักหมื่นหลักแสนมาตลอด สามีเราบอกให้จดเอาไว้ว่าเราออกเงินอะไรไปบ้าง เค้าจะคืนเงินเราเมื่อเค้ามี เราก็จดไว้ทุกครั้งที่ควักเงิน บางเดือนเค้าก็คืนมา 20,000-30,000 เราก็ไม่เคยไปวุ่นวายเรื่องเงินของเค้าหรือขอดูบัญชีบริษัทเลยเพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว เค้าเปิดโรงงานและทำเองคนเดียวมาสามปีแล้วตั้งแต่เริ่มคบกัน ก็พอจะรู้ว่างานมีปัญหาบ้าง เงินมีปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าที่เค้าเล่า แล้วเราก็ไม่เคยซอกแซกถามอะไรมากไปกว่านั้นเท่าไหร่ (ตอนคบกันเราเองอยู่ต่างจังหวัด เดือนนึงจะได้เจอกันซักครั้ง ไม่เค้ามาหาก็เราไปหา ใช้การคุยโทรศัพท์กันทุกวันเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ เราไม่ค่อยทำตัวงี่เง่าเรียกร้องเวลาจากเค้าเท่าไหร่ ต่างคนต่างอยู่กันไป)
มาถึงจุดหักเหที่ต้องย้ายโรงงาน เพราะหมดสัญญากับที่เช่าเก่าพอดีและสถานการณ์บังคับจากบริษัทการ์เม้นท์ใหญ่ที่เป็นลูกค้า ซึ่งมีนโยบายส่งงานให้กับโรงงานที่ผ่านมาตรฐานการจัดตั้งโรงงานของเค้าเท่านั้น โรงงานเก่าของสามีนั้นไม่ผ่านมาตรฐาน ซึ่งหลังจากได้รับแจ้งแล้วก็เร่งหาโรงงานใหม่กันอยู่เป็นเดือน บางแห่งที่เจอก็สภาพทรุดโทรมต้องเทพื้นทำหลังคาใหม่ซึ่งคาดว่าต้องใช้เงินเป็นล้าน บางแห่งก็ไม่ผ่านมาตรฐานแน่นอนเพราะเป็นห้องแถว จนกระทั่งมาเจอที่นึงที่สร้างไว้เสร็จเรียบร้อย ตรงตามความต้องการใช้งานและขนาดเหมาะสมกับขนาดการทำงานของเราพอดี แต่ค่าเช่าต่อนั้นสูงถึง 100,000 บาทต่อเดือน เราเองก็คิดหนักแต่ก็เชื่อการตัดสินใจของสามี เพราะถามเค้าแล้วว่าเราทำรายได้ต่อเดือนสูงพอจะจ่ายค่าเช่าและเงินเดือนคนงานรวมทั้งค่าผ่อนเครื่องจักร ซึ่งรวมๆกันแล้วก็มี fix cost ที่ 300,000 ต่อเดือนไหวจิงเหรอ บวกกับค่ามัดจำล่วงหน้าสามเดือนที่ต้องจ่ายในเดือนแรกอีก 300,000 รวมกับค่าเช่าเดือนแรกอีก 100,000 คือต้องจ่ายก้อนแรกทั้งหมด 400,000 ซึ่งเรารู้ตัวว่าเงินบริษัทไม่มีแน่นอน แต่เค้าบอกว่าจะได้เงินจากกรมอาชีวะเพราะพ่อเค้าเพิ่งเสียไปหลังแต่งไม่นาน (พ่อเค้าเคยเป็น ผอ. ของโรงเรียนอาชีวะจนเกษียณอายุ คนที่เป็นครูอาจารย์ของกรมอาชีวะจะได้เงินแบบนี้ด้วยนี่ไม่เคยรู้มาก่อน) ซึ่งน่าจะเป็นหลักล้านในไม่นานนี้ น่าจะทันกับช่วงวางมัดจำพอดี ซึ่งเราก็เชื่อที่เค้าบอก เพราะอ่อนประสบการณ์ในการทำธุรกิจ เราเป็นพนักงานเงินเดือนมาก่อนแล้วลาออกมาช่วยกิจการทางบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งไม่ต้องทำอะไรมากมายเพราะมีพนักงานทำประจำอยู่ทุกฝ่ายแล้ว ทำให้ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนมากๆของเราเลย เสียใจที่ไม่สนใจศึกษาด้านนี้เท่าไหร่
มาถึงวันที่ต้องจ่ายมัดจำก้อนแรกของโรงงานใหม่ ปรากฏว่าเงินที่เค้าบอกว่าจะได้จากกรมอาชีวะไม่ยอมออกตามกำหนด และยังไม่ออกมาจนทุกวันนี้ (จะครึ่งปีมาแล้ว) เราเอาก็รู้ตัวว่าเงินเริ่มร่อยหรอไปเยอะเพราะต้องควักจ่ายทุกเดือน แต่ก็ยังมีบัญชีลับอีกอันที่อยากจะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวและสำหรับดูแลลูก แต่เมื่อถึงสถานการณ์ตอนนั้น เราจึงต้องจำใจถอนเงินจากบัญชีนั้นมาให้สามีไปวางมัดจำโรงงาน 400,000 บาท ทำให้เงินในบัญชีเหลืออีกแสนกว่าบาทเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะไม่ให้เงินก้อนนี้อีกแล้วเพราะเริ่มกลัวว่าจะไม่มีเงินไว้ให้ลูกหาหมอฉีดยาหลังคลอด ช่วงนั้นร้องไห้ทุกวันเพราะเริ่มกลัวอนาคต เริ่มรู้สึกหมดเนื้อหมดตัวเป็นครั้งแรก เริ่มกลัวลูกลำบาก กลัวพ่อแม่เป็นห่วงว่าแต่งงานแล้วต้องมาลำบาก กลัวไปทุกอย่าง เราโตมาแบบพ่อแม่ทะนุถนอน มีอดๆอยากๆบ้างแต่ไม่เคยเป็นหนี้หรือต้องหยิบยืมใครเพราะพ่อคอยถามและดูแลมาตลอด แต่ตอนนี้เราเองกำลังจะมีลูก รู้สึกสงสารเค้ามากที่เราไม่มีปัญหาหาอะไรดีๆกินเท่าที่ควร ต้องกินข้างถนนเพราะอยากประหยัด ผลไม้ดีๆแพงๆที่หนังสือแนะนำให้กินก็นานๆจะตัดใจซื้อกินซักทีเพราะกลัวเงินจะหมด ร้องไห้จนสามีขอร้องว่าอย่าร้องเพราะเค้ารู้สึกผิด รู้ทั้งรู้ว่าเค้าพยายามที่จะทำงานหาเงินอย่างเต็มที่ ไม่เคยเถลไถล เงินที่ใช้ก็เป็นเรื่องจำเป็นในการทำงานทั้งนั้น เพียงแต่เค้าเองไม่มีเงินเลย ทางบ้านเค้าเองก็ไม่มีให้ เราเองก็ไม่อยากรบกวนทางบ้านเพราะถือว่าแต่งงานออกมาแล้วต้องดูแลตัวเองให้ได้ เลยต้องยอมควักเงินส่วนตัวและไม่เล่าอะไรให้ทางบ้านเป็นห่วงเลยมาตลอด เวลาคุยโทรศัพท์ก็บอกแค่งานยุ่งมาก เหนื่อย แค่เค้าเป็นห่วงเราเรื่องท้องแล้วยังทำงานแค่นี้เราก็รู้สึกแย่แล้ว ไม่อยากให้เค้ารู้ว่าเรากำลังมีปัญหาเรื่องเงินอีก ก็พยายามประคับประคองตัวเองมาตลอด
หลังจากจ่ายเงินมัดจำก็เริ่มปรับปรุงสถานที่ ซึ่งก็ต้องใช้เงินในการสร้างและต่อเติมโรงงานใหม่ให้เป็นไปในแบบที่เค้าต้องการ ล้อมรั้ว ทุบผนัง เติมนั่นนี่ ซึ่งก็ยังคงใช้เงินทั้งของเราและของบริษัท เราเองไม่อยากให้ทำอะไรกับมันมาก เพราะคิดว่ายังไงก็เช่าแค่สามปี คงไม่เช่าต่อแน่เพราะแค่สามปีก็ไม่รู้จะไปได้ตลอดรอดฝั่งมีจ่ายเค้าทุกเดือนรึป่าว แต่สามีเราก็อยากให้โรงงานออกมาดูดีจะได้ผ่านการตรวจมาตรฐานโรงงานเพื่อจะได้กลับไปรับงานของการ์เม้นท์ใหญ่นั่นอีกครั้ง ในระหว่างนั้นการ์เม้นท์ใหญ่แจ้งว่ายังมีเวลาส่งงานมาทางเราได้อีกสามสี่เดือน (ฝ่ายผลิตชอบสามีเรามาก เพราะตามใจลูกค้า ให้ไปรับงานส่งงานสามสี่ทุ่มก็ไป งานเร่งแค่ไหนก็ทำให้ตลอด) แต่ให้เราเร่งเรื่องปรับปรุงโรงงานและเรียกตรวจให้เร็วที่สุดจะดีกว่า เพราะไม่รู้ทางผู้บริหารใหญ่ของเค้าจะสั่งใช้นโยบายเด็ดขาดเมื่อไหร่ แต่ก็เหมือนสายฟ้าฟาดกลางแดด อีกแค่เดือนเดียวเค้าโทรมาแจ้งว่าผู้บริหารของเค้ารู้เรื่องว่าเค้าแอบส่งงานมาให้เราทำ ทางนายใหญ่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่าส่งงานมาให้โรงงานไม่ผ่านมาตรฐานทำได้ไง แล้วให้เราส่งคืนออร์เดอร์ที่เพิ่งไปรับตอนสี่ทุ่มของคืนก่อนหน้านั้นกลับทางเค้าทันที เราเองรีบโทรเจรจาอยากขอความเห็นใจ โอเปอเรเตอร์โอนสายให้คุยกับผู้ช่วยนายใหญ่ก่อน เราเลยแจ้งเรื่องไปเบื้องต้นว่าเกิดอะไรขึ้น อยากจะขอคุยกับทางนายใหญ่เค้าเพื่อขอเข้าไปพบ โทรไปหลายครั้งกว่าจะได้คุย แต่เจอเค้าย้อนถามกลับมาว่าต้องการอะไรที่จะเข้าไปคุย เพราะยังไงถ้าโรงงานไม่ผ่านการตรวจเราก็ยังไม่สามารถรับงานจากเค้าได้อยู่ดี เลยอึ้งๆไปเหมือนกัน แต่เค้าก็บอกกลับมาว่าถ้าผ่านแล้วก็กลับมารับงานได้ เราเลยคุยกับสามีว่าต้องทำโรงงานให้ผ่านเท่านั้นจึงจะมีหน้าเข้าไปคุยกับเค้าได้ แต่ไปๆมาๆหลังจากนั้นอีกอาทิตย์นึง กลับมาข่าวออกมาว่า เราไปก้าวร้าวกับผู้บริหาร ไม่ยอมคืนงานเค้า จนเค้าลั่นวาจาว่าถึงโรงงานเราจะผ่านการตรวจก็จะไม่ให้ส่งงานเพราะเราไปก้าวร้าวเค้า ซึ่งเราไม่เคยก้าวร้าวผู้ใหญ่เลย ยิ่งกรณีง้อเค้าขนาดนี้ไม่มีทางที่เราจะไปพูดจาไม่ดีด้วย (อันนี้ทราบจากวงในว่าคุณผู้ช่วยเป็นคนไปรายงานนายใหญ่ ซึ่งเราเอาก็พูดจาดีกับคุณผู้ช่วยนะ แต่ทำไมสารมันออกไปทำนองนั้นได้ก็งงเหมือนกัน) แล้วงานเราก็ส่งคืนเค้าทันทีที่เค้าแจ้ง เล่นเอาห่อเหี่ยวไปเลยแล้วตอนนี้ก็เริ่มรุ้สึกหมดหวังกับการกลับไปรับงานของการ์เม้นท์ใหญ่แห่งนี้แล้วด้วย
แล้วในที่สุด เงินในบัญชีลับอีกแสนกว่าบาทที่ตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกก็ต้องถูกเอามาจ่ายเป็นค่าเช่าโรงงานและเงินเดือนของคนงานในเดือนถัดไป เพราะเงินของบริษัทไม่มีเลยเพราะงานชะลอตัว บวกกับค่าต่อเติมโรงงานใหม่ ทั้งค่าขนย้าย เหล็ก หิน ปูนที่เอามาก่อสร้างเพิ่ม เราเลยจำใจปิดบัญชีเงินแสนสุดท้ายเอามาโปะโรงงาน คราวนี้ร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะหมดตัวของแท้ มีใช้อยู๋ไม่ถึงหมื่นบาท แล้วยิ่งโกรธมากที่มารู้ว่าสามีเพิ่งให้เพื่อนยืมเงินไปเกือบหมื่น แถมเพื่อนที่ค้างเงินเป็นแสนก็ไม่เคยคืนเงินมาเป็นปี ตอนนั้นแค่คิดว่าจะกินอะไรมื้อต่อไปยังคิดมากเลย ถ้าไม่ท้องก็คงยอมอดกินวันละมื้อไปแล้ว แต่พอท้องก็ไม่อยากให้ลูกต้องมาอดอยากด้วย เราเครียดหนักมากจนร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็รู้ว่ายิ่งเครียดยิ่งไม่ดีต่อลูก เลยตัดสินใจบอกทางบ้านไปว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องใหญ่ที่สุดคือโดนสรรพากรปิดบัญชีบริษัทเพราะสามีค้างจ่ายภาษีมาปีกว่า เป็นหลักแสน เราเองไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน รู้เข้าถึงกับช็อค เงินในบัญชีบริษัทแสนกว่าบาทเลยถูกอายัดไว้ทั้งหมด เลยต้องตัดใจปิดบัญชีที่ถูกอายัดเพื่อนำเงินไปจ่ายสรรพากรทั้งหมด เพราะยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เรายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะไม่เคยรู้เลยว่าสถานการณ์มันแย่ขนาดนี้ เริ่มคิดตลอดเวลาว่าคิดผิดที่สุดก็คือการมาเช่าโรงงานแสนแพงอันนี้เพราะยังไงก็ไม่มีปัญญารับภาระค่าใช้จ่ายและหนี้ขนาดนี้ได้ แต่ก็เดินมาไกลเกินกว่าจะถอยได้แล้ว จะมีวนเวียนกับความคิดว่า ถ้าวันนั้นเราไม่ให้เงินค่ามัดจำโรงงานกับเค้าไปแล้วยอมให้เค้ายึดเงินวางมัดจำห้าหมื่นบาทไปเลยยังจะดีซะกว่า ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย วนเวียนอยู๋แค่นี้
ในที่สุดเราเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ที่บ้านเราฟัง พ่อเราโอนเงินมาให้ทันที 400,000 บาทเพื่อเอาไปใช้จ่าย สามีเราดาวน์เครื่องจักรใหม่เพิ่มอีกเครื่องเพราะเครื่องจักรเครื่องเดียวไม่เพียงพอกับการทำงานและไม่น่าจะผ่านมาตรฐานการตรวจโรงงาน เราเลยดาวน์เครื่องจักรเพิ่มอีกเครื่องเป็นเงินเกือบสองแสนบาท และเอาเงินก้อนนี้จ่ายหนี้ต่างๆที่มีในระบบ รวมทั้งเครื่องจักรเครื่องเดิมที่สามีค้างจ่ายมาครึ่งปีโดยที่ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย เรารู้อะไรหลายๆอย่างจากน้องที่รับทำบัญชีให้กับบริษัท และยังพบอีกว่าสามีเราค้างจ่ายภาษีอีกเกือบสองแสนบาทตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เราทั้งโกรธทั้งเสียใจที่มันเหมือนหนี้มันไม่มีวันจบสิ้นซักที ถึงจะโปะเงินไปหลักล้านขนาดนี้ก็ยังไม่พอ จนต้องรบกวนพ่อให้เข้ามาช่วยก็แล้วก็ยังไม่จบสิ้น
เดี๋ยวมาต่อค่ะ จะหมดโควต้า 10,000 คำแล้ว
ตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอดแล้ว แต่เครียดมากเพราะเอาเงินไปลงทุนในธุรกิจจนหมด งานก็ยังมีปัญหาอยู่ตลอด
เราเพิ่งแต่งงานไปเมื่อปลายปีที่แล้วและท้องทันทีหลังแต่ง พอแต่งงานก็ย้ายมาทำงานกับสามีในกรุงเทพ ทั้งเราและสามีเป็นคนต่างจังหวัดทั้งคู่ เราช่วยสามีทำงานที่โรงงานของเค้า เป็นโรงงานปักและสกรีนผ้า ส่วนมากรับงานผลิตชิ้นส่วนของเสื้อผ้าให้กับการ์เม้นท์ไม่กี่บริษัท และรับงานผลิตเสื้อโปโลและเสื้อยืดเป็นตัวด้วยถ้ามีออร์เดอร์
ตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆก็พอจะรู้แล้วว่าบริษัทมีปัญหาเรื่องการเงิน สภาพคล่องไม่มีเพราะไม่เหลือเงินมาใช้จ่ายหมุนเวียนเลยในแต่ละเดือน เราต้องเอาเงินส่วนตัวที่เก็บสะสมไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ทั้งเงินเดือนคนงานที่ปาไปเดือนละแสนโดยประมาณ เงินสำรองซื้อของพวกสีและไหมที่เอามาใช้งาน เงินเก็บส่วนตัวเรามีมากพอสมควรเพราะเก็บไว้หลายบัญชีกระจัดกระจายกันไป ไม่เคยคิดว่าจะหมดไปง่ายๆเพราะปกติเราเป็นคนใช้จ่ายประหยัด ชอบเปิดบัญชีประเภทสะสมดอกเบี้ยสูงและไม่ค่อยจะถอนเงินออกมาใช้ถ้าไม่จำเป็น ตอนที่รู้ตัวว่าท้องเราก็ดีใจมาก แต่ก็รู้สึกกังวลใจอยู่นิดหน่อยเพราะรู้ตัวว่าโรงงานยังไม่นิ่งพอ ความตั้งใจแรกหลังจากแต่งงานคือตั้งใจจะปรับปรุงระบบของโรงงานรวมทั้งการจ่ายเงินของบริษัทให้สอดคล้องกับรายรับและวิ่งหาลูกค้าเพิ่ม แต่พอท้องแล้วกลับทำอะไรได้ไม่มากเท่าที่ตั้งใจเพราะอ่อนเพลียมาก แม้จะไม่แพ้ท้องแบบคนอื่นเค้าซึ่งโชคดีมาก แต่ก็ต้องระมัดระวังตัวไม่หักโหมทำงานหนักในช่วงท้องอ่อน ในแต่ละเดือนเราก็ยังคงออกค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทเป็นหลักหมื่นหลักแสนมาตลอด สามีเราบอกให้จดเอาไว้ว่าเราออกเงินอะไรไปบ้าง เค้าจะคืนเงินเราเมื่อเค้ามี เราก็จดไว้ทุกครั้งที่ควักเงิน บางเดือนเค้าก็คืนมา 20,000-30,000 เราก็ไม่เคยไปวุ่นวายเรื่องเงินของเค้าหรือขอดูบัญชีบริษัทเลยเพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว เค้าเปิดโรงงานและทำเองคนเดียวมาสามปีแล้วตั้งแต่เริ่มคบกัน ก็พอจะรู้ว่างานมีปัญหาบ้าง เงินมีปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าที่เค้าเล่า แล้วเราก็ไม่เคยซอกแซกถามอะไรมากไปกว่านั้นเท่าไหร่ (ตอนคบกันเราเองอยู่ต่างจังหวัด เดือนนึงจะได้เจอกันซักครั้ง ไม่เค้ามาหาก็เราไปหา ใช้การคุยโทรศัพท์กันทุกวันเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ เราไม่ค่อยทำตัวงี่เง่าเรียกร้องเวลาจากเค้าเท่าไหร่ ต่างคนต่างอยู่กันไป)
มาถึงจุดหักเหที่ต้องย้ายโรงงาน เพราะหมดสัญญากับที่เช่าเก่าพอดีและสถานการณ์บังคับจากบริษัทการ์เม้นท์ใหญ่ที่เป็นลูกค้า ซึ่งมีนโยบายส่งงานให้กับโรงงานที่ผ่านมาตรฐานการจัดตั้งโรงงานของเค้าเท่านั้น โรงงานเก่าของสามีนั้นไม่ผ่านมาตรฐาน ซึ่งหลังจากได้รับแจ้งแล้วก็เร่งหาโรงงานใหม่กันอยู่เป็นเดือน บางแห่งที่เจอก็สภาพทรุดโทรมต้องเทพื้นทำหลังคาใหม่ซึ่งคาดว่าต้องใช้เงินเป็นล้าน บางแห่งก็ไม่ผ่านมาตรฐานแน่นอนเพราะเป็นห้องแถว จนกระทั่งมาเจอที่นึงที่สร้างไว้เสร็จเรียบร้อย ตรงตามความต้องการใช้งานและขนาดเหมาะสมกับขนาดการทำงานของเราพอดี แต่ค่าเช่าต่อนั้นสูงถึง 100,000 บาทต่อเดือน เราเองก็คิดหนักแต่ก็เชื่อการตัดสินใจของสามี เพราะถามเค้าแล้วว่าเราทำรายได้ต่อเดือนสูงพอจะจ่ายค่าเช่าและเงินเดือนคนงานรวมทั้งค่าผ่อนเครื่องจักร ซึ่งรวมๆกันแล้วก็มี fix cost ที่ 300,000 ต่อเดือนไหวจิงเหรอ บวกกับค่ามัดจำล่วงหน้าสามเดือนที่ต้องจ่ายในเดือนแรกอีก 300,000 รวมกับค่าเช่าเดือนแรกอีก 100,000 คือต้องจ่ายก้อนแรกทั้งหมด 400,000 ซึ่งเรารู้ตัวว่าเงินบริษัทไม่มีแน่นอน แต่เค้าบอกว่าจะได้เงินจากกรมอาชีวะเพราะพ่อเค้าเพิ่งเสียไปหลังแต่งไม่นาน (พ่อเค้าเคยเป็น ผอ. ของโรงเรียนอาชีวะจนเกษียณอายุ คนที่เป็นครูอาจารย์ของกรมอาชีวะจะได้เงินแบบนี้ด้วยนี่ไม่เคยรู้มาก่อน) ซึ่งน่าจะเป็นหลักล้านในไม่นานนี้ น่าจะทันกับช่วงวางมัดจำพอดี ซึ่งเราก็เชื่อที่เค้าบอก เพราะอ่อนประสบการณ์ในการทำธุรกิจ เราเป็นพนักงานเงินเดือนมาก่อนแล้วลาออกมาช่วยกิจการทางบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งไม่ต้องทำอะไรมากมายเพราะมีพนักงานทำประจำอยู่ทุกฝ่ายแล้ว ทำให้ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนมากๆของเราเลย เสียใจที่ไม่สนใจศึกษาด้านนี้เท่าไหร่
มาถึงวันที่ต้องจ่ายมัดจำก้อนแรกของโรงงานใหม่ ปรากฏว่าเงินที่เค้าบอกว่าจะได้จากกรมอาชีวะไม่ยอมออกตามกำหนด และยังไม่ออกมาจนทุกวันนี้ (จะครึ่งปีมาแล้ว) เราเอาก็รู้ตัวว่าเงินเริ่มร่อยหรอไปเยอะเพราะต้องควักจ่ายทุกเดือน แต่ก็ยังมีบัญชีลับอีกอันที่อยากจะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวและสำหรับดูแลลูก แต่เมื่อถึงสถานการณ์ตอนนั้น เราจึงต้องจำใจถอนเงินจากบัญชีนั้นมาให้สามีไปวางมัดจำโรงงาน 400,000 บาท ทำให้เงินในบัญชีเหลืออีกแสนกว่าบาทเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะไม่ให้เงินก้อนนี้อีกแล้วเพราะเริ่มกลัวว่าจะไม่มีเงินไว้ให้ลูกหาหมอฉีดยาหลังคลอด ช่วงนั้นร้องไห้ทุกวันเพราะเริ่มกลัวอนาคต เริ่มรู้สึกหมดเนื้อหมดตัวเป็นครั้งแรก เริ่มกลัวลูกลำบาก กลัวพ่อแม่เป็นห่วงว่าแต่งงานแล้วต้องมาลำบาก กลัวไปทุกอย่าง เราโตมาแบบพ่อแม่ทะนุถนอน มีอดๆอยากๆบ้างแต่ไม่เคยเป็นหนี้หรือต้องหยิบยืมใครเพราะพ่อคอยถามและดูแลมาตลอด แต่ตอนนี้เราเองกำลังจะมีลูก รู้สึกสงสารเค้ามากที่เราไม่มีปัญหาหาอะไรดีๆกินเท่าที่ควร ต้องกินข้างถนนเพราะอยากประหยัด ผลไม้ดีๆแพงๆที่หนังสือแนะนำให้กินก็นานๆจะตัดใจซื้อกินซักทีเพราะกลัวเงินจะหมด ร้องไห้จนสามีขอร้องว่าอย่าร้องเพราะเค้ารู้สึกผิด รู้ทั้งรู้ว่าเค้าพยายามที่จะทำงานหาเงินอย่างเต็มที่ ไม่เคยเถลไถล เงินที่ใช้ก็เป็นเรื่องจำเป็นในการทำงานทั้งนั้น เพียงแต่เค้าเองไม่มีเงินเลย ทางบ้านเค้าเองก็ไม่มีให้ เราเองก็ไม่อยากรบกวนทางบ้านเพราะถือว่าแต่งงานออกมาแล้วต้องดูแลตัวเองให้ได้ เลยต้องยอมควักเงินส่วนตัวและไม่เล่าอะไรให้ทางบ้านเป็นห่วงเลยมาตลอด เวลาคุยโทรศัพท์ก็บอกแค่งานยุ่งมาก เหนื่อย แค่เค้าเป็นห่วงเราเรื่องท้องแล้วยังทำงานแค่นี้เราก็รู้สึกแย่แล้ว ไม่อยากให้เค้ารู้ว่าเรากำลังมีปัญหาเรื่องเงินอีก ก็พยายามประคับประคองตัวเองมาตลอด
หลังจากจ่ายเงินมัดจำก็เริ่มปรับปรุงสถานที่ ซึ่งก็ต้องใช้เงินในการสร้างและต่อเติมโรงงานใหม่ให้เป็นไปในแบบที่เค้าต้องการ ล้อมรั้ว ทุบผนัง เติมนั่นนี่ ซึ่งก็ยังคงใช้เงินทั้งของเราและของบริษัท เราเองไม่อยากให้ทำอะไรกับมันมาก เพราะคิดว่ายังไงก็เช่าแค่สามปี คงไม่เช่าต่อแน่เพราะแค่สามปีก็ไม่รู้จะไปได้ตลอดรอดฝั่งมีจ่ายเค้าทุกเดือนรึป่าว แต่สามีเราก็อยากให้โรงงานออกมาดูดีจะได้ผ่านการตรวจมาตรฐานโรงงานเพื่อจะได้กลับไปรับงานของการ์เม้นท์ใหญ่นั่นอีกครั้ง ในระหว่างนั้นการ์เม้นท์ใหญ่แจ้งว่ายังมีเวลาส่งงานมาทางเราได้อีกสามสี่เดือน (ฝ่ายผลิตชอบสามีเรามาก เพราะตามใจลูกค้า ให้ไปรับงานส่งงานสามสี่ทุ่มก็ไป งานเร่งแค่ไหนก็ทำให้ตลอด) แต่ให้เราเร่งเรื่องปรับปรุงโรงงานและเรียกตรวจให้เร็วที่สุดจะดีกว่า เพราะไม่รู้ทางผู้บริหารใหญ่ของเค้าจะสั่งใช้นโยบายเด็ดขาดเมื่อไหร่ แต่ก็เหมือนสายฟ้าฟาดกลางแดด อีกแค่เดือนเดียวเค้าโทรมาแจ้งว่าผู้บริหารของเค้ารู้เรื่องว่าเค้าแอบส่งงานมาให้เราทำ ทางนายใหญ่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่าส่งงานมาให้โรงงานไม่ผ่านมาตรฐานทำได้ไง แล้วให้เราส่งคืนออร์เดอร์ที่เพิ่งไปรับตอนสี่ทุ่มของคืนก่อนหน้านั้นกลับทางเค้าทันที เราเองรีบโทรเจรจาอยากขอความเห็นใจ โอเปอเรเตอร์โอนสายให้คุยกับผู้ช่วยนายใหญ่ก่อน เราเลยแจ้งเรื่องไปเบื้องต้นว่าเกิดอะไรขึ้น อยากจะขอคุยกับทางนายใหญ่เค้าเพื่อขอเข้าไปพบ โทรไปหลายครั้งกว่าจะได้คุย แต่เจอเค้าย้อนถามกลับมาว่าต้องการอะไรที่จะเข้าไปคุย เพราะยังไงถ้าโรงงานไม่ผ่านการตรวจเราก็ยังไม่สามารถรับงานจากเค้าได้อยู่ดี เลยอึ้งๆไปเหมือนกัน แต่เค้าก็บอกกลับมาว่าถ้าผ่านแล้วก็กลับมารับงานได้ เราเลยคุยกับสามีว่าต้องทำโรงงานให้ผ่านเท่านั้นจึงจะมีหน้าเข้าไปคุยกับเค้าได้ แต่ไปๆมาๆหลังจากนั้นอีกอาทิตย์นึง กลับมาข่าวออกมาว่า เราไปก้าวร้าวกับผู้บริหาร ไม่ยอมคืนงานเค้า จนเค้าลั่นวาจาว่าถึงโรงงานเราจะผ่านการตรวจก็จะไม่ให้ส่งงานเพราะเราไปก้าวร้าวเค้า ซึ่งเราไม่เคยก้าวร้าวผู้ใหญ่เลย ยิ่งกรณีง้อเค้าขนาดนี้ไม่มีทางที่เราจะไปพูดจาไม่ดีด้วย (อันนี้ทราบจากวงในว่าคุณผู้ช่วยเป็นคนไปรายงานนายใหญ่ ซึ่งเราเอาก็พูดจาดีกับคุณผู้ช่วยนะ แต่ทำไมสารมันออกไปทำนองนั้นได้ก็งงเหมือนกัน) แล้วงานเราก็ส่งคืนเค้าทันทีที่เค้าแจ้ง เล่นเอาห่อเหี่ยวไปเลยแล้วตอนนี้ก็เริ่มรุ้สึกหมดหวังกับการกลับไปรับงานของการ์เม้นท์ใหญ่แห่งนี้แล้วด้วย
แล้วในที่สุด เงินในบัญชีลับอีกแสนกว่าบาทที่ตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกก็ต้องถูกเอามาจ่ายเป็นค่าเช่าโรงงานและเงินเดือนของคนงานในเดือนถัดไป เพราะเงินของบริษัทไม่มีเลยเพราะงานชะลอตัว บวกกับค่าต่อเติมโรงงานใหม่ ทั้งค่าขนย้าย เหล็ก หิน ปูนที่เอามาก่อสร้างเพิ่ม เราเลยจำใจปิดบัญชีเงินแสนสุดท้ายเอามาโปะโรงงาน คราวนี้ร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะหมดตัวของแท้ มีใช้อยู๋ไม่ถึงหมื่นบาท แล้วยิ่งโกรธมากที่มารู้ว่าสามีเพิ่งให้เพื่อนยืมเงินไปเกือบหมื่น แถมเพื่อนที่ค้างเงินเป็นแสนก็ไม่เคยคืนเงินมาเป็นปี ตอนนั้นแค่คิดว่าจะกินอะไรมื้อต่อไปยังคิดมากเลย ถ้าไม่ท้องก็คงยอมอดกินวันละมื้อไปแล้ว แต่พอท้องก็ไม่อยากให้ลูกต้องมาอดอยากด้วย เราเครียดหนักมากจนร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็รู้ว่ายิ่งเครียดยิ่งไม่ดีต่อลูก เลยตัดสินใจบอกทางบ้านไปว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องใหญ่ที่สุดคือโดนสรรพากรปิดบัญชีบริษัทเพราะสามีค้างจ่ายภาษีมาปีกว่า เป็นหลักแสน เราเองไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน รู้เข้าถึงกับช็อค เงินในบัญชีบริษัทแสนกว่าบาทเลยถูกอายัดไว้ทั้งหมด เลยต้องตัดใจปิดบัญชีที่ถูกอายัดเพื่อนำเงินไปจ่ายสรรพากรทั้งหมด เพราะยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เรายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะไม่เคยรู้เลยว่าสถานการณ์มันแย่ขนาดนี้ เริ่มคิดตลอดเวลาว่าคิดผิดที่สุดก็คือการมาเช่าโรงงานแสนแพงอันนี้เพราะยังไงก็ไม่มีปัญญารับภาระค่าใช้จ่ายและหนี้ขนาดนี้ได้ แต่ก็เดินมาไกลเกินกว่าจะถอยได้แล้ว จะมีวนเวียนกับความคิดว่า ถ้าวันนั้นเราไม่ให้เงินค่ามัดจำโรงงานกับเค้าไปแล้วยอมให้เค้ายึดเงินวางมัดจำห้าหมื่นบาทไปเลยยังจะดีซะกว่า ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย วนเวียนอยู๋แค่นี้
ในที่สุดเราเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ที่บ้านเราฟัง พ่อเราโอนเงินมาให้ทันที 400,000 บาทเพื่อเอาไปใช้จ่าย สามีเราดาวน์เครื่องจักรใหม่เพิ่มอีกเครื่องเพราะเครื่องจักรเครื่องเดียวไม่เพียงพอกับการทำงานและไม่น่าจะผ่านมาตรฐานการตรวจโรงงาน เราเลยดาวน์เครื่องจักรเพิ่มอีกเครื่องเป็นเงินเกือบสองแสนบาท และเอาเงินก้อนนี้จ่ายหนี้ต่างๆที่มีในระบบ รวมทั้งเครื่องจักรเครื่องเดิมที่สามีค้างจ่ายมาครึ่งปีโดยที่ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย เรารู้อะไรหลายๆอย่างจากน้องที่รับทำบัญชีให้กับบริษัท และยังพบอีกว่าสามีเราค้างจ่ายภาษีอีกเกือบสองแสนบาทตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เราทั้งโกรธทั้งเสียใจที่มันเหมือนหนี้มันไม่มีวันจบสิ้นซักที ถึงจะโปะเงินไปหลักล้านขนาดนี้ก็ยังไม่พอ จนต้องรบกวนพ่อให้เข้ามาช่วยก็แล้วก็ยังไม่จบสิ้น
เดี๋ยวมาต่อค่ะ จะหมดโควต้า 10,000 คำแล้ว