เรื่องเริ่มต้นจากคุณพ่อผมป่วยด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน ซึ่งก่อนหน้านั้นคุณหมอบอกว่าคุณพ่อผมจะอยู่ได้ไม่ถึง 6 เดือน คุณพ่อก็รักษาไปเรื่อยๆ มีทั้งให้คีโม คุณพ่อผมก็ไม่แพ้ ผมก็ไม่ร่วง ที่ รพ.จุฬาฯ มีทั้งลงทุนไปฉีด คล้ายๆสเตมเซล เห็นคุณพ่อเล่าให้ฟังว่าเป็นเทคโนโลยี เซลเพิ่มเซล จากเยอรมัน หมดไปเยอะ อันนี้รักษาข้างนอก หลังจากที่รักษาต่าง ๆ คุณพ่อผมก็ดูอาการภายนอกปกติดีนะครับ มีแต่ผอมลงเท่านั้นเอง แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตปกติ ขับรถไปไหนมาไหนได้สำหรับคนอายุ 83 ปี จากที่คุณหมอบอกว่าคุณพ่อผมจะอยู่ได้ 6 เดือน คุณพ่อผมก็อยู่มาได้ปีนึงแล้ว
จนมาประมาณวันที่ 12 พ.ค.56 คุณพ่อผมก็แอดมิทห้อง i.c.u. ที่รพ.จุฬา ฯ ก่อนคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลมีอาการคือเริ่มเบื่ออาหารไม่ทานอาหารมา 2 วันคุณพ่อผมอยู่บ้านกะเมียน้อยนะครับ แยกกันอยู่กับคุณแม่และผม คุณพ่อโทรมาบอกคุณแม่ว่าไม่ทานอาหารมา 2 วันแล้ว คุณแม่ผมก็เลยให้คุณพ่อไปแอดมิทเข้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลจุฬาฯเลย แล้วเราก็ไปเยี่ยมคุณพ่อที่ห้องฉุกเฉินกัน คุณพ่อนอนอยู่ที่ห้องฉุกเฉินอยู่ ก็ยังพูดคุยได้ลุกขึ้นนั่งได้ตามปกติ เพียงแต่ปวดท้องมาก แต่ให้น้ำเกลือกับให้ออกซิเจนทางจมูก
นอนอยู่ I.c.u.อยู่ประมาณ 3 วัน (ถ้าจำไม่ผิดวันที่ 15 หรือ 16 พ.ค. 56) ถึงจะได้ห้องที่ตึก ประสิทธิ์ ตุ๊ พร้อมพันธุ์ ย้ายไปอยู่ห้องรวมชั้น 2 ขึ้นบันไดไปแล้วเลี้ยวซ้าย ห้องรวมมีประมาณ 6 เตียง (จำเลขห้องกะรายละเอียดแน่นอนไม่ได้แต่ประมาณนี้) เนื่องจากห้องพิเศษไม่ว่างเลย พอไปถึงคุณหมอเจ้าของไข้ก็มาตรวจ แต่ที่ผมสะดุดตาคือคุณหมอหน้าเด็กมากหมวยๆตัวเล็ก น่าจะประมาณ 155 ซม. เดินตามคุณหมอเจ้าของไข้มา พอคุณหมอตรวจเสร็จ ผมก็ถือโอกาสไปคุยกะคุณหมอหมวยหน้าเด็ก แบบว่าปิ๊งเธอไงครับก็หาเรื่องเนียนๆเข้าไปคุย ก็ได้ความว่า เธอเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 6 มาฝึกงาน ผมก็นึกในใจคุณหมอตัวเล็กจังดูเป็นลูกคุณหนู จะไหวเหรอ ผมแอบดูชื่อนามสกุลจริงที่เสื้อกราวน์ (แต่ปัจจุบันลืมไปแล้ว)
สักพักคุณหมอเจ้าของไข้ก็เรียกญาติทั้งหมดออกมา มีผม แม่ พี่ชาย หลานชาย เมียน้อยคุณพ่อ หมอบอกว่า อาการคนไข้อาการขั้นสุดท้ายแล้วนะให้ทำใจ เราก็คงรักษาไปตามสภาพ ผมไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่ คุณแม่ก็บอกหมอว่าทราบแล้วค่ะ จริงๆหมอที่รักษาอยู่ประจำเคยบอกว่าอยู่ได้แค่ 6 เดือน แต่นี่ก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว คุณหมอเลยถามต่อว่าคนไข้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจนะจะเจ็บมาก ญาติยินยอมไหมครับ พวกเราก็ตกลงยินยอมให้ใส่เพียงแต่ว่าคุณพ่อยังพูดคุยได้ ให้คุณหมอถามคนไข้เองดีกว่า คุณหมอก็เข้าไปพูดคุยกับคุณพ่อ คุณพ่อก็ตกลงใส่เครื่องช่วยหายใจ คุณหมอเจ้าของไข้คุณหมอหน้าเด็กตัวเล็กกับพยาบาล อีก 2 คนก็ เริ่มใส่เครื่องช่วยหายใจให้คุณพ่อผม ผมกะครอบครัวก็ยืนดูอยู่ข้างนอกเห็นคุณหมอเอาเครื่องช่วยหายใจสอดเข้าปากคุณพ่อผม คุณพ่อผมก็ดิ้น ๆ และร้องอ้อแอ้ๆ สักพัก
คุณพ่อผมช้อค สลบไป เสียงเครื่องวัดหัวใจดัง ตื้ด ภาพที่เห็นก็คือ คุณหมอนักศึกษาแพทย์ฝึกงานหน้าเด็กกระโดดขึ้นเตียงคร่อมคุณพ่อผมทำ CPR ปั๊มหัวใจให้คุณพ่อผม ยอมรับว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ประทับใจมาก เพราะผมเคยเหมือนดูถูกคุณหมอเอาไว้ ว่าตัวเล็กๆลูกคุณหนูแบบนี้จะไหวเหรอ ระหว่างที่คุณหมอทำ CPR ผมก็เห็นคุณพ่ออ้วกออกมาเป็นเลือดดำๆจากปากเต็มไปหมด คุณหมอตัวเล็กก็ไม่รังเกียจเธอก็ยังทำ CPR ต่อไปมีการฉีดยาให้คุณพ่อผมด้วย เกือบ 10 นาที โดยสลับกับหมอผู้ชาย คุณพ่อผมก็ หัวใจกลับมาเต้น คุณหมอเจ้าของไข้ก็ เชิญพวกเรามาคุยบอกว่าคนไข้ระหว่างใส่เครื่องช่วยหายใจ เกิดช้อคหัวใจหยุดเต้นไปเกือบ 10 นาที ตอนนี้ก็ กลับมาเต้นแล้วแต่ต้องดูอาการไป
พอคุณหมอไป พวกเราก็มองหน้ากันแล้วคุยกัน แบบเฮ้ย อะไรวะเนี่ย ใส่เครื่องช่วยหายใจแค่นี้ หัวใจถึงกับหยุดเต้นต้องทำ CPR เลยเหรอ คุณพ่อก่อนหน้านี้ก็ยังลุกขึ้นนั่งได้ คุยได้ถามอะไรตอบได้หมด คุณแม่ก็บอกว่า คุณพ่อเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วตลอดชีวิตไม่เคยป่วยนอนโรงพยาบาลหนักๆอะไรแบบนี้เลย ไม่เคยใส่เครื่องช่วยหายใจมาก่อน คงจะกลัวมากจนช้อคไป คืนนั้นคุณหมอตัวเล็กก็เข้าเวรนอนค้างที่ห้องแพทย์เวร ผมก็มีโอกาสได้คุยกับเธออีกครั้ง ตอนเธอมาตรวจอาการคุรพ่อผม ผมก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อย คุณหมอบอกว่าก็ต้องฝึกงานวนไปเรื่อย ๆ จริงๆ ผมถามชื่อเล่นคุณหมอมาแล้ว แต่ลืม
ระบายความในใจ ผมหลงรักนักศึกษาแพทย์ฝึกงาน ปี 6 ครับ
จนมาประมาณวันที่ 12 พ.ค.56 คุณพ่อผมก็แอดมิทห้อง i.c.u. ที่รพ.จุฬา ฯ ก่อนคุณพ่อเข้าโรงพยาบาลมีอาการคือเริ่มเบื่ออาหารไม่ทานอาหารมา 2 วันคุณพ่อผมอยู่บ้านกะเมียน้อยนะครับ แยกกันอยู่กับคุณแม่และผม คุณพ่อโทรมาบอกคุณแม่ว่าไม่ทานอาหารมา 2 วันแล้ว คุณแม่ผมก็เลยให้คุณพ่อไปแอดมิทเข้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลจุฬาฯเลย แล้วเราก็ไปเยี่ยมคุณพ่อที่ห้องฉุกเฉินกัน คุณพ่อนอนอยู่ที่ห้องฉุกเฉินอยู่ ก็ยังพูดคุยได้ลุกขึ้นนั่งได้ตามปกติ เพียงแต่ปวดท้องมาก แต่ให้น้ำเกลือกับให้ออกซิเจนทางจมูก
นอนอยู่ I.c.u.อยู่ประมาณ 3 วัน (ถ้าจำไม่ผิดวันที่ 15 หรือ 16 พ.ค. 56) ถึงจะได้ห้องที่ตึก ประสิทธิ์ ตุ๊ พร้อมพันธุ์ ย้ายไปอยู่ห้องรวมชั้น 2 ขึ้นบันไดไปแล้วเลี้ยวซ้าย ห้องรวมมีประมาณ 6 เตียง (จำเลขห้องกะรายละเอียดแน่นอนไม่ได้แต่ประมาณนี้) เนื่องจากห้องพิเศษไม่ว่างเลย พอไปถึงคุณหมอเจ้าของไข้ก็มาตรวจ แต่ที่ผมสะดุดตาคือคุณหมอหน้าเด็กมากหมวยๆตัวเล็ก น่าจะประมาณ 155 ซม. เดินตามคุณหมอเจ้าของไข้มา พอคุณหมอตรวจเสร็จ ผมก็ถือโอกาสไปคุยกะคุณหมอหมวยหน้าเด็ก แบบว่าปิ๊งเธอไงครับก็หาเรื่องเนียนๆเข้าไปคุย ก็ได้ความว่า เธอเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 6 มาฝึกงาน ผมก็นึกในใจคุณหมอตัวเล็กจังดูเป็นลูกคุณหนู จะไหวเหรอ ผมแอบดูชื่อนามสกุลจริงที่เสื้อกราวน์ (แต่ปัจจุบันลืมไปแล้ว)
สักพักคุณหมอเจ้าของไข้ก็เรียกญาติทั้งหมดออกมา มีผม แม่ พี่ชาย หลานชาย เมียน้อยคุณพ่อ หมอบอกว่า อาการคนไข้อาการขั้นสุดท้ายแล้วนะให้ทำใจ เราก็คงรักษาไปตามสภาพ ผมไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่ คุณแม่ก็บอกหมอว่าทราบแล้วค่ะ จริงๆหมอที่รักษาอยู่ประจำเคยบอกว่าอยู่ได้แค่ 6 เดือน แต่นี่ก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว คุณหมอเลยถามต่อว่าคนไข้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจนะจะเจ็บมาก ญาติยินยอมไหมครับ พวกเราก็ตกลงยินยอมให้ใส่เพียงแต่ว่าคุณพ่อยังพูดคุยได้ ให้คุณหมอถามคนไข้เองดีกว่า คุณหมอก็เข้าไปพูดคุยกับคุณพ่อ คุณพ่อก็ตกลงใส่เครื่องช่วยหายใจ คุณหมอเจ้าของไข้คุณหมอหน้าเด็กตัวเล็กกับพยาบาล อีก 2 คนก็ เริ่มใส่เครื่องช่วยหายใจให้คุณพ่อผม ผมกะครอบครัวก็ยืนดูอยู่ข้างนอกเห็นคุณหมอเอาเครื่องช่วยหายใจสอดเข้าปากคุณพ่อผม คุณพ่อผมก็ดิ้น ๆ และร้องอ้อแอ้ๆ สักพัก
คุณพ่อผมช้อค สลบไป เสียงเครื่องวัดหัวใจดัง ตื้ด ภาพที่เห็นก็คือ คุณหมอนักศึกษาแพทย์ฝึกงานหน้าเด็กกระโดดขึ้นเตียงคร่อมคุณพ่อผมทำ CPR ปั๊มหัวใจให้คุณพ่อผม ยอมรับว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ประทับใจมาก เพราะผมเคยเหมือนดูถูกคุณหมอเอาไว้ ว่าตัวเล็กๆลูกคุณหนูแบบนี้จะไหวเหรอ ระหว่างที่คุณหมอทำ CPR ผมก็เห็นคุณพ่ออ้วกออกมาเป็นเลือดดำๆจากปากเต็มไปหมด คุณหมอตัวเล็กก็ไม่รังเกียจเธอก็ยังทำ CPR ต่อไปมีการฉีดยาให้คุณพ่อผมด้วย เกือบ 10 นาที โดยสลับกับหมอผู้ชาย คุณพ่อผมก็ หัวใจกลับมาเต้น คุณหมอเจ้าของไข้ก็ เชิญพวกเรามาคุยบอกว่าคนไข้ระหว่างใส่เครื่องช่วยหายใจ เกิดช้อคหัวใจหยุดเต้นไปเกือบ 10 นาที ตอนนี้ก็ กลับมาเต้นแล้วแต่ต้องดูอาการไป
พอคุณหมอไป พวกเราก็มองหน้ากันแล้วคุยกัน แบบเฮ้ย อะไรวะเนี่ย ใส่เครื่องช่วยหายใจแค่นี้ หัวใจถึงกับหยุดเต้นต้องทำ CPR เลยเหรอ คุณพ่อก่อนหน้านี้ก็ยังลุกขึ้นนั่งได้ คุยได้ถามอะไรตอบได้หมด คุณแม่ก็บอกว่า คุณพ่อเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้วตลอดชีวิตไม่เคยป่วยนอนโรงพยาบาลหนักๆอะไรแบบนี้เลย ไม่เคยใส่เครื่องช่วยหายใจมาก่อน คงจะกลัวมากจนช้อคไป คืนนั้นคุณหมอตัวเล็กก็เข้าเวรนอนค้างที่ห้องแพทย์เวร ผมก็มีโอกาสได้คุยกับเธออีกครั้ง ตอนเธอมาตรวจอาการคุรพ่อผม ผมก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อย คุณหมอบอกว่าก็ต้องฝึกงานวนไปเรื่อย ๆ จริงๆ ผมถามชื่อเล่นคุณหมอมาแล้ว แต่ลืม