( 6. ผู้ชายหน้าหม้อ )
จริง ๆ แล้วผมนัดกับออฟวันอาทิตย์ ว่าจะพาเธอไปเที่ยววัดพระแก้ว เธอไม่เคยเดินวัดพระแก้ว แต่พอถึงวันเสาร์พอดีผมต้องไปทำงาแถวประตูน้ำ ตกเย็นก็ว่างไม่มีอะไรจะทำเลยคิดว่าลองโทรหาออฟดูเผื่อเธอว่าง กะว่าจะชวนพาไปกินข้าวเย็นด้วยกันเจอซ้อนกันสองวันเลย เรียกว่าตามเก็บคะแนนชนิดหายใจรดต้นคอ ไม่ยอมพลาดเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ ทุกเวลานาที
ออฟเป็นสาวน่านที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เธออยู่อพาร์เม้นท์ใกล้ที่ทำงาน ปกติจะอยู่ที่ทำงานจนดึกแล้วค่อยกลับบ้านไปนอน วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้ไปไหน นอกจากไปนั่งทำงานที่ออฟฟิศ ผมมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่เพราะความขยันหรืองานเยอะอย่างเดียว แต่เธอเปิดเว็บไซท์ขายของด้วยก็เลยอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ของบริษัท ช่วยในการทำมาหากิน เรียกรายได้พิเศษไปด้วยว่างั้นเหอะ
แล้วก็เป็นอย่างคาด เธออยู่ที่ทำงานและไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ออฟรับนัดทันทีและผมก็ไปถึงที่ทำงานเธอในอีกสิบนาทีต่อมาเท่านั้น ผมก็พาเธอไปสถานที่แห่งหนึ่ง
“ที่ไหนกันน่ะนี่”
“ถนนที่สวยที่สุดในประเทศไทยไงละจ๊ะ” ผมพาเธอไป
กินข้าวแถวพุทธมณฑล
“สวยจังเลย อยากมาที่นี่บ่อย ๆ พี่พาออฟมาบ่อย ๆ นะ”
ผมพยักหน้าให้ เรากินข้าวและอาบแสงจันทร์ไปด้วยกลางบรรยากาศที่แสนสงบ ร้านอาหารอยู่ห่างถนนออกมาสองสามร้อยเมตร ทำให้เห็นเสาไฟรูปหงส์เรียงรายอยู่ไกล ๆ เป็นแนวสวยงาม ความเย็นของหน้าหนาวและอากาศสดชื่นด้วยแมกไม้ทำให้แสงจันทร์คืนนั้นสวยเป็นพิเศษ
เมื่อต่างคนต่างกลับมาแล้ว จำได้แต่ว่าคืนนั้นผมหลับสบาย ฝันดีเป็นพิเศษ
รุ่งขึ้นเช้าผมกลับมารับเธออีกรอบนึง เธอมีสีหน้าชื่นมื่น ผมก็ชื่นมื่น ออฟสวยแบบสาวเหนือ ผิวขาวเนียน หน้าตาน้ำเสียงและความคิดอ่านของออฟเหมือนเด็ก ๆ เล็ก ๆ ที่น่าทะนุถนอม เราเดินวัดพระแก้วกันทั้งเช้า เที่ยงก็ไปกินข้าวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สโมสรนายทหารเรือ ใคร ๆ ก็หันมองเธอ (ไม่รู้ว่ามองแบบ อืม เสี่ยคนนี้หิ้วสาวที่ไหนมานะ หรือเปล่า)
โปรแกรมเที่ยวยังไม่หยุดยั้งเท่านี้ มาทั้งทีต้องให้สนุกเต็มที่ สถานที่พื้น ๆ หลาย ๆ แห่งในกรุงเทพฯ ออฟยังไม่เคยไป ผมสามารถสร้างความประทับใจให้เธอได้ด้วยการพาไปสถานที่ง่าย ๆ แต่โรแมนติก
ตอนเย็นเราจึงไปนั่งเรือถีบกันต่อที่สวนลุมฯ ตอนนั้นหกโมงเย็นแล้ว แสงอาทิตย์กำลังโพล้เพล้ บรรยากาศชวนจู๋จี๋จู่ ๆ เมฆฝนทะมึนก็มา ถึง ออฟเลยชวนให้กลับ พอคืนเรือถีบแล้ว เรากึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่รถ
แม่เจ้า บรรยากาศยังกะหนังมิวสิควีดีโอ ฝนตกปรอย ๆ เราต่างประคองกันเดินไปตามถนน ตัวยิ่งเปียกเราก็ยิ่งกอดกันแน่น พอมาถึงรถก็เข้าไปซุกตัวส่งไออุ่นกันต่อ
ตอนนึงออฟเล่าให้ฟังว่า เธอไปเจอหนุ่มคนนึงในเน็ทเหมือนกัน แต่เจอกันแบบไม่น่าจะเจอ เพราะพลังของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง หนุ่มคนนั้นเป็นนักเรียนไทยเรียนอยู่เท็กซัส ใช่...ทั้งคู่รู้จักกันในเน็ท คุยกันข้ามโลก จีบกันข้ามทวีป จีบกันจนติด วันเวลาที่หนุ่มนั่นกลับมาเมืองไทยทั้งคู่ก็ได้เจอกัน ผมไม่รู้ว่าออฟเสร็จไอ้หมอนั่นไปแล้วยัง ไม่กล้าถาม แต่คำพูดอันนึงของออฟ ที่หลุดออกมาน่าสนใจทำให้เราคิดเลยเถิด ไปได้ไกล
หนุ่มคนนั้นหน้าตาดี มีอนาคตไกล พ่อแม่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านเพชร กลับมาถึงเมืองไทยก็มีเงินให้ลูกเปิดบริษัททำธุรกิจเป็นกรรมการผู้จัดการเพลินไป
ออฟบอกว่าที่เลิกกันเพราะผู้ชายให้ความใส่ใจกับเธอน้อยจนถึงขั้นเรียกว่าไม่ให้ความสำคัญก็ว่าได้ เวลาออฟโทรหา หนุ่มคนนั้นถ้าอารมณ์ดีก็จะรับโทรศัพท์ ถ้าไม่อยากคุยด้วยก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย วันไหนนึกอยากมาหาก็มา มาแล้วบางทีก็หายหน้าไปสองสามอาทิตย์ เวลาพาออฟไปที่บ้านต้องกะเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน คุณแม่ของเจ้าหนุ่มมาเจอโดยบังเอิญ ก็บอกว่าออฟเป็นน้อง ๆ ที่ทำงาน เรียกว่ามีความสัมพันธ์กับออฟอย่างปกปิดและซ่อนเร้นสม่ำเสมอ (อันนี้หนุ่ม ๆ ทั้งหลายฟังแล้ว ก็อาจเดาว่าเขามีออฟไว้เป็นที่ระบายอารมณ์เท่านั้น)
ผมฟังก็นึกสงสาร เพราะออฟบอกว่า ในใจลึก ๆ ก็ยังชอบไอ้หมอนั่นอยู่ แต่เมื่อทำอย่างนี้กับเธอก็คงคบต่อไม่ได้ ผมก็ไม่อยากแสดงความเห็นมาก ได้แต่รับฟังไว้ เพราะยังไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเธอมาก และไม่อยากแสดงความเห็นอะไรที่เป็นการทำร้ายจิตใจเธอ เพราะดูเหมือนเธอจะมีอุปนิสัยชอบฝัน และมีความสุขอยู่กับจินตนาการมากกว่าความจริง ทำให้ความคิดแว้บ ๆ เล็ก ๆ ที่อยากจะฟันเธอ และเก็บไว้เป็นที่ระบายอารมณ์บ้างนั้นหายไป
อย่างว่านะ ในข้อเท็จจริงของโลกเฮงซวยใบนี้ จะมีสาวแบบออฟสักกี่คน ที่จะมีโอกาสได้เจอหนุ่มหล่อ ๆ นักเรียนนอก พ่อแม่รวย อะไร ๆ ก็ดูเท่หรูและไฮโซฯ มาชอบมาหลงใหลในตัวเธอมากกว่าการที่จะเห็นเธอเป็นทางผ่านเท่านั้น
รักใสๆ หัวใจใส่เน็ท (ภาค 6)
จริง ๆ แล้วผมนัดกับออฟวันอาทิตย์ ว่าจะพาเธอไปเที่ยววัดพระแก้ว เธอไม่เคยเดินวัดพระแก้ว แต่พอถึงวันเสาร์พอดีผมต้องไปทำงาแถวประตูน้ำ ตกเย็นก็ว่างไม่มีอะไรจะทำเลยคิดว่าลองโทรหาออฟดูเผื่อเธอว่าง กะว่าจะชวนพาไปกินข้าวเย็นด้วยกันเจอซ้อนกันสองวันเลย เรียกว่าตามเก็บคะแนนชนิดหายใจรดต้นคอ ไม่ยอมพลาดเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ ทุกเวลานาที
ออฟเป็นสาวน่านที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เธออยู่อพาร์เม้นท์ใกล้ที่ทำงาน ปกติจะอยู่ที่ทำงานจนดึกแล้วค่อยกลับบ้านไปนอน วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้ไปไหน นอกจากไปนั่งทำงานที่ออฟฟิศ ผมมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่เพราะความขยันหรืองานเยอะอย่างเดียว แต่เธอเปิดเว็บไซท์ขายของด้วยก็เลยอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือคอมพิวเตอร์ของบริษัท ช่วยในการทำมาหากิน เรียกรายได้พิเศษไปด้วยว่างั้นเหอะ
แล้วก็เป็นอย่างคาด เธออยู่ที่ทำงานและไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ออฟรับนัดทันทีและผมก็ไปถึงที่ทำงานเธอในอีกสิบนาทีต่อมาเท่านั้น ผมก็พาเธอไปสถานที่แห่งหนึ่ง
“ที่ไหนกันน่ะนี่”
“ถนนที่สวยที่สุดในประเทศไทยไงละจ๊ะ” ผมพาเธอไป
กินข้าวแถวพุทธมณฑล
“สวยจังเลย อยากมาที่นี่บ่อย ๆ พี่พาออฟมาบ่อย ๆ นะ”
ผมพยักหน้าให้ เรากินข้าวและอาบแสงจันทร์ไปด้วยกลางบรรยากาศที่แสนสงบ ร้านอาหารอยู่ห่างถนนออกมาสองสามร้อยเมตร ทำให้เห็นเสาไฟรูปหงส์เรียงรายอยู่ไกล ๆ เป็นแนวสวยงาม ความเย็นของหน้าหนาวและอากาศสดชื่นด้วยแมกไม้ทำให้แสงจันทร์คืนนั้นสวยเป็นพิเศษ
เมื่อต่างคนต่างกลับมาแล้ว จำได้แต่ว่าคืนนั้นผมหลับสบาย ฝันดีเป็นพิเศษ
รุ่งขึ้นเช้าผมกลับมารับเธออีกรอบนึง เธอมีสีหน้าชื่นมื่น ผมก็ชื่นมื่น ออฟสวยแบบสาวเหนือ ผิวขาวเนียน หน้าตาน้ำเสียงและความคิดอ่านของออฟเหมือนเด็ก ๆ เล็ก ๆ ที่น่าทะนุถนอม เราเดินวัดพระแก้วกันทั้งเช้า เที่ยงก็ไปกินข้าวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สโมสรนายทหารเรือ ใคร ๆ ก็หันมองเธอ (ไม่รู้ว่ามองแบบ อืม เสี่ยคนนี้หิ้วสาวที่ไหนมานะ หรือเปล่า)
โปรแกรมเที่ยวยังไม่หยุดยั้งเท่านี้ มาทั้งทีต้องให้สนุกเต็มที่ สถานที่พื้น ๆ หลาย ๆ แห่งในกรุงเทพฯ ออฟยังไม่เคยไป ผมสามารถสร้างความประทับใจให้เธอได้ด้วยการพาไปสถานที่ง่าย ๆ แต่โรแมนติก
ตอนเย็นเราจึงไปนั่งเรือถีบกันต่อที่สวนลุมฯ ตอนนั้นหกโมงเย็นแล้ว แสงอาทิตย์กำลังโพล้เพล้ บรรยากาศชวนจู๋จี๋จู่ ๆ เมฆฝนทะมึนก็มา ถึง ออฟเลยชวนให้กลับ พอคืนเรือถีบแล้ว เรากึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่รถ
แม่เจ้า บรรยากาศยังกะหนังมิวสิควีดีโอ ฝนตกปรอย ๆ เราต่างประคองกันเดินไปตามถนน ตัวยิ่งเปียกเราก็ยิ่งกอดกันแน่น พอมาถึงรถก็เข้าไปซุกตัวส่งไออุ่นกันต่อ
ตอนนึงออฟเล่าให้ฟังว่า เธอไปเจอหนุ่มคนนึงในเน็ทเหมือนกัน แต่เจอกันแบบไม่น่าจะเจอ เพราะพลังของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง หนุ่มคนนั้นเป็นนักเรียนไทยเรียนอยู่เท็กซัส ใช่...ทั้งคู่รู้จักกันในเน็ท คุยกันข้ามโลก จีบกันข้ามทวีป จีบกันจนติด วันเวลาที่หนุ่มนั่นกลับมาเมืองไทยทั้งคู่ก็ได้เจอกัน ผมไม่รู้ว่าออฟเสร็จไอ้หมอนั่นไปแล้วยัง ไม่กล้าถาม แต่คำพูดอันนึงของออฟ ที่หลุดออกมาน่าสนใจทำให้เราคิดเลยเถิด ไปได้ไกล
หนุ่มคนนั้นหน้าตาดี มีอนาคตไกล พ่อแม่เป็นเจ้าของธุรกิจร้านเพชร กลับมาถึงเมืองไทยก็มีเงินให้ลูกเปิดบริษัททำธุรกิจเป็นกรรมการผู้จัดการเพลินไป
ออฟบอกว่าที่เลิกกันเพราะผู้ชายให้ความใส่ใจกับเธอน้อยจนถึงขั้นเรียกว่าไม่ให้ความสำคัญก็ว่าได้ เวลาออฟโทรหา หนุ่มคนนั้นถ้าอารมณ์ดีก็จะรับโทรศัพท์ ถ้าไม่อยากคุยด้วยก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย วันไหนนึกอยากมาหาก็มา มาแล้วบางทีก็หายหน้าไปสองสามอาทิตย์ เวลาพาออฟไปที่บ้านต้องกะเวลาที่ไม่มีใครอยู่บ้าน คุณแม่ของเจ้าหนุ่มมาเจอโดยบังเอิญ ก็บอกว่าออฟเป็นน้อง ๆ ที่ทำงาน เรียกว่ามีความสัมพันธ์กับออฟอย่างปกปิดและซ่อนเร้นสม่ำเสมอ (อันนี้หนุ่ม ๆ ทั้งหลายฟังแล้ว ก็อาจเดาว่าเขามีออฟไว้เป็นที่ระบายอารมณ์เท่านั้น)
ผมฟังก็นึกสงสาร เพราะออฟบอกว่า ในใจลึก ๆ ก็ยังชอบไอ้หมอนั่นอยู่ แต่เมื่อทำอย่างนี้กับเธอก็คงคบต่อไม่ได้ ผมก็ไม่อยากแสดงความเห็นมาก ได้แต่รับฟังไว้ เพราะยังไม่ได้สนิทสนมอะไรกับเธอมาก และไม่อยากแสดงความเห็นอะไรที่เป็นการทำร้ายจิตใจเธอ เพราะดูเหมือนเธอจะมีอุปนิสัยชอบฝัน และมีความสุขอยู่กับจินตนาการมากกว่าความจริง ทำให้ความคิดแว้บ ๆ เล็ก ๆ ที่อยากจะฟันเธอ และเก็บไว้เป็นที่ระบายอารมณ์บ้างนั้นหายไป
อย่างว่านะ ในข้อเท็จจริงของโลกเฮงซวยใบนี้ จะมีสาวแบบออฟสักกี่คน ที่จะมีโอกาสได้เจอหนุ่มหล่อ ๆ นักเรียนนอก พ่อแม่รวย อะไร ๆ ก็ดูเท่หรูและไฮโซฯ มาชอบมาหลงใหลในตัวเธอมากกว่าการที่จะเห็นเธอเป็นทางผ่านเท่านั้น