อาทิตย์อับแสง (บทที่ 36) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 36)



นั่นน่ะซิ…เขาจะพึ่งใครได้

ณัฐจ้อง น้อง ผู้เป็นลูกของแม่เลี้ยงเขา รอยยิ้มแสยะเพียงมุมปาก

“ก็หวังว่าพี่จะพึ่งพาเธอได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะถ้าวันใดพี่หมดหวังในตัวเธอแล้ว ทุกลมหายใจของพี่ก็จะมีไว้เพื่อทำลายเธอเท่านั้น”

และนั่นทำให้อีกฝ่ายยิ้มเจือนๆ รู้ดีว่าณัฐ…ทำได้จริง เพราะที่ผ่านมาเขาก็ทำร้ายเธอสุดแสนสาหัสแล้ว

เรื่องระหว่างเราสองคนก็เรื่องหนึ่ง เพราะเธอเคยคิดว่า…ด้วยรัก

รักอย่างญาติคนเดียวที่เหลืออยู่

รักอย่างคนรักที่เธอตั้งใจฝากชีวิตไว้

เพราะรัก ทำให้เธอต้องเสียสละตัวเองเป็นเครื่องบำเรอของคนหยาบเช่นอิมอล์ เพียงเพื่อให้ณัฐทำและได้มาในหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องการ

หากเมื่อได้สัมผัสความอ่อนโยน อ่อนหวานของผู้ชายมากเสน่ห์เช่นภูเก็ตแล้ว เธอก็รู้ว่า รัก…มิใช่มีเพียงแค่ความใคร่หรือตัณหาราคะแบบที่ณัฐหยิบยื่นให้

ผู้ชายสองคนต่างกันสิ้นเชิง ใจ…ก็ต่างกันยิ่งนัก

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม เกษรา ระริน หรือว่าผู้หญิงคนไหนๆ เลือกที่จะรักภูเก็ต

“ใช้เงินเท่าไหร่ก็ได้ให้พี่ได้ประกันตัวออกไปจากที่นี่ โดยเร็ว”

คำพูดของณัฐทำลายความคิดอีกฝ่ายจนหมดสิ้น อัญชลีกลั้นลมหายใจเพียงเสี้ยววินาที

“ก็ถ้าไม่ไปหาเรื่องที่ตึกนั่น ก็คงถูกถอนประกัน แต่นี่…” หญิงสาวต้องระงับใจครู่ใหญ่ “คุณภูเก็ตไม่เอาเรื่อง แต่ทางตึกเขาแจ้งความฐานบุกรุก เรื่องเลยยุ่ง”

ทำไมเธอจะไม่เห็นสายตาของเขาที่มอง เพียงแต่ว่าตอนนี้อัญชลีไม่ได้หวาดหวั่นหวาดกลัวเช่นเคย

“แต่เอาเถอะ แอนนี่จะให้ทางทีมทนายดูให้ แล้วเรื่องอื่นๆ ที่พี่อยากให้จัดการก็จะทำให้ อ้อ…นี่” หญิงสาวหยิบซองจดหมายสีขาวที่ข้างในมีธนบัตรใบละพันอยู่ปึกใหญ่ออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้ววางมันลงบนโต๊ะ เธอมองเขาที่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปเคาะประตูสองสามที

ผู้คุมในชุดสีกากีอ่อนสองคนเปิดประตูเข้ามา พร้อมกันกับที่ณัฐลุกขึ้นยืน

“พี่ไม่ชอบอยู่ในนี้ ออกไปเร็วที่สุดเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หวังว่าเธอจะจัดการให้ได้ อย่าลืมนะว่าเราเหลือกันอยู่สองคน”

เพียงแต่ว่าอัญชลียืนนิ่ง ไม่สบตาเขาที่เดินผ่านไปพร้อมกับผู้คุมอีกคน

“ในคุกอาจไม่สบายนัก แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจัดให้เขาอยู่ในส่วนที่ค่อนข้าง…ดีกว่าที่อื่น” ผู้คุมอีกคนที่ยังอยู่เพื่อ…ปิดห้องประชุมพิเศษบอก

การจัดให้นั้นไม่ใช่เพียงเพราะสภาพร่างกายพิการของณัฐ แต่ยังมี…ซองสีขาวที่วางบนโต๊ะ

อัญชลียิ้ม ซ่อนความคิดทุกอย่างใต้รอยยิ้มนั่น ก้าวออกมาจากห้องประชุมเล็กๆ เก่าๆ มองไปรอบๆ ตัว ด้วยความคิดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะเหยียบเรือนจำแห่งนี้








กลิ่นสาบของร่างกายที่เกาะติดตามเสื้อผ้า เนื้อตัว และทุกเส้นผม ทำให้เขาแทบกลั้นลมหายใจแม้เมื่ออกมานอกร้านอาหารฟิวชั่นชื่อดังในย่านเวสวิลล์เลจของเกาะแมนเฮทตั้น

อากาศสดใสด้วยความเย็นเฉียบที่บางเบาของเวลาตีหนึ่งในปลายฤดูหนาวถูกกลบด้วยกลิ่นกายของเขาและเพื่อนร่วมงานที่ต่างทยอยกันออกมาคนสองคนจากด้านหลังของร้านอาหารหรู

เขาโบกมือเป็นการลาคนอื่นๆ ก้าวเร็วๆ ออกมาจากตรอกแคบเข้าสู่ถนนใหญ่

มหานครนิวยอรค์ต่างจากเมืองอื่นตรงที่ทั้งระบบรถไฟใต้ดิน และรถเมล์โดยสารสาธารณะวิ่งตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และแม้จะไม่ใช่ทุกสถานี ทุกเส้น ทุกสาย แต่ก็ช่วยทำให้การเดินทางของเขาในยามค่ำคืนเช่นนี้สะดวกรวดเร็ว และ…ถูก กว่าที่จะต้องเรียกแท็กซี่ หรือเดินกลับห้องพัก

ถ้าเดินก็ใช้เวลาสองชั่วโมง เขาเคยเดินแค่ครั้งเดียวแล้วก็เข็ด เพราะไม่ใช่แค่เสียเวลา แต่ยังเสี่ยงต่อการโดนจี้อีกด้วย ถือว่าโชคดีที่ยังไม่เคย แม้จะเกือบ แต่เขาก็อาศัยรู้หลบเป็นหลีก หากณัฐรู้หรอกว่า เขากลัวถูกทำร้ายมากกว่า เพราะต่อให้โดนจี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะให้สิ่งมีค่าอะไรได้

เงินที่พกติดตัวก็พอแค่นั่งรถไฟใต้ดินหรือรถเมล์ไปกลับ บวกอีกไม่ถึงสิบดอลล่าร์สำหรับเผื่อฉุกเฉิน

เขาไม่มีบัตรเครดิต เพราะแม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกามาสองปีกว่าในฐานะนักเรียนต่างชาติ แต่เงินในบัญชีของเขาก็ไม่มากพอที่จะรับเกียรติเช่นนั้น บัตรเครดิตใบเดี่ยวที่มีก็เป็นของพ่อซึ่งเป็นบัตรที่ทำจากเมืองไทย เอาไว้ให้เขาใช้ตอนจ่ายค่าเทอมและค่าหนังสือ วงเงินของบัตรมีเพียงพอสำหรับแค่นั้น ไม่มากมายให้เขาใช้จับจ่ายอย่างสุขสบายกับสิ่งอื่น

ดังนั้น เขาต้องดิ้นรนหาเงินเองเพื่อจ่ายค่าเช่าห้องพักเล็กๆ เท่ารูหนู แล้วยังค่ากิน ค่าอะไรอีกมากมาย

เมื่อเป็นเช่นนั้น ชีวิตนักเรียนไทยในนิวยอร์คเช่นเขาจึงแสนสาหัส เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย การเรียนปริญญาโทที่ควรสำเร็จภายในสองปี จึงจำเป็นต้องต่อปีที่สาม

บางทีเขาก็คิด…ทำไมชีวิตของเขาจึงไม่มีพร้อมเช่นคนอื่นๆ




สายตาของชายหนุ่มจับไปที่รถลิมูซินสามตอนยาวสีดำมันวาววับที่จอดเรียงรายกันห้าคัน ด้วยความคิดว่า ถ้าเขาได้พาผู้หญิงที่เขารักนั่งไปกับเขาสักครั้งก็คงดี

เพียงแต่ว่าในความเป็นจริง เขาไม่มีใคร

และไม่มีเงินมากพอที่จะใช้สุรุ่ยสุร่ายกับรถหรูหราที่ค่าเช่าตกร้อยเหรียญกว่าต่อชั่วโมง แต่คนกลุ่มนั้น…มี

กลุ่มผู้ชายห้าคนในชุดสูทเนื้อดี ท่าทางสำอางค์ แถมมีผู้หญิงอีกเกือบสิบคนรายล้อม

ณัฐหยุดกึกมองภาพตรงหน้าอย่างสนใจ เขาจำได้ว่าผู้ชายห้าคนนี้และผู้หญิงอีกสี่ห้าคนเป็นลูกค้าของร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่

โต๊ะใหญ่ของหนุ่มๆ แบงก์เกอร์แห่งวอล์สตรีทเมื่อหัวค่ำ มีเสียงสนุกเฮฮา กินดื่มไม่อั้น โดยมีผู้หญิงเหล่านี้คอยเอาอกเอาใจ

ปีศาจแห่งวอลล์สตรีทกับโสเภณีชั้นสูง!

อาหารชั้นเยี่ยมที่เชฟใหญ่เจ้าของร้านลงมือปรุงด้วยตัวเอง เคล้าไปกับแชมเปญ ไวน์ชั้นดี และเหล้าราคาแพง บิลค่าอาหารเบ็ดเสร็จเป็นพันๆ เหรียญ

อาหารมื้อเดียวมากกว่าค่าเทอมของเขาทั้งเทอม

เท่ากับค่าเช่าห้องของเขาเกือบครึ่งปี

อย่าว่าค่าอาหารค่าเครื่องดื่มเลย แค่เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของแต่ละคนก็มากเกินกว่าที่เขาจะหาได้

งาน busboy หรือพนักงานเก็บจาน เก็บโต๊ะ ซึ่งต่ำต้อยกว่าพนักงานเสริฟ์ และดูไร้เกียรติ เทียบไม่ได้กับนายธนาคารแห่งวอลล์สตรีท

การสนทนาสัพเพเหระบนโต๊ะอาหารที่เขาบังเอิญได้ยิน ไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วยังข่าว…ผู้ชายชาวเอเชียคนนั้น ที่เขามาสะดุดหูเพราะว่าชื่อ…ภูเก็ต

ไอ้หมอนั่นเป็นคนไทย แต่รูปร่างสูง ท่าทางคล่องแคล่ว ด้วยมาดเฉพาะตัวทำให้ในตอนแรกเขาไม่ไม่คิดว่าจะใช่คนไทย เพราะจะมีคนไทยสักกี่คนทำงานเป็นถึงแบงก์เกอร์ที่วอลล์สตรีท

นายธนาคารหนุ่มรูปงาม หน้าตาดีพอที่จะทำให้เพื่อนร่วมงานสาวหลายคนของเขากรี๊ดกร๊าดพูดถึงกันไม่หยุดปาก

‘คนเอเซียนั่นเพิ่งได้โปรโมท นี่เพื่อนๆ เลยพามาฉลอง’ พนักงานเสริฟ์ของโต๊ะนั้นรายงาน

ณัฐเพียงรับรู้ และคอยสังเกตเวลาที่เขาเข้าไปเก็บจานเก็บแก้ว

การฉลองของแบงก์เกอร์ของวอลล์สตรีท…หนัก

ไม่ใช่แค่กินดื่ม แต่กระเป๋า…หนัก พอที่เมื่อจบจากร้านที่เขาทำงานอยู่ พวกนั้นก็คงมาต่อกันที่บาร์ชั้นสูงแห่งนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหาร

เสียงเอะอะหัวเราะอย่างสนุกสนานดังลั่นคับถนนกว้าง คนพวกนี้ช่างมีความสุขเสียจริง!

โดยเฉพาะไอ้หมอนั่นที่ทุกคนพากันห้อมล้อมให้ความสนใจ มันถึงทำตัวราวว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทั้งหมดทั้งปวง!




(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่