ศึกษาวิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 2559/2555
ตัวบทที่จะนำมาใช้ประกอบการพิพากษา คือ ป.อ. มาตรา 83,86,290
ข้อเท็จจริง (ให้เปิดตัวบทกฎหมายทุกครั้งที่มีการกล่าวถึง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความเข้าใจ)
1. วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 22.00 น. จำเลยทั้ง 4 ไปดื่มสุราที่ร้านรุ่งเรืองคาราโอเกะ ที่นาง พ. ภริยาของนาย ศ. ผู้ตาย ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้าน นาง พ. เป็นผู้บริการเสิร์ฟเครื่องดื่มเเละนั่งคุยกับจำเลยทั้ง 4 จนถึงประมาณ 24 นาฬิกา ผู้ตายกับนาย อ. กับพวกอีก1คนไปดื่มเบียร์ที่ร้านดังกล่าว เพื่อรอรับนาง พ. กลับบ้าน เวลาประมาณ 1.00 น. นาง พ. จึงเดินกลับบ้านกับผู้ตาย ส่วนนาย อ. ยังดื่มเบียร์อยู่กับเพื่อน เเละก่อนออกจากร้านนาย อ. ไปขอสุราจำเลยที่ 2 ดื่ม จำเลยที่ 2 ไม่ให้ จึงทำให้นาย อ. ไม่พอใจ ได้พูดจาทำนองข่มขู่จำเลยที่ 2 กับพวก หลังจากนั้นจำเลยทั้ง 4 รีบตามไปจนพบกับนาย อ. ในบริเวณใกล้ที่พักของผู้ตาย ขณะผู้ตายเเละนาง พ. กำลังยืนคุยกับนาย อ. หลังจากนั้นจำเลยที่ 1-3 ใช้ไม้ท่อนคนละท่อนเข้าทำร้ายนาย อ. โดยนาย อ. ถือมีดสปาต้าเข้าต่อสู้ ขณะนั้นจำเลยที่ 4 ยืนอยู่ใกล้รถจักรยานยนต์นาย อ. สู้ไม่ได้ ผู้ตายจึงถือมีดดาบยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ง ออกไปช่วยนาย อ. เเละถูกจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันใช้ไม้ท่อนตีเเละถึงเเก่ความตายในเวลาต่อมา
2. อัยการโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 4 ว่า จำเลยทั้ง 4 โดยมีเจตนาฆ่าร่วมกันใช้ไม้ท่อนเป็นอาวุธตีนาย ศ. ผู้ตายที่บริเวณลำตัวเเละศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญโดยเเรงหลายที เป็นเหตุให้กะโหลกศีรษะของผู้ตายเเตกเเละมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองจนถึงเเก่ความตายในเวลาต่อมา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 4 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33,58,83,91,288
3. จำเลยทั้ง4ให้การปฎิเสธเมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เเละฝ่ายจำเลยเเล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง4มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83…
3.1 ผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมไม่ห้ามฝ่ายจำเลยที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193ทวิ
4. จำเลยทั้ง4 อุทธรณ์ ปรากฎว่าศาลอุทธรณ์ภาค1 พิพากษาเเก้เป็นว่า จำเลยที่ 1,2,3 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคเเรก ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 9 ปี ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่4....
4.1 ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์เเก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาก เพราะเเก้ทั้งบทลงโทษจาก ป.อ. มาตรา 288 เป็นมาตรา 290 เเละยังเเก้โทษอีกด้วยผลก็คือ อัยการโจทก์สามารถฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
4.2 ประเด็นปัญหาต่อไปมีว่า เดิมนั้นอัยการโจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288 เหตุใดศาลอุทธรณ์จึงลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 ได้ ในประเด็นนี้ อธิบายได้ว่า เป็นกรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้าเเละวรรคหก ศาลอุทธรณ์จึงลงโทษจำเลยได้เเม้อัยการโจทก์ไม่ขอก็ตาม
5. อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีว่า จำเลยทั้งสี่ มีความผิดฐานเป็นตัวการฆ่าผู้ตายหรือไม่
5.1 ศาลฎีกาพิจารณาประเด็นนี้เเล้วเห็นว่า ผู้ตายถือมีดดาบออกไปต่อสู้กับจำเลยที่1-3 ฝ่ายจำเลยก็มีบาดเเผลจากการถูกฟันซึ่งอาจเป็นการบาดเเผลจากการต่อสู้กับนาย อ. เเละผู้ตายด้วยก็ได้ บาดเเผลของผู้ตายจากการถูกทำร้ายมี 4 เเห่ง คือบาดเเผลช้ำถลอกบริเวณข้อมือขวา บาดเเผลถลอดบริเวณเเข้งขวา บาดเเผลช้ำบริเวณคอ เเละบาดเเผลช้ำถลอกบริเวณหน้าผากขวา สาเหตุที่ทำให้ตายเนื่องจากกะโหลกศีรษะเเตกเเละเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นใน บาดเเผลที่ทำให้ตายมีเพียงบาดเเผลเดียวคือที่ศีรษะ เมื่อผู้ตายใช้มีดดาบเข้าต่อสู้กับจำเลยที่1ถึงที่3 ซึ่งมีไม้ท่อนเป็นอาวุธ บาดเเผลดังกล่าวจึงน่าจะเกิดขณะมีการต่อสู้กัน การตีของจำเลยที่1ถึงที่3 จึงย่อมทำได้ตามจังหวะเเละโอกาสในการต่อสู้จะอำนวยเท่านั้น ไม่อาจทำได้ถนัดมือ การกระทำของจำเลยที่1ถึงที่3 จึงเป็นเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น อันเป็นการร่วมกันทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงเเก่ความตาย
5.2 ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่4เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3หรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ขณะจำเลยที่ 1ถึงที่3 เข้าทำร้าย อ.เเละผู้ตายนั้น จำเลยที่สี่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ระยะดังกล่าวไกลเกินกว่าที่จำเลยที่สี่จะเข้าร่วมทำร้ายผู้ตายได้ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่4มีเจตนาทำร้ายผู้ตาย ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3 แต่การที่จำเลยที่ 4 ขับรถจักรยานยนต์มากับจำเลยที่1ถึงที่3 ตามหาอ.เพื่อทำร้ายอ. ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่4 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่1ถึงที่3 กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดเเละจำเลยที่4ย่อมคาดหมายได้ว่า หากมีผู้มาช่วยอ. จำเลยที่1ถึงที่3 ก็ต้องร่วมกันทำร้ายผู้นั้นด้วย จำเลยที่ 4 จึงมีตวามผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่1ถึงที่3 ทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงเเก่ความตาย ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยที่4ในความผิดดังกล่าวตามที่พิจารณาได้ความ ตามป.วิ.อ.มาตรา192วรรคสอง
หมายเหตุ
1.ความผิดตามป.อ. มาตรา 290 ผู้กระทำความผิดอาจจะมีเจตนาเบื้องต้นเพื่อทำร้ายร่างกายผู้ตายตาม ป.อ.มาตรา 295 หรือ ป.อ. มาตรา 391 ก็ได้ หากผู้ถูกทำร้ายถึงเเก่ความตาย ผู้กระทำก็ต้องมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา290 ทั้งหมด
2. เจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้ายนั้น มีหลักการพิจารณาคือ "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" เเละมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมระหว่างเจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้าย จะพิจารณาจาก
2.1 อาวุธที่ใช้ในการกระทำ
2.2 อวัยวะที่ถูกกระทำ
2.3 ลักษณะของบาดเเผลที่ถูกกระทำ
2.4 พฤติการณ์ประกอบอื่นๆ เช่น โอกาสเลือกที่จะทำร้าย
3. หากใช้อาวุธ "ปืน" ในการกระทำผิดโดยหลักจะเป็นเจตนาฆ่าเสมอให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5664/2534
ป.อ. มาตรา 59
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 3 เมตร ถูกที่บริเวณเอวของผู้เสียหายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว หากเป็นเพียงการยิงขู่ จำเลยก็มีโอกาสที่จะยิงไปยังทิศทางอื่นที่มิใช่ทิศทางที่ผู้เสียหายยืนอยู่ เช่นยิงขึ้นฟ้า เป็นต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2520
จำเลยกับพวกใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปที่กลุ่มผู้เสียหายซึ่งอยู่ห่าง 1 วาเศษ กระสุนปืนถูกพวกผู้เสียหายที่เท้า ทั้งปรากฏว่าหลังจากยิงนัดแรกแล้วยังมีการยิงต่อไปอีก 4 นัด แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาที่ 1439/2510
ป.อ. มาตรา 60, 80, 288
ขณะที่ผู้ตายต่อยกับน้องภริยาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ยิงไปก่อน1 นัด ถูกผู้ตาย แล้วต่อมาจำเลยที่ 1 จึงได้ยิงไป ตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองยิงไปนั้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดนั้น โดยต่างคนต่างกระทำลงไป มิได้สมคบร่วมรู้กันมาก่อน จะฟังว่าจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตายไม่ ได้ ผู้ตายมีบาดแผลถูกยิงแผลเดียว และฟังได้ว่าแผลที่ถูกยิงนั้นเป็นผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังผู้ตายกับพวกหลายนัดนั้น ส่อเจตนาให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจฆ่า แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกที่ไม่สำคัญ จึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าคน
4.อาวุธปืนถ้าใช้ยิงบางกรณีเป็นเจตนาทำร้ายให้พิจารณาศึกษาจาฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1006/2501
ยิงในระยะ 1 วา ถูกขาเหนือตาตุ่มกระดูกแตก ถ้าตั้งใจฆ่าก็คงยิงถูกที่สำคัญได้ แสดงว่าจำเลยไม่เจตนาฆ่า เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่พยายามฆ่า
คำพิพากษาฎีกาที่ 234/2529
ป.อ. มาตรา 68, 80, 288, 295
จำเลยใช้ปืนยิงไปที่พื้นดินหนึ่งนัดในขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินไปหาจำเลยและอยู่ห่างจำเลยประมาณสองวาจำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายได้เมื่อกระสุนปืนถูกขาผู้เสียหายบาดเจ็บต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายหาใช่เป็นการยิงขู่ไม่การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นการป้องกันโดยชอบเพราะขณะนั้นผู้เสียหายยังไม่สามารถจะทำร้ายจำเลยได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาฎีกาที่ 223/2537
ป.อ. มาตรา 59, 288
ที่เกิดเป็นเหตุการณ์คดีนี้เนื่องจากสาเหตุที่มีการสอบถามถึงเรื่องที่จำเลยด่าว่าบุตรสาว จ. เท่านั้น อันเป็นเหตุเล็กน้อยไม่น่าจะปองร้ายกันถึงชีวิต และได้ความจากคำเบิกความของ จ.ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทาง ร. ในระยะห่างประมาณ 5 ถึง 6 วาหากจำเลยประสงค์จะปองร้ายจ.และร. ถึงชีวิต จำเลยคงเลือกยิงในตำแหน่งซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้โดยไม่ยาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ร.ในระดับต่ำถูกบริเวณต้นขาและน่องซ้ายของร.ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยเจตนาให้ จ. และ ร. ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น จึงฟังได้เพียงว่า จำเลยทำร้ายร่างกาย ร. อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
5. จำเลยใช้ไม้เป็นอาวุธ ในบางฎีกานั้นก็อาจมีเจตนาฆ่าได้ ให้ศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 218/2525
ป.อ. มาตรา 59, 288
จำเลยใช้ดุ้นฟืนยาว 1 ศอก ตีศีรษะผู้ตาย 2 ทีจนกะโหลกศีรษะผู้ตายแตกยุบถึงมันสมอง เป็นการตีโดยแรงที่อวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายทันที ดังนี้จำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาฎีกาที่ 2058/2514
ป.อ. มาตรา 59, 288, 290
จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้วฟุต ยาวประมาณ1 หลา ซึ่งเป็นไม้แข็งใช้หาบน้ำแข็ง เลือกตีผู้ตายที่ศีรษะด้านหลัง 1 ทีผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แม้จะตีเพียงทีเดียวก็เป็นการฆ่าคนโดยเจตนา
คำพิพากษาฎีกาที่ 36/2503
ป.อ. มาตรา 1 (5), 59, 288
ไม้ที่จำเลยตีผู้เสียหาย ยาว 5 ฟุต โคนโต 10 นิ้วตอนกลางและปลายโต 8 นิ้วครึ่ง อันเป็นอาวุธอาจใช้ทำร้ายถึงตายได้แม้จำเลยจะตีเพียงทีเดียวก็ตีอย่างแรงจนกระโหลกศีรษะแตก ผู้เสียหายล้มลงไม่ได้สติ พูดไม่ได้ ลุกไม่ขึ้นต่อมา 2 วันผู้เสียหายตายเพราะบาดแผลที่ถูกตี ต้องถือว่าจำเลยฆ่าผู้เสียหายตายโดยเจตนา
คำพิพากษาฎีกาที่ 1504/2530
ป.อ. มาตรา 68, 80, 288
ผู้เสียหายและจำเลยทะเลาะกัน เมื่อผู้เสียหายกำลังจะลุกขึ้นกลับบ้าน จำเลยใช้ไม้ไผ่ที่ถือติดตัวมาตีที่บริเวณก้านคอผู้เสียหายขณะที่กำลังเผลอตัว จนล้มลงแล้วจำเลยได้ใช้ไม้ไผ่แทงที่บริเวณลำคออีก 1 ครั้งเป็นแผลลึกถึงกระดูกไขสันหลังส่วนหน้า ผ่านกล้ามเนื้อบริเวณคอและต่อมไทรอยด์ตัดเส้นประสาทขาด โดยที่ผู้เสียหายมิได้โต้ตอบเช่นนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า แต่ไม่เป็นการป้องกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
6. ใช้ไม้เป็นอาวุธอาจมีเพียงเจตนาทำร้ายก็ได้ โดยศาลฎีกาวางหลักให้พิจารณาจากโอกาสว่ามีโอกาสเลือกตีหรือไม่หรือหากเป็นอาวุธปืนใช้ยิงโดยไม่มีทางเลือกก็ถือว่ามีเจตนาทำร้ายได้ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 175/2498
กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 43, 249, 251
ใช้ซอไม้ไผ่ผ่าซีกขนาดกว้าง 3 นิ้ว ยาว 20 นิ้วตีในที่มืดเจาะจงไม่ได้ถนัดว่าจะให้ถูกตรงไหนนั้นยังไม่พอชี้ได้ว่าผู้ตีอาจแลเห็นผลได้ว่าผู้ถูกตีจะต้องตายจึงคงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 505/2504
ป.อ. มาตรา 59, 288, 290
จำเลยกับผู้ตายโต้เถียงทะเลาะกัน จำเลยหยิบไม้ได้ในที่แถวนั้น เป็นไม้ฟืนผ่าซีกแบนขนาด 2 นิ้ว ยาว 27 นิ้วครึ่ง ตีผู้ตายถูกกลางศีรษะ 1 ที บาดแผลบวมกว้างยาว 10 เซนติเมตร นูนสูง 3 เซนติเมตร ตรงกลางมีรอยแตก 2 เซนติเมตร โลหิตไหลซึมรุ่งขึ้นผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2504)
คำพิพากษาฎีกาที่ 6315/2552
ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ป.อ. มาตรา 83, 288, 290 วรรคแรก
ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลถูกแทงจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้ตายหลังจากผู้ตายถูกจำเลยที่ 1 ต่อยจนเซไปแล้วและจำเลยที่ 2 แยกไปทำร้าย พ. โดยไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า จึงเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 แต่โดยลำพังพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 คงเป็นเพียงแต่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายเท่านั้นแต่การร่วมกันทำร้ายมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเล
เจตนาฆ่า กับ เจตนาทำร้าย เมื่อผู้เสียหายตาย จะเเยกพิจารณาอย่างไร?
ตัวบทที่จะนำมาใช้ประกอบการพิพากษา คือ ป.อ. มาตรา 83,86,290
ข้อเท็จจริง (ให้เปิดตัวบทกฎหมายทุกครั้งที่มีการกล่าวถึง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความเข้าใจ)
1. วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 22.00 น. จำเลยทั้ง 4 ไปดื่มสุราที่ร้านรุ่งเรืองคาราโอเกะ ที่นาง พ. ภริยาของนาย ศ. ผู้ตาย ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้าน นาง พ. เป็นผู้บริการเสิร์ฟเครื่องดื่มเเละนั่งคุยกับจำเลยทั้ง 4 จนถึงประมาณ 24 นาฬิกา ผู้ตายกับนาย อ. กับพวกอีก1คนไปดื่มเบียร์ที่ร้านดังกล่าว เพื่อรอรับนาง พ. กลับบ้าน เวลาประมาณ 1.00 น. นาง พ. จึงเดินกลับบ้านกับผู้ตาย ส่วนนาย อ. ยังดื่มเบียร์อยู่กับเพื่อน เเละก่อนออกจากร้านนาย อ. ไปขอสุราจำเลยที่ 2 ดื่ม จำเลยที่ 2 ไม่ให้ จึงทำให้นาย อ. ไม่พอใจ ได้พูดจาทำนองข่มขู่จำเลยที่ 2 กับพวก หลังจากนั้นจำเลยทั้ง 4 รีบตามไปจนพบกับนาย อ. ในบริเวณใกล้ที่พักของผู้ตาย ขณะผู้ตายเเละนาง พ. กำลังยืนคุยกับนาย อ. หลังจากนั้นจำเลยที่ 1-3 ใช้ไม้ท่อนคนละท่อนเข้าทำร้ายนาย อ. โดยนาย อ. ถือมีดสปาต้าเข้าต่อสู้ ขณะนั้นจำเลยที่ 4 ยืนอยู่ใกล้รถจักรยานยนต์นาย อ. สู้ไม่ได้ ผู้ตายจึงถือมีดดาบยาวประมาณ 1 ฟุตครึ่ง ออกไปช่วยนาย อ. เเละถูกจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันใช้ไม้ท่อนตีเเละถึงเเก่ความตายในเวลาต่อมา
2. อัยการโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 4 ว่า จำเลยทั้ง 4 โดยมีเจตนาฆ่าร่วมกันใช้ไม้ท่อนเป็นอาวุธตีนาย ศ. ผู้ตายที่บริเวณลำตัวเเละศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญโดยเเรงหลายที เป็นเหตุให้กะโหลกศีรษะของผู้ตายเเตกเเละมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองจนถึงเเก่ความตายในเวลาต่อมา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 4 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33,58,83,91,288
3. จำเลยทั้ง4ให้การปฎิเสธเมื่อศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เเละฝ่ายจำเลยเเล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง4มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83…
3.1 ผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมไม่ห้ามฝ่ายจำเลยที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193ทวิ
4. จำเลยทั้ง4 อุทธรณ์ ปรากฎว่าศาลอุทธรณ์ภาค1 พิพากษาเเก้เป็นว่า จำเลยที่ 1,2,3 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคเเรก ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 9 ปี ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่4....
4.1 ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์เเก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาก เพราะเเก้ทั้งบทลงโทษจาก ป.อ. มาตรา 288 เป็นมาตรา 290 เเละยังเเก้โทษอีกด้วยผลก็คือ อัยการโจทก์สามารถฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
4.2 ประเด็นปัญหาต่อไปมีว่า เดิมนั้นอัยการโจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288 เหตุใดศาลอุทธรณ์จึงลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 ได้ ในประเด็นนี้ อธิบายได้ว่า เป็นกรณีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้าเเละวรรคหก ศาลอุทธรณ์จึงลงโทษจำเลยได้เเม้อัยการโจทก์ไม่ขอก็ตาม
5. อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีว่า จำเลยทั้งสี่ มีความผิดฐานเป็นตัวการฆ่าผู้ตายหรือไม่
5.1 ศาลฎีกาพิจารณาประเด็นนี้เเล้วเห็นว่า ผู้ตายถือมีดดาบออกไปต่อสู้กับจำเลยที่1-3 ฝ่ายจำเลยก็มีบาดเเผลจากการถูกฟันซึ่งอาจเป็นการบาดเเผลจากการต่อสู้กับนาย อ. เเละผู้ตายด้วยก็ได้ บาดเเผลของผู้ตายจากการถูกทำร้ายมี 4 เเห่ง คือบาดเเผลช้ำถลอกบริเวณข้อมือขวา บาดเเผลถลอดบริเวณเเข้งขวา บาดเเผลช้ำบริเวณคอ เเละบาดเเผลช้ำถลอกบริเวณหน้าผากขวา สาเหตุที่ทำให้ตายเนื่องจากกะโหลกศีรษะเเตกเเละเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นใน บาดเเผลที่ทำให้ตายมีเพียงบาดเเผลเดียวคือที่ศีรษะ เมื่อผู้ตายใช้มีดดาบเข้าต่อสู้กับจำเลยที่1ถึงที่3 ซึ่งมีไม้ท่อนเป็นอาวุธ บาดเเผลดังกล่าวจึงน่าจะเกิดขณะมีการต่อสู้กัน การตีของจำเลยที่1ถึงที่3 จึงย่อมทำได้ตามจังหวะเเละโอกาสในการต่อสู้จะอำนวยเท่านั้น ไม่อาจทำได้ถนัดมือ การกระทำของจำเลยที่1ถึงที่3 จึงเป็นเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น อันเป็นการร่วมกันทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงเเก่ความตาย
5.2 ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่4เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3หรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ขณะจำเลยที่ 1ถึงที่3 เข้าทำร้าย อ.เเละผู้ตายนั้น จำเลยที่สี่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 30 เมตร ระยะดังกล่าวไกลเกินกว่าที่จำเลยที่สี่จะเข้าร่วมทำร้ายผู้ตายได้ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่4มีเจตนาทำร้ายผู้ตาย ร่วมกับจำเลยที่1ถึงที่3 แต่การที่จำเลยที่ 4 ขับรถจักรยานยนต์มากับจำเลยที่1ถึงที่3 ตามหาอ.เพื่อทำร้ายอ. ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่4 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่1ถึงที่3 กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดเเละจำเลยที่4ย่อมคาดหมายได้ว่า หากมีผู้มาช่วยอ. จำเลยที่1ถึงที่3 ก็ต้องร่วมกันทำร้ายผู้นั้นด้วย จำเลยที่ 4 จึงมีตวามผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่1ถึงที่3 ทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงเเก่ความตาย ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยที่4ในความผิดดังกล่าวตามที่พิจารณาได้ความ ตามป.วิ.อ.มาตรา192วรรคสอง
หมายเหตุ
1.ความผิดตามป.อ. มาตรา 290 ผู้กระทำความผิดอาจจะมีเจตนาเบื้องต้นเพื่อทำร้ายร่างกายผู้ตายตาม ป.อ.มาตรา 295 หรือ ป.อ. มาตรา 391 ก็ได้ หากผู้ถูกทำร้ายถึงเเก่ความตาย ผู้กระทำก็ต้องมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา290 ทั้งหมด
2. เจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้ายนั้น มีหลักการพิจารณาคือ "กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา" เเละมีข้อพิจารณาเพิ่มเติมระหว่างเจตนาฆ่าหรือเจตนาทำร้าย จะพิจารณาจาก
2.1 อาวุธที่ใช้ในการกระทำ
2.2 อวัยวะที่ถูกกระทำ
2.3 ลักษณะของบาดเเผลที่ถูกกระทำ
2.4 พฤติการณ์ประกอบอื่นๆ เช่น โอกาสเลือกที่จะทำร้าย
3. หากใช้อาวุธ "ปืน" ในการกระทำผิดโดยหลักจะเป็นเจตนาฆ่าเสมอให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5664/2534
ป.อ. มาตรา 59
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 3 เมตร ถูกที่บริเวณเอวของผู้เสียหายอันเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายซึ่งหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว หากเป็นเพียงการยิงขู่ จำเลยก็มีโอกาสที่จะยิงไปยังทิศทางอื่นที่มิใช่ทิศทางที่ผู้เสียหายยืนอยู่ เช่นยิงขึ้นฟ้า เป็นต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2520
จำเลยกับพวกใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปที่กลุ่มผู้เสียหายซึ่งอยู่ห่าง 1 วาเศษ กระสุนปืนถูกพวกผู้เสียหายที่เท้า ทั้งปรากฏว่าหลังจากยิงนัดแรกแล้วยังมีการยิงต่อไปอีก 4 นัด แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาที่ 1439/2510
ป.อ. มาตรา 60, 80, 288
ขณะที่ผู้ตายต่อยกับน้องภริยาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ยิงไปก่อน1 นัด ถูกผู้ตาย แล้วต่อมาจำเลยที่ 1 จึงได้ยิงไป ตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองยิงไปนั้นเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดนั้น โดยต่างคนต่างกระทำลงไป มิได้สมคบร่วมรู้กันมาก่อน จะฟังว่าจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตายไม่ ได้ ผู้ตายมีบาดแผลถูกยิงแผลเดียว และฟังได้ว่าแผลที่ถูกยิงนั้นเป็นผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังผู้ตายกับพวกหลายนัดนั้น ส่อเจตนาให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจฆ่า แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกที่ไม่สำคัญ จึงไม่ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยต้องมีความผิดฐานพยายามฆ่าคน
4.อาวุธปืนถ้าใช้ยิงบางกรณีเป็นเจตนาทำร้ายให้พิจารณาศึกษาจาฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1006/2501
ยิงในระยะ 1 วา ถูกขาเหนือตาตุ่มกระดูกแตก ถ้าตั้งใจฆ่าก็คงยิงถูกที่สำคัญได้ แสดงว่าจำเลยไม่เจตนาฆ่า เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่พยายามฆ่า
คำพิพากษาฎีกาที่ 234/2529
ป.อ. มาตรา 68, 80, 288, 295
จำเลยใช้ปืนยิงไปที่พื้นดินหนึ่งนัดในขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินไปหาจำเลยและอยู่ห่างจำเลยประมาณสองวาจำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายได้เมื่อกระสุนปืนถูกขาผู้เสียหายบาดเจ็บต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายหาใช่เป็นการยิงขู่ไม่การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นการป้องกันโดยชอบเพราะขณะนั้นผู้เสียหายยังไม่สามารถจะทำร้ายจำเลยได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาฎีกาที่ 223/2537
ป.อ. มาตรา 59, 288
ที่เกิดเป็นเหตุการณ์คดีนี้เนื่องจากสาเหตุที่มีการสอบถามถึงเรื่องที่จำเลยด่าว่าบุตรสาว จ. เท่านั้น อันเป็นเหตุเล็กน้อยไม่น่าจะปองร้ายกันถึงชีวิต และได้ความจากคำเบิกความของ จ.ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทาง ร. ในระยะห่างประมาณ 5 ถึง 6 วาหากจำเลยประสงค์จะปองร้ายจ.และร. ถึงชีวิต จำเลยคงเลือกยิงในตำแหน่งซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้โดยไม่ยาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ร.ในระดับต่ำถูกบริเวณต้นขาและน่องซ้ายของร.ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยเจตนาให้ จ. และ ร. ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น จึงฟังได้เพียงว่า จำเลยทำร้ายร่างกาย ร. อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
5. จำเลยใช้ไม้เป็นอาวุธ ในบางฎีกานั้นก็อาจมีเจตนาฆ่าได้ ให้ศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 218/2525
ป.อ. มาตรา 59, 288
จำเลยใช้ดุ้นฟืนยาว 1 ศอก ตีศีรษะผู้ตาย 2 ทีจนกะโหลกศีรษะผู้ตายแตกยุบถึงมันสมอง เป็นการตีโดยแรงที่อวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายทันที ดังนี้จำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาฎีกาที่ 2058/2514
ป.อ. มาตรา 59, 288, 290
จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้วฟุต ยาวประมาณ1 หลา ซึ่งเป็นไม้แข็งใช้หาบน้ำแข็ง เลือกตีผู้ตายที่ศีรษะด้านหลัง 1 ทีผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แม้จะตีเพียงทีเดียวก็เป็นการฆ่าคนโดยเจตนา
คำพิพากษาฎีกาที่ 36/2503
ป.อ. มาตรา 1 (5), 59, 288
ไม้ที่จำเลยตีผู้เสียหาย ยาว 5 ฟุต โคนโต 10 นิ้วตอนกลางและปลายโต 8 นิ้วครึ่ง อันเป็นอาวุธอาจใช้ทำร้ายถึงตายได้แม้จำเลยจะตีเพียงทีเดียวก็ตีอย่างแรงจนกระโหลกศีรษะแตก ผู้เสียหายล้มลงไม่ได้สติ พูดไม่ได้ ลุกไม่ขึ้นต่อมา 2 วันผู้เสียหายตายเพราะบาดแผลที่ถูกตี ต้องถือว่าจำเลยฆ่าผู้เสียหายตายโดยเจตนา
คำพิพากษาฎีกาที่ 1504/2530
ป.อ. มาตรา 68, 80, 288
ผู้เสียหายและจำเลยทะเลาะกัน เมื่อผู้เสียหายกำลังจะลุกขึ้นกลับบ้าน จำเลยใช้ไม้ไผ่ที่ถือติดตัวมาตีที่บริเวณก้านคอผู้เสียหายขณะที่กำลังเผลอตัว จนล้มลงแล้วจำเลยได้ใช้ไม้ไผ่แทงที่บริเวณลำคออีก 1 ครั้งเป็นแผลลึกถึงกระดูกไขสันหลังส่วนหน้า ผ่านกล้ามเนื้อบริเวณคอและต่อมไทรอยด์ตัดเส้นประสาทขาด โดยที่ผู้เสียหายมิได้โต้ตอบเช่นนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า แต่ไม่เป็นการป้องกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)
6. ใช้ไม้เป็นอาวุธอาจมีเพียงเจตนาทำร้ายก็ได้ โดยศาลฎีกาวางหลักให้พิจารณาจากโอกาสว่ามีโอกาสเลือกตีหรือไม่หรือหากเป็นอาวุธปืนใช้ยิงโดยไม่มีทางเลือกก็ถือว่ามีเจตนาทำร้ายได้ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 175/2498
กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 43, 249, 251
ใช้ซอไม้ไผ่ผ่าซีกขนาดกว้าง 3 นิ้ว ยาว 20 นิ้วตีในที่มืดเจาะจงไม่ได้ถนัดว่าจะให้ถูกตรงไหนนั้นยังไม่พอชี้ได้ว่าผู้ตีอาจแลเห็นผลได้ว่าผู้ถูกตีจะต้องตายจึงคงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 505/2504
ป.อ. มาตรา 59, 288, 290
จำเลยกับผู้ตายโต้เถียงทะเลาะกัน จำเลยหยิบไม้ได้ในที่แถวนั้น เป็นไม้ฟืนผ่าซีกแบนขนาด 2 นิ้ว ยาว 27 นิ้วครึ่ง ตีผู้ตายถูกกลางศีรษะ 1 ที บาดแผลบวมกว้างยาว 10 เซนติเมตร นูนสูง 3 เซนติเมตร ตรงกลางมีรอยแตก 2 เซนติเมตร โลหิตไหลซึมรุ่งขึ้นผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2504)
คำพิพากษาฎีกาที่ 6315/2552
ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ป.อ. มาตรา 83, 288, 290 วรรคแรก
ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลถูกแทงจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้ตายหลังจากผู้ตายถูกจำเลยที่ 1 ต่อยจนเซไปแล้วและจำเลยที่ 2 แยกไปทำร้าย พ. โดยไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า จึงเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 แต่โดยลำพังพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 คงเป็นเพียงแต่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายเท่านั้นแต่การร่วมกันทำร้ายมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเล