เสี่ยอ้วนจะติดคุกไม่นานถ้าพิสูจน์ได้ว่าถูกข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรง

กระทู้สนทนา
คดีที่ศาลสั่งจำคุกจำเลยสถานเบา มีมากมาย เช่น ผัวมีชู้ เมียมีชู้ "การโดนสวมเขา" ถือว่าเป็นการถูกข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรง
การศึกษาเปรียบเทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3583/2555 (ต่อจากครั้งที่แล้ว)กรณีศึกษาการป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 68 ในประเด็นการละเมิดต่อกฎหมายแพ่งแล้วเกิดสิทธิป้องกัน ให้พิจารณาศึกษาเพิ่มเติมจากฎีกาดังต่อไปนี้

             1. กรณีสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย

             ฎีกา 378/2479
             ป.อ. มาตรา 50-55-249
             กฎหมายลักษณะผัวเมีย
คดีได้ความตามข้อเท็จจริงว่าคืนวันเกิดเหตุจำเลยไปอาบน้ำเพื่อทำงาน ครั้นกลับมาไม่พบภรรยาได้เที่ยวตามหา ไปพบภรรยาตนกำลังนอนร่วมประเวณีกับผู้ตายในมุ้ง จึงคว้ามีดที่วางอยู่ปลายตีนมุ้งแล้วโถมเข้าคร่อมผู้ตายทั้งสองจนมุ้งชายคลุมผู้ตายทั้งสองไว้ แล้วจำเลยก็แทงด้วยมีดไม่เลือก จนภรรยาและชายชู้ถึงแก่ความตายทั้งสองคน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า การที่จำเลยฆ่าชายชู้ถึงตายนั้นเป็นการป้องกันเกียรติยศและชื่อเสียงพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีโทษตามกฎหมายอาญา ม.๕๐ แต่การที่จำเลยฆ่าภรรยาถึงตายนั้นหาได้รับความยกเว้นตามมาตราข้างต้นนั้นไม่ จำเลยต้องมีผิดตามม.๒๔๙ ให้จำคุก ๑๕ ปี ลดโทษฐานยั่วโทษะตามมาตรา ๕๕ อีกกึ่งหนึ่งแลลดฐานปราณีโดยรับสารภาพตาม ม.๕๙อีกกึ่งหนี่งคงจำคุก ๓ ปี ๙ เดือน
ศาลฎีกาตัดสินว่าการที่ภรรยานอกใจสามีโดยไปกระทำชู้ด้วยผู้อื่น ย่อมแสดงให้เห็นว่าภรรยาได้ร่วมมือกับชายชู้ทำลายเกียรติยศของสามี การที่ภรรยาทำชู้ย่อมถือกันว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศของชายอย่างร้ายแรง และการทำชู้ของภรรยานั้นจะสำเร็จได้ก็ต้องมีฝ่ายชายชู้มาร่วมมือด้วย ฉะนั้นทั้งชายชู้และภรรยาต่างได้ชื่อว่าก่อการทำชู้ขึ้น เป็นการเสื่อมเสียเกียรติยศของชายผู้สามี เมื่อจำเลยฆ่าผู้ตามทั้งสองตายในขณะร่วมประเวณีกันอยู่ จึงไม่มีโทษตามมาตรา ๕๐ เพราะได้ชื่อว่าเป็นการป้องกันเกียรติยศพอสมควรแก่เหตุให้ปล่อยจำเลยไป

หมายเหตุ
ศาลได้พิพากษาตามกฎหมายลักษณะอาญา ซึ่งตรงกับประมวลกฎหมายอาญา หลักป้องกัน ตาม ป.อ. มาตรา 68

ฎีกา 3955/2547
ป.อ. มาตรา 68, 72
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หากเป็นสามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย สามีใช้อาวุธปืนยิงชายอื่นเนื่องจากชายอื่นกับภริยาอยู่ด้วยกันภายในห้องนอนตามลำพังสองต่อสอง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสามีอ้างป้องกันไม่ได้แต่อ้างบันดาลโทสะได้

ฎีกา 3861/2547  
ป.อ. มาตรา 68, 72
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้มีดขนาดกว้าง ๒ นิ้ว ยาว ๑๐ นิ้ว เป็นอาวุธฟันทำร้ายผู้เสียหาย ถูกบริเวณศีรษะ ๒ ครั้ง เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน เจ้าพนักงานยึดอาวุธมีดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๗, ๓๓ ริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ ประกอบมาตรา ๗๒ ลงโทษจำคุก ๓ เดือน และปรับ ๓,๐๐๐ บาท คำให้การจำเลยและทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด ๑ ปี ตาม ป.อ. มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ต. ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยไปพบโจทก์ร่วมนอนหลับอยู่กับ ต. ที่เตียงนอนบริเวณฟาร์มเลี้ยงไก่ของ ต. จำเลยใช้มีดขนาดกว้าง ๒ นิ้ว ยาว ๑๐ นิ้ว ที่นำติดตัวไปฟันโจทก์ร่วม ๑ ครั้ง ที่บริเวณศีรษะได้รับบาดเจ็บ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ป.อ. มาตรา ๖๘ บัญญัติว่า ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า แม้จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ต. จะมีสิทธิป้องกันมิให้หญิงอื่นมามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีของตนก็ตาม แต่ขณะจำเลยพบโจทก์ร่วมนั้น โจทก์ร่วมกำลังนอนหลับอยู่กับ ต. เท่านั้น มิได้กำลังร่วมประเวณีกัน พฤติการณ์เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่โจทก์ร่วมเข้าไปนอนหลับอยู่กับ ต. สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่เตียงนอนในฟาร์มเลี้ยงไก่ของสามีจำเลยเช่นนี้นับได้ว่าเป็นการกระทำที่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยพบเห็นโดยบังเอิญมิได้คาดคิดมาก่อนและไม่สามารถอดกลั้นโทสะไว้ได้ ใช้มีดฟันศีรษะโจทก์ร่วมไปในทันทีทันใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ. มาตรา ๗๒ หาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

2. หากเป็นสามี ภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้

ฎีกา 249/2515
ป.อ. มาตรา 72, 288, 295
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายสม ทรายมูล ตายโดยเจตนาฆ่าเนื่องจากเป็นชู้กับภริยาจำเลย แล้วแทงภริยาจำเลยเอง 1 ที ได้รับบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,295, 72 ริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธการกระทำโดยเจตนา จำเลยกระทำโดยมีเหตุแก้ตัวตามกฎหมาย และจำเป็นเพื่อป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกระทงหนัก จำคุก 2 ปีริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้ 5 ปีตามมาตรา 56
โจทก์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่รอการลงโทษเพราะจำเลยกระทำผิดต่อผู้อื่นถึง 2 คน
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเห็นผู้ตายกำลังชำเรานางจินดาภริยาจำเลยถึงในห้องนอน แม้นางจินดาจะไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เกิดบุตรกับจำเลย 6 คน อยู่กินกันมา 13 ปี จำเลยย่อมมีความรักและหวงแหนอาวุธที่จำเลยใช้แทงก็เป็นมีดพับเล่มเล็กที่หามาได้ในทันทีทันใดเมื่อจำเลยกระทำผิดแล้วก็ได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ให้การรับสารภาพเบิกความเป็นพยานตนเองรับต่อศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลมาก ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อนที่จำเลยทำร้ายนางจินดาภริยาด้วยก็เป็นบาดแผลเพียงเล็กน้อยสมควรปรานีแก่จำเลย พิพากษายืน

             ฎีกา 2377/2544
             ป.อ. มาตรา 72
              จำเลยและหญิงมิได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมายแต่จำเลยได้อุปการะเลี้ยงดูหญิงเยี่ยงภริยาซึ่งผู้เสียหายก็รู้ แต่ผู้เสียหายยังไปลักลอบหลับนอนร่วมประเวณีกับหญิง การที่จำเลยยิงผู้เสียหายในขณะดังกล่าว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ

               ฎีกา 5/2500  
               ป.อ. มาตรา 3, 72
               โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่านายประเทือง แสงโรจน์ ให้ตายโดยเจตนาโดยใช้อาวุธปืนยิง อนึ่ง จำเลยมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การรับข้อมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและรับข้อใช้ปืนยิงนายประเทือง แสงโรจน์ แก้ว่าทำเพราะความจำเป็นเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลย 600 บาท ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ลดกึ่งตาม มาตรา 59 เหลือปรับ 300 บาทริบปืนและปลอกกระสุนข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุก จำเลย 15 ปีตามกฎหมายอาญา มาตรา 249 ลดกึ่งเหลือโทษจำคุก 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้บังคับคดีอย่างศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้วได้ความว่านางสวาทเป็นภรรยาจำเลยอยู่ด้วยกันมาราว 10 ปี ไม่ได้จดทะเบียนสมรสมีบุตรด้วยกัน 5 คนจำเลยมีภรรยาอีกคนหนึ่ง จำเลยค้างคืนอยู่กับนางสวาท 4, 5 วันครั้ง ครั้งที่จะเกิดเหตุเรื่องนี้ จำเลยรู้ระแคะระคายว่านางสวาททำชู้จำเลยไปหานายเสรีเรียกเอาปืนกับกระสุนปืนที่จำเลยฝากนายเสรีไว้เป็นปืนไม่มีทะเบียนและจำเลยชวนนายเสรีกับนายประเทือง มันทะวินพากันเดินทางไปบ้านจำเลยอีกสองคนคอยอยู่ภายนอกสักครู่เกิดเหตุจำเลยใช้ปืนยิงนายประเทือง แสงโรจน์ถึงแก่ความตาย วินิจฉัยได้ต่อไปว่านายประเทืองถูกยิงระหว่างนายประเทืองทำชำเรานางสวาทระหว่างการทำชำเราเสียงสุกรร้องนายประเทืองออกมามอง ๆ เห็นปลอดภัยแล้วก็จะกลับไปทำชำเราต่อ แต่ถูกยิงเสียก่อนจริงอยู่เมื่อนายประเทืองถูกยิง นายประเทืองยังไม่ได้อยู่บนอกนางสวาท แต่พฤติการณ์ในคดีนี้เท่าที่แสดงมานั้นก็ปรากฏความร้ายแรงไม่หย่อนกว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยถูกยั่วโทษะ
ศาลนี้พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา2499 มาตรา 288, 72 วางโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ลดรับสารภาพตาม มาตรา 78 กึ่งหนึ่งเหลือ 3 เดือน นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่