เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า...แต่ต้องบอกก่อนว่าในขณะที่จะเล่าเรื่องต่อไปนี้ ตอนนี้อาตมาบวชเป็นพระอยู่ไม่ได้มีเจตตนาที่จะทำผิดวินัยสงฆ์แต่อย่างใดหากพลาดพลั้งอะไรไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
เหตุการณ์นี้ต้องเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ปี 2556 ประมาณกลางปี (ขอท้าวความนิดนึง คือเรามีลูกด้วยกันตั้งแต่เรียน ปวช. พอเรียนจบ ปวช. ก็ได้แยกกันไปเรียนต่อ มหาลัย เธอก็ไปเรียนที่กรุงเทพ ส่วนผมก็ได้เรียนแค่ ปวส. ก็ต้องออกมาหางานเพื่อส่งเสียทั้งแม่และลูกเลยไม่ได้ไปอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เธอก็ตั้งใจเรียนจนจบ เป็นเวลา 4 ปี ก็กลับมาอยู่บ้านเพื่อมาหางานตามปกติ....ไปเข้าเรื่องเลย)
คือพอเธอจบมา เธอก็ขอกลับไปอยู่บ้านเพื่อดูแลแม่ (พ่อเสียแล้ว) ผมก็โอเคไม่ว้าเพราะระยะทางแค่ 15-20 โล ไปหากันง่ายอยู่แล้ว ก็ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึงพฤษภาคม เราก็จะเจอกันแค่วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ลืมบอกว่าส่วนตัวผมตอนนั้นทำธุกิจร้านอินเตอร์เน็ตแถวบ้าน แถบชานเมือง ก็ต้องบอกว่าช่วงเวลานั้นผมขาดการดูแล เอาใจใส่ อย่างเป็นที่สุด จนเป็นเหตุให้มีเรื่องขึ้นมา ช่วงประมาณเดือน มิถุนายนปีที่แล้วเธอขอกลับบ้านผมเป็นวันเสาร์อาทิตย์แทน เค้าบอกว่าขับรถมอไซต์มามันเมื่อย เราก็ไม่ว่าอะไร แต่ผมเริ่มสังเกตุนิสัยเธอเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มหาเวลาส่วนตัว เริ่มมีรหัสที่โทรศัพท์ ซึ่งต้องบอกว่าผมเริ่มระแวง
แล้วมันก็เป็นจริงๆ ผมแอบดูโทรศัพท์ก็เห็นว่ามีเบอร์โทรมาบ่อยอยู่เบอร์นึง แล้วก็คุยนานด้วย ก็เลยถามไปว่านี่ใคร เธอก็เงียบบอกว่าเพื่อน...ผู้ชาย เห้อออ หัวใจแทบสลาย ผมก็ถามว่าคุยอะไรกันมากมายขนาดนี้ ทำไมต้องคุยกับมัน เธอตอบมาง่ายว่า ก็คุยแล้วมันสบายใจอ่ะ ..... เอาแล้วสิครับ ผมนั้งลงแล้วก็ร้องไห้ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ผมก็หันมองหน้าแล้วก็ถามว่ายังรักเราอยู่ไหม คำตอบที่ได้ยินมันแทบ....เธอพูด ถามว่ารักไหมตอนนี้ก็เฉยๆ แต่ถามว่าห่วงไหมก็ห่วง เอ๊ะ....คำตอบมันยังไง หลังจากเหตุการณ์นั้นเธอขอเวลาซักพักอยากอยู่คนเดียว ถ้าอยากมาหาก็มา สิ้นเสียงนั้นผมใช้เวลาทำใจ นอนร้องไห้ ดื่มแล้วร้องไห้อยู่เกือบเดือน
ผมก็ตัดสินใจเราจะเป็นคนใหม่ ก็มันรักนิ ไม่โกรธเธอหรอกเพราะถือว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้ดูแลเค้าอย่างเต็มที่ ผมบอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะเอาความรักจากเธอคืนมา แล้วจะไม่ยอมเสียมันไปอีก
เริ่มต้นจากฝากร้านเน็ตให้พ่อดูแลแทน(พ่อเกษียณแล้ว แล้วพ่อก็ช่วยเราดูร้านมาตลอด เลยหายห่วงได้เลย) ตัวผมไปหางานในตัวเมืองเพื่อที่จะได้ใกล้กันมากขึ้น ผมเริ่มทำงานได้เดือนกว่าก็เริ่มไปหาบ้าง ชวนไปเที่ยวบ้างโดยมีลูกเนี้ยแหละครับเป็นข้ออ้างว่าอยากไปด้วยกัน มันก็เริ่มจะดูดี เริ่มมีแววที่จะกลับมาเป็นแบบเดิม พอถึงช่วงประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนผมก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเธอ โดยที่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็กลับมาหาลูกกัน(เรื่องลูกไม่ต้องห่วงครับ พ่อ แม่ผมท่านดูแลอย่างดี แต่ผมก็ไม่เคยลืมเวลาที่จะให้ลูกเลยน่ะครับ แต่พ่อขอเวลาสร้างตัวก่อน) ตอนนี้อะไรๆมันก็สวยเลยครับ เดือนธันวาคมผมออกรถใหม่ คือผมมีรถที่พ่อให้มาคันนึงมันก็เก่าแล้ว
เลยอยากจะออกคันใหม่แต่อยากให้เธอเลือก เธอก็เลือกทั้งสี ทั้งรุ่น ตามที่เธอต้องการ แต่สิ่งที่ทางบ้านผมขอก็คือเรื่องชื่อเจ้าของรถอยากให้เป็นของผมเพราะต้องบอกว่าเรายังไม่จดทะเบียนกัน แม่ผมเลยห่วงกลัวมันจะมีปัญหาอย่างเดิมอีก แต่ต้องบอกว่าผมให้เธอได้ใช้เต็มที่เลย บางครั้งผมก็ขับมอไซต์ไปทำงาน คือบางทีผมต้องเลิกเย็นเลยไม่อยากให้เธอรอ แล้วก็อีกอย่างที่ทำงานเธอไกลกว่าผมมากๆๆ ชีวิตก็ผ่านมาด้วยดีครับ ผ่านวาเลนไทน์ผมก็แอบไปซื้อกระเป๋าคุมะที่เธอชอบมาให้ ผ่านๆๆๆ มาจนถึงช่วงเดือนเมษายน เราไปเที่ยวกัน กะว่าจะเที่ยวก่อนที่ผมจะลาบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ตอนนั้นผมอยู่ในรถส่วนเธอลงไปซื้อของ ผมก็ได้ยินเสียงไลน์ดัง
ที่โทรศัพท์ของเธอ เราก็เลยเปิดดู โอ้โห....คุยกับคนเดิม เห้อออออ ลืมบอกไปว่าตอนที่จับได้ตอนแรกผมโทรไปหาไอ้คนเนี้ยบอกว่าหยุดได้ไหม ผมขอ คนนี้ผมรักจริงๆ อย่ามาทำร้ายครอบครัวเราเลย มันก็บอกว่าขอโทด สัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว...จบน๊ แต่คราวนี้สิ เธอกลับบอกว่าส่งไปหาเค้าก่อนเอง เธอก็ขอโทด ร้องไห้ บอกว่าจะไม่ทำอีกแล้ว .... ผมหรอ โกรธสิครับ โมโหมาก บอกเลิกเลยเดี๋ยวไปส่งบ้านเลยจบ แต่อารมณ์รึจะสู้น้ำตาผู้หญิง เธอมากอดผมยอมรับผิดทุกอย่าง ลบไลน์ ขอโทด ขอร้อง ฯ ผมก็เลยต้องยอมตามระเบียบ จนเหตุการณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติ ช่วงเดือนพฤษภานั้นผมมีกำหนดบวช ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากก็เห็นเธอดูทำดีขึ้น ก็เลยเฉยๆ
แต่ยัง ช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนบวชผมแอบเห็นไลน์ ว่าเธอสั่งซื้อนาฬิการาคาก็สูงอยู่ ผมก็เลยแกล้งถามว่าซื้อนาฬิกาใหม่หรอ ใส่ได้หรอแบบนั้นอ่ะ มันของผู้ชายนิ เธอก็บอกว่าเอ้าแอบดูอีก จะซื้อให้เธอนั้นแหละ อืม....ดีใจอ่ะ แถมยังบอกว่าเป็นของขวัญ 10 ปีของเรา จนผ่านไปเห็นสั่งวันพุธ วันศุกร์ก็น่าจะถึง แต่ก็ยังเงียบ คือผมมีงานบวชวันเสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่ให้วันศุกร์ ต่อไปเป็นพระผมก็คงไม่ได้ใส่แน่ๆ เลยถามไปว่ายังไม่มาหรอ นาฬิกาอ่ะ เธอก็บอกว่า ยังเลย ยังไม่ได้สั่ง ไม่มีตัง .... แต่หารู้ไม่ว่าผมเห็นสลิปแจ้งโอนเงินไปแล้ว เหอะๆ เอาโอเคจบไม่คิดจะบวชแล้ว ........... พอบวชเสร็จเป็นพระ อยู่วัดแรกๆมันก็มีห่วง ก็เลยแอบเข้าไปดูในเฟส(ผมรู้รหัสเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าผมรู้)
งานเข้าสิโยมเอ้ย คุยกันมันเลย เฮ้อออออ พระบอกเลยว่าจะเอาพรรษา บอกกับโยมพ่อโยมแม่ แหม่มันมาทำให้เราแทบร้อนลน อย่างจะสึกซะเดี๋ยวนั้น ผมก็เลยถ่ายภาพหน้าจอในช่องแชทของเธอ แล้วก็ส่งไปให้เธอดู และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ คราวนี้มันกลับไม่สำนึก มาโมโหใส่พระ บอกว่าทำไมไม่ตัดทางโลกอีก เหอะๆ .............
ถึงน่ะเวลานี้ พระลองหยุด เพื่อสงบ แต่ใจมันก็ยังรู้สึกห่วงเค้า เอ้อ...ลืมบอก นาฬิกาที่สั่งซื้ออ่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้น่ะว่าอยู่ในข้อมือของใคร ...... พ่อของพระบอกว่า พระจะไปสงสารเค้าทำไม เค้าดูถูกเรา เราไม่เคยสนใจเรา แล้วเราจะไปห่วงเค้าทำไม ห่วงพ่อนี่ ห่วงแม่นี่ อยากจะเห็นลูกครองผ้าเหลืองไปให้ครบพรรษา เค้าไม่รักเรา แต่เราก็มีพ่อแม่ มีลูก มีพี่น้องที่ยังรักเราอยู่อีกมาก จบคำพูดของพ่อพระก็เลยเงียบ นั่งนิ่งๆ อยู่อย่างสงบๆ ไม่คิด ไม่คิด
จนถึงตอนนี้ เราเริ่มดีขึ้น มองให้กว้างขึ้น ถ้าบุญมีวาสนาส่ง ผลบุญต่างๆที่ทำร่วมกันมา อยู่ที่อนาคตแล้วกัน
ขอบคุณทุกๆท่านที่สละเวลามาอ่าน(ยาวไปป่ะ)มาดูชีวิตของผู้ชายคนนึงที่ยอมได้ทุกอย่าง ไม่รู้ว่ามันจะยอมอะไรได้มากอย่างนี้ ยังมีคนแบบนี้อยู่บนโลกอีกไหม สาธุ เจริญพรน่ะโยม
เราเป็นผู้ชาย ถ้าผู้หญิงผิดซ้ำๆ ยังจะให้อภัยกันอีกไหม
เหตุการณ์นี้ต้องเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ปี 2556 ประมาณกลางปี (ขอท้าวความนิดนึง คือเรามีลูกด้วยกันตั้งแต่เรียน ปวช. พอเรียนจบ ปวช. ก็ได้แยกกันไปเรียนต่อ มหาลัย เธอก็ไปเรียนที่กรุงเทพ ส่วนผมก็ได้เรียนแค่ ปวส. ก็ต้องออกมาหางานเพื่อส่งเสียทั้งแม่และลูกเลยไม่ได้ไปอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เธอก็ตั้งใจเรียนจนจบ เป็นเวลา 4 ปี ก็กลับมาอยู่บ้านเพื่อมาหางานตามปกติ....ไปเข้าเรื่องเลย)
คือพอเธอจบมา เธอก็ขอกลับไปอยู่บ้านเพื่อดูแลแม่ (พ่อเสียแล้ว) ผมก็โอเคไม่ว้าเพราะระยะทางแค่ 15-20 โล ไปหากันง่ายอยู่แล้ว ก็ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึงพฤษภาคม เราก็จะเจอกันแค่วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ลืมบอกว่าส่วนตัวผมตอนนั้นทำธุกิจร้านอินเตอร์เน็ตแถวบ้าน แถบชานเมือง ก็ต้องบอกว่าช่วงเวลานั้นผมขาดการดูแล เอาใจใส่ อย่างเป็นที่สุด จนเป็นเหตุให้มีเรื่องขึ้นมา ช่วงประมาณเดือน มิถุนายนปีที่แล้วเธอขอกลับบ้านผมเป็นวันเสาร์อาทิตย์แทน เค้าบอกว่าขับรถมอไซต์มามันเมื่อย เราก็ไม่ว่าอะไร แต่ผมเริ่มสังเกตุนิสัยเธอเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มหาเวลาส่วนตัว เริ่มมีรหัสที่โทรศัพท์ ซึ่งต้องบอกว่าผมเริ่มระแวง
แล้วมันก็เป็นจริงๆ ผมแอบดูโทรศัพท์ก็เห็นว่ามีเบอร์โทรมาบ่อยอยู่เบอร์นึง แล้วก็คุยนานด้วย ก็เลยถามไปว่านี่ใคร เธอก็เงียบบอกว่าเพื่อน...ผู้ชาย เห้อออ หัวใจแทบสลาย ผมก็ถามว่าคุยอะไรกันมากมายขนาดนี้ ทำไมต้องคุยกับมัน เธอตอบมาง่ายว่า ก็คุยแล้วมันสบายใจอ่ะ ..... เอาแล้วสิครับ ผมนั้งลงแล้วก็ร้องไห้ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ผมก็หันมองหน้าแล้วก็ถามว่ายังรักเราอยู่ไหม คำตอบที่ได้ยินมันแทบ....เธอพูด ถามว่ารักไหมตอนนี้ก็เฉยๆ แต่ถามว่าห่วงไหมก็ห่วง เอ๊ะ....คำตอบมันยังไง หลังจากเหตุการณ์นั้นเธอขอเวลาซักพักอยากอยู่คนเดียว ถ้าอยากมาหาก็มา สิ้นเสียงนั้นผมใช้เวลาทำใจ นอนร้องไห้ ดื่มแล้วร้องไห้อยู่เกือบเดือน
ผมก็ตัดสินใจเราจะเป็นคนใหม่ ก็มันรักนิ ไม่โกรธเธอหรอกเพราะถือว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้ดูแลเค้าอย่างเต็มที่ ผมบอกตัวเองว่าต่อไปนี้จะเอาความรักจากเธอคืนมา แล้วจะไม่ยอมเสียมันไปอีก
เริ่มต้นจากฝากร้านเน็ตให้พ่อดูแลแทน(พ่อเกษียณแล้ว แล้วพ่อก็ช่วยเราดูร้านมาตลอด เลยหายห่วงได้เลย) ตัวผมไปหางานในตัวเมืองเพื่อที่จะได้ใกล้กันมากขึ้น ผมเริ่มทำงานได้เดือนกว่าก็เริ่มไปหาบ้าง ชวนไปเที่ยวบ้างโดยมีลูกเนี้ยแหละครับเป็นข้ออ้างว่าอยากไปด้วยกัน มันก็เริ่มจะดูดี เริ่มมีแววที่จะกลับมาเป็นแบบเดิม พอถึงช่วงประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนผมก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเธอ โดยที่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็กลับมาหาลูกกัน(เรื่องลูกไม่ต้องห่วงครับ พ่อ แม่ผมท่านดูแลอย่างดี แต่ผมก็ไม่เคยลืมเวลาที่จะให้ลูกเลยน่ะครับ แต่พ่อขอเวลาสร้างตัวก่อน) ตอนนี้อะไรๆมันก็สวยเลยครับ เดือนธันวาคมผมออกรถใหม่ คือผมมีรถที่พ่อให้มาคันนึงมันก็เก่าแล้ว
เลยอยากจะออกคันใหม่แต่อยากให้เธอเลือก เธอก็เลือกทั้งสี ทั้งรุ่น ตามที่เธอต้องการ แต่สิ่งที่ทางบ้านผมขอก็คือเรื่องชื่อเจ้าของรถอยากให้เป็นของผมเพราะต้องบอกว่าเรายังไม่จดทะเบียนกัน แม่ผมเลยห่วงกลัวมันจะมีปัญหาอย่างเดิมอีก แต่ต้องบอกว่าผมให้เธอได้ใช้เต็มที่เลย บางครั้งผมก็ขับมอไซต์ไปทำงาน คือบางทีผมต้องเลิกเย็นเลยไม่อยากให้เธอรอ แล้วก็อีกอย่างที่ทำงานเธอไกลกว่าผมมากๆๆ ชีวิตก็ผ่านมาด้วยดีครับ ผ่านวาเลนไทน์ผมก็แอบไปซื้อกระเป๋าคุมะที่เธอชอบมาให้ ผ่านๆๆๆ มาจนถึงช่วงเดือนเมษายน เราไปเที่ยวกัน กะว่าจะเที่ยวก่อนที่ผมจะลาบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ตอนนั้นผมอยู่ในรถส่วนเธอลงไปซื้อของ ผมก็ได้ยินเสียงไลน์ดัง
ที่โทรศัพท์ของเธอ เราก็เลยเปิดดู โอ้โห....คุยกับคนเดิม เห้อออออ ลืมบอกไปว่าตอนที่จับได้ตอนแรกผมโทรไปหาไอ้คนเนี้ยบอกว่าหยุดได้ไหม ผมขอ คนนี้ผมรักจริงๆ อย่ามาทำร้ายครอบครัวเราเลย มันก็บอกว่าขอโทด สัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว...จบน๊ แต่คราวนี้สิ เธอกลับบอกว่าส่งไปหาเค้าก่อนเอง เธอก็ขอโทด ร้องไห้ บอกว่าจะไม่ทำอีกแล้ว .... ผมหรอ โกรธสิครับ โมโหมาก บอกเลิกเลยเดี๋ยวไปส่งบ้านเลยจบ แต่อารมณ์รึจะสู้น้ำตาผู้หญิง เธอมากอดผมยอมรับผิดทุกอย่าง ลบไลน์ ขอโทด ขอร้อง ฯ ผมก็เลยต้องยอมตามระเบียบ จนเหตุการณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติ ช่วงเดือนพฤษภานั้นผมมีกำหนดบวช ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากก็เห็นเธอดูทำดีขึ้น ก็เลยเฉยๆ
แต่ยัง ช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนบวชผมแอบเห็นไลน์ ว่าเธอสั่งซื้อนาฬิการาคาก็สูงอยู่ ผมก็เลยแกล้งถามว่าซื้อนาฬิกาใหม่หรอ ใส่ได้หรอแบบนั้นอ่ะ มันของผู้ชายนิ เธอก็บอกว่าเอ้าแอบดูอีก จะซื้อให้เธอนั้นแหละ อืม....ดีใจอ่ะ แถมยังบอกว่าเป็นของขวัญ 10 ปีของเรา จนผ่านไปเห็นสั่งวันพุธ วันศุกร์ก็น่าจะถึง แต่ก็ยังเงียบ คือผมมีงานบวชวันเสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่ให้วันศุกร์ ต่อไปเป็นพระผมก็คงไม่ได้ใส่แน่ๆ เลยถามไปว่ายังไม่มาหรอ นาฬิกาอ่ะ เธอก็บอกว่า ยังเลย ยังไม่ได้สั่ง ไม่มีตัง .... แต่หารู้ไม่ว่าผมเห็นสลิปแจ้งโอนเงินไปแล้ว เหอะๆ เอาโอเคจบไม่คิดจะบวชแล้ว ........... พอบวชเสร็จเป็นพระ อยู่วัดแรกๆมันก็มีห่วง ก็เลยแอบเข้าไปดูในเฟส(ผมรู้รหัสเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าผมรู้)
งานเข้าสิโยมเอ้ย คุยกันมันเลย เฮ้อออออ พระบอกเลยว่าจะเอาพรรษา บอกกับโยมพ่อโยมแม่ แหม่มันมาทำให้เราแทบร้อนลน อย่างจะสึกซะเดี๋ยวนั้น ผมก็เลยถ่ายภาพหน้าจอในช่องแชทของเธอ แล้วก็ส่งไปให้เธอดู และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ คราวนี้มันกลับไม่สำนึก มาโมโหใส่พระ บอกว่าทำไมไม่ตัดทางโลกอีก เหอะๆ .............
ถึงน่ะเวลานี้ พระลองหยุด เพื่อสงบ แต่ใจมันก็ยังรู้สึกห่วงเค้า เอ้อ...ลืมบอก นาฬิกาที่สั่งซื้ออ่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้น่ะว่าอยู่ในข้อมือของใคร ...... พ่อของพระบอกว่า พระจะไปสงสารเค้าทำไม เค้าดูถูกเรา เราไม่เคยสนใจเรา แล้วเราจะไปห่วงเค้าทำไม ห่วงพ่อนี่ ห่วงแม่นี่ อยากจะเห็นลูกครองผ้าเหลืองไปให้ครบพรรษา เค้าไม่รักเรา แต่เราก็มีพ่อแม่ มีลูก มีพี่น้องที่ยังรักเราอยู่อีกมาก จบคำพูดของพ่อพระก็เลยเงียบ นั่งนิ่งๆ อยู่อย่างสงบๆ ไม่คิด ไม่คิด
จนถึงตอนนี้ เราเริ่มดีขึ้น มองให้กว้างขึ้น ถ้าบุญมีวาสนาส่ง ผลบุญต่างๆที่ทำร่วมกันมา อยู่ที่อนาคตแล้วกัน
ขอบคุณทุกๆท่านที่สละเวลามาอ่าน(ยาวไปป่ะ)มาดูชีวิตของผู้ชายคนนึงที่ยอมได้ทุกอย่าง ไม่รู้ว่ามันจะยอมอะไรได้มากอย่างนี้ ยังมีคนแบบนี้อยู่บนโลกอีกไหม สาธุ เจริญพรน่ะโยม