วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557
ผมได้เสียคนที่ผมรักที่สุดคนนึงในชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ
ในวันนั้น หนุ่มออฟฟิศคนนึงในวันธรรมดาๆกำลังนั่งทำงานด้วยความเครียด
อยู่ๆก็มีสายจากน้องสาวโทรมา ปลายสายเสียงสั่น และพูดจาไม่รู้เรื่อง เนื่องจากว่าน้องกำลังร้องไห้
จากคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์ จับใจความได้ว่า "ยายเสียแล้ว"
วินาทีนั้นผมทำอะไรไม่ถูก แต่น้ำตาไม่ได้ไหล สิ่งแรกที่ทำคือปลอบน้องสาวที่กำลังร้องให้ให้สงบลง
หลังจากที่น้องสงบอารมณ์ได้แล้ว ผมจึงวางสาย..
ในขณะที่มือของผมกำลังวางโทรศัพท์ น้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา ภาพเก่าๆตั้งแต่จำความได้ค่อยๆลอยขึ้นมา
เพราะตั้งแต่เด็กยายเป็นคนที่เลี้ยงผมมาโดยตลอด เพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน จะเป็นกับข้าว ของเล่น หรือสิ่งใหนๆ
ยายก็หามาให้ผมได้เสมอ แม้แต่สองสามปีที่แล้วผมอยากได้หมา ยายก็ไปหามาให้จนได้ แม้ว่าจะผ่านมาถึง 25 ปี
ยายในวันนั้น กับยายในวันนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ผมบินกลับใต้ในเย็นวันนั้น เพื่อไปดูยายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบรรจุลงไปยังโลงศพ น้ำตาผมไหลอีกครั้ง
ผมไม่เคยร้องให้ให้ใครเห็น นี่อาจจะเป็นครั้งแรก ที่ผมปล่อยโฮได้อย่างไม่อายใคร มีแต่แม่เท่านั้นที่เข้ามาปลอบ
พร้อมบอกว่า อย่าให้น้ำตาโดนยายนะ เดี๋ยวยายจะจากไปแบบไม่สงบ ผมจึงสงบสติอารมณ์สักครู่และไปรดน้ำยาย
หลังจากวันนั้นผมก็ช่วยงานศพ แต่ในใจก็คิด ว่ายังมีอะไรหลายๆอย่างที่อยากจะทำ อยากจะแสดงให้ท่านเห็น แต่เพราะมัวแต่ช้า
ผมเสียใจมากๆ ในขณะที่สมองเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และน้ำตายังซึมอยู่เล็กน้อย สายตาได้เหลือบไปเห็นพระสงฆ์ จึงบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
เดิมทีผมเป็นพวกนับถือพุทธตามพ่อแม่ และออกแนวจะเป็นเอธีสเสียด้วยซ้ำ แต่วินาทีนั้นผมแค่อยากจะหาที่พึ่ง ผมจึงตัดสินใจบวชแบบกระทันหัน
เป็นเวลาเก้าวัน ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นมากมาย สอนให้ผมได้คิด ซึ่งคืนสุดท้ายก่อนที่จะสึกนั้น ผมได้เขียนไดอารี่ใว้ชุดนึง เป็นข้อคิดให้กับตัวเอง
ซึ่งนี่ก็ผ่านมานานแล้ว อยากจะแชร์ให้ทุกๆคนได้อ่านเช่นกันครับ...
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายก่อนจะกลับไปเป็นฆราวาส ถือโอกาสนั่งทบทวนหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ได้จากการบวชให้โยมยายครั้งนี้
มองแค่ผิวเผินเหมือนจะได้อะไรกลับไปน้อยมากเพราะเดิมทีการบวชครั้งนี้เกิดขึ้นแบบกระทันหันมากๆ สวดอะไรแทบจะไม่ได้เลย กิจในวัดก็ทำไม่ครบ เพราะมีงานศพอยู่ใกล้ๆสองสามงาน การทำงานในวัดให้เต็มที่จึงเป็นสิ่งทดแทนในการแสดงความตั้งใจในการบวชเพื่อสร้างกุศลให้โยมยายในครั้งนี้ บทสวดก็ท่องเฉพาะคำกรวดน้ำสั้นๆ เพื่อกรวดน้ำให้โยมยายทุกเช้า
ประสบการณ์ชีวิตครั้งนี้จึงได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า "แรงปรารถนา" ที่พยายามจะสร้างกุศลให้โยมยายถึงแม้โยมยายจะไม่ได้อยู่เห็นพระหลานห่มจีวรกับตาตอนยังมีชีวิตก็ตาม
และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือการได้เข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียกว่า "ศาสนา" มากขึ้น ซึ่งเดิมทีหลวงยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์มาโดยตลอด ก็ได้แต่ฉงนใจว่าสิ่งที่ใช้หลักตรรกศาสตร์มาชี้วัดคำสอนไม่ได้ หรือสิ่งที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสัจจะของจักรวาลที่สามารถจับต้องได้มาทำการพิสูจน์ ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อีกเช่นกัน ว่า เหตุใดจึงมีคนศรัทธากันได้มากมายถึงขนาดนี้ ชาวบ้านแถวๆวัดที่หลวงบวชส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ทำนาบ้าง กรีดยางบ้าง มีฐานะไม่ได้ร่ำรวย ออกแนวไปทางลำบากด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ยังเอาปิ่นโตมาถวายทุกวันพระกันเต็มโรงธรรม เพิ่งมาเข้าใจความสำคัญของสิ่งๆนี้จริงๆเอาเข้าเมื่อต้องเสียโยมยาย เพราะในใจของหลวงตอนที่รู้ว่าเสียโยมยายทุกอย่างมันเคว้งไปหมด คนที่เคยเลี้ยงหลวงมากับมือตั้งแต่ยังตีนเท่าฝาหอย จนตอนนี้ก็ยังมาทำกับข้าวให้กินถึงกรุงเทพฯบ่อยๆ คนที่หลวงรักเหมือนแม่คนที่สอง ตอนนี้คนๆนั้นไม่อยู่อีกแล้ว เหมือนไม่มีหลักจะให้พิง การได้พึ่งสิ่งที่เรียกว่าศาสนา และได้มุ่งทำกุศลโดยมีแรงปรารถนาที่เชื่อว่าทำเพื่อให้โยมยายไปสู่ภพภูมิที่ดี จึงเป็นสิ่งที่ฉุดหลวงให้ลุกขึ้นเดินต่อไปข้างหน้า ไม่ให้จมอยู่กับความสูญเสีย เพราะเชื่อว่าถ้าโยมยายได้เห็น โยมยายคงอยากเห็นภาพหลวงที่เป็นแบบนี้มากกว่า
การบวชครั้งนี้แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ และไม่ทันตั้งตัว ในความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต บางทีก็ได้อะไรดีๆกลับมาพอตัวเหมือนกัน อยู่ที่เราจะมอง และทางที่เราเลือกจะเดิน และสิ่งที่เราเลือกที่จะเชื่อ
สิริวณฺโณ
2 มี.ค. 2557
22:13 น
คิดถึงเสมอ
หลานรัก ^____^
[ท่านจ้าวสมุทรไดอารี่] คืนสุดท้ายก่อนเป็นฆราวาส..
ผมได้เสียคนที่ผมรักที่สุดคนนึงในชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ
ในวันนั้น หนุ่มออฟฟิศคนนึงในวันธรรมดาๆกำลังนั่งทำงานด้วยความเครียด
อยู่ๆก็มีสายจากน้องสาวโทรมา ปลายสายเสียงสั่น และพูดจาไม่รู้เรื่อง เนื่องจากว่าน้องกำลังร้องไห้
จากคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์ จับใจความได้ว่า "ยายเสียแล้ว"
วินาทีนั้นผมทำอะไรไม่ถูก แต่น้ำตาไม่ได้ไหล สิ่งแรกที่ทำคือปลอบน้องสาวที่กำลังร้องให้ให้สงบลง
หลังจากที่น้องสงบอารมณ์ได้แล้ว ผมจึงวางสาย..
ในขณะที่มือของผมกำลังวางโทรศัพท์ น้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา ภาพเก่าๆตั้งแต่จำความได้ค่อยๆลอยขึ้นมา
เพราะตั้งแต่เด็กยายเป็นคนที่เลี้ยงผมมาโดยตลอด เพราะพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน จะเป็นกับข้าว ของเล่น หรือสิ่งใหนๆ
ยายก็หามาให้ผมได้เสมอ แม้แต่สองสามปีที่แล้วผมอยากได้หมา ยายก็ไปหามาให้จนได้ แม้ว่าจะผ่านมาถึง 25 ปี
ยายในวันนั้น กับยายในวันนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ผมบินกลับใต้ในเย็นวันนั้น เพื่อไปดูยายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบรรจุลงไปยังโลงศพ น้ำตาผมไหลอีกครั้ง
ผมไม่เคยร้องให้ให้ใครเห็น นี่อาจจะเป็นครั้งแรก ที่ผมปล่อยโฮได้อย่างไม่อายใคร มีแต่แม่เท่านั้นที่เข้ามาปลอบ
พร้อมบอกว่า อย่าให้น้ำตาโดนยายนะ เดี๋ยวยายจะจากไปแบบไม่สงบ ผมจึงสงบสติอารมณ์สักครู่และไปรดน้ำยาย
หลังจากวันนั้นผมก็ช่วยงานศพ แต่ในใจก็คิด ว่ายังมีอะไรหลายๆอย่างที่อยากจะทำ อยากจะแสดงให้ท่านเห็น แต่เพราะมัวแต่ช้า
ผมเสียใจมากๆ ในขณะที่สมองเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และน้ำตายังซึมอยู่เล็กน้อย สายตาได้เหลือบไปเห็นพระสงฆ์ จึงบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
เดิมทีผมเป็นพวกนับถือพุทธตามพ่อแม่ และออกแนวจะเป็นเอธีสเสียด้วยซ้ำ แต่วินาทีนั้นผมแค่อยากจะหาที่พึ่ง ผมจึงตัดสินใจบวชแบบกระทันหัน
เป็นเวลาเก้าวัน ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นมากมาย สอนให้ผมได้คิด ซึ่งคืนสุดท้ายก่อนที่จะสึกนั้น ผมได้เขียนไดอารี่ใว้ชุดนึง เป็นข้อคิดให้กับตัวเอง
ซึ่งนี่ก็ผ่านมานานแล้ว อยากจะแชร์ให้ทุกๆคนได้อ่านเช่นกันครับ...
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายก่อนจะกลับไปเป็นฆราวาส ถือโอกาสนั่งทบทวนหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ได้จากการบวชให้โยมยายครั้งนี้
มองแค่ผิวเผินเหมือนจะได้อะไรกลับไปน้อยมากเพราะเดิมทีการบวชครั้งนี้เกิดขึ้นแบบกระทันหันมากๆ สวดอะไรแทบจะไม่ได้เลย กิจในวัดก็ทำไม่ครบ เพราะมีงานศพอยู่ใกล้ๆสองสามงาน การทำงานในวัดให้เต็มที่จึงเป็นสิ่งทดแทนในการแสดงความตั้งใจในการบวชเพื่อสร้างกุศลให้โยมยายในครั้งนี้ บทสวดก็ท่องเฉพาะคำกรวดน้ำสั้นๆ เพื่อกรวดน้ำให้โยมยายทุกเช้า
ประสบการณ์ชีวิตครั้งนี้จึงได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า "แรงปรารถนา" ที่พยายามจะสร้างกุศลให้โยมยายถึงแม้โยมยายจะไม่ได้อยู่เห็นพระหลานห่มจีวรกับตาตอนยังมีชีวิตก็ตาม
และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือการได้เข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียกว่า "ศาสนา" มากขึ้น ซึ่งเดิมทีหลวงยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์มาโดยตลอด ก็ได้แต่ฉงนใจว่าสิ่งที่ใช้หลักตรรกศาสตร์มาชี้วัดคำสอนไม่ได้ หรือสิ่งที่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสัจจะของจักรวาลที่สามารถจับต้องได้มาทำการพิสูจน์ ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อีกเช่นกัน ว่า เหตุใดจึงมีคนศรัทธากันได้มากมายถึงขนาดนี้ ชาวบ้านแถวๆวัดที่หลวงบวชส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ทำนาบ้าง กรีดยางบ้าง มีฐานะไม่ได้ร่ำรวย ออกแนวไปทางลำบากด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ยังเอาปิ่นโตมาถวายทุกวันพระกันเต็มโรงธรรม เพิ่งมาเข้าใจความสำคัญของสิ่งๆนี้จริงๆเอาเข้าเมื่อต้องเสียโยมยาย เพราะในใจของหลวงตอนที่รู้ว่าเสียโยมยายทุกอย่างมันเคว้งไปหมด คนที่เคยเลี้ยงหลวงมากับมือตั้งแต่ยังตีนเท่าฝาหอย จนตอนนี้ก็ยังมาทำกับข้าวให้กินถึงกรุงเทพฯบ่อยๆ คนที่หลวงรักเหมือนแม่คนที่สอง ตอนนี้คนๆนั้นไม่อยู่อีกแล้ว เหมือนไม่มีหลักจะให้พิง การได้พึ่งสิ่งที่เรียกว่าศาสนา และได้มุ่งทำกุศลโดยมีแรงปรารถนาที่เชื่อว่าทำเพื่อให้โยมยายไปสู่ภพภูมิที่ดี จึงเป็นสิ่งที่ฉุดหลวงให้ลุกขึ้นเดินต่อไปข้างหน้า ไม่ให้จมอยู่กับความสูญเสีย เพราะเชื่อว่าถ้าโยมยายได้เห็น โยมยายคงอยากเห็นภาพหลวงที่เป็นแบบนี้มากกว่า
การบวชครั้งนี้แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ และไม่ทันตั้งตัว ในความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต บางทีก็ได้อะไรดีๆกลับมาพอตัวเหมือนกัน อยู่ที่เราจะมอง และทางที่เราเลือกจะเดิน และสิ่งที่เราเลือกที่จะเชื่อ
สิริวณฺโณ
2 มี.ค. 2557
22:13 น
คิดถึงเสมอ
หลานรัก ^____^