สวัสดีค่ะ ขอออกตัวก่อนเลยนะคะ ว่านี้เป็นกระทู้รีวิวแรกของเราเลย ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปต้องขออภัยไว้ก่อนนะคะ
ข้อมูลในทริปเราอาจจะไม่ได้แน่นเป๊ะๆ เราจะเน้นเล่าประสบการณ์ โดยเฉพาะการไปลุยเดี่ยวในครั้งนี้ค่ะ
ในชีวิตนี้ยังไม่เคยคิดเลยค่ะ ว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว อะไรดลใจก็ไม่รู้
เราแค่รู้สึกว่าอยากไป อยากไปใช้ชีวิตปิดเทอมครั้งสุดท้ายในชีวิตเด็กมหาลัยที่ญี่ปุ่นสักอาทิตย์นึง
เพราะหลังจากนี้ เราจะเริ่มทำงานแล้ว ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่า ทำงานแล้วจะมีเวลาไปไหม จะลาได้ไหม
ชีวิตไม่แน่นอนงั้นของไปอีกสักรอบก่อนทำงานละกัน ไปแบบ สอบเสร็จปุ๊ปไปปั๊ปเลยค่า
ตั้งแต่วันที่ 18 - 25 พ.ค. 2557 ที่สำคัญคือไปคนเดียว ชวนคนนู้นคนนี่แล้วไม่มีใครไปด้วยเลย
5555 ไปคนเดียวก็ได้ เพราะถ้ารอคนไปด้วย สุดท้ายคิดว่าคงไม่ได้ไปค่าาา ^-^
ทริปนี้เป็นทริปที่ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปอย่างประหยัดค่ะ เลยยอมนั่งสายการบินจีน China Eastern Airline ไปต่อเครื่องที่เซี่ยงไฮ้
แต่แพลนก็ล่มเพราะ ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะพักที่ไหนดี
เสิรจดูโรงแรมแทบทุกวัน 555 ตอนแรกจะนอน hostel แบบห้องเดี่ยวแต่ห้องน้ำรวมแล้วนะ แต่ก็แอบกลัวนิดนึง สุดท้ายก็ไปเจอ DEAL ของ Hotel Sunroute Higashi-Shinjuku ลด 25% ใน agoda
เราแพ้คำว่า discount อีกแล้วววววว เลยกดจองไป ดันเผลอกดแบบตัดเงินเลยทันทีอีกด้วย คราวนี้เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วละคะ กลายเป็นว่าค่าโรงแรมพอๆกะค่าตั๋วเครื่องบินเลย = =
ออกเดินทางกันเลยดีกว่าาา .....
ไฟล์ทขาไปผู่ตงคือ MU548 01.55 ของวันที่ 18 (คืนวันที่ 17)
ก่อนไปเราสวดมนตร์ภาวนาไม่ให้ไฟล์ทดีเลย์ เพราะเคยมีประสบการณ์เคยไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้
ด้วยไฟล์ทเดียวกันนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วค่า ครั้งนั้นดีเลย์ถึง 4 ชม. 0___0
โชคดีที่ไม่ดีเลย์ค่า ^/^
counter check in เปิดประมาณ 5 ทุ่มนะคะ วันนี้ป๊าม๊าและน้องมาส่งกันครบ อย่างกับจะไปเรียนต่อ 555 ตอนเช็คอินพนักงานถามด้วยนะคะว่าไปกี่วัน น่าจะเป็นเพราะเราไปคนเดียวละมั้ง เหมือนเค้าจะต้องสกรีนคนออกนอกประเทศก่อนหรือเปล่า
ช็อปดิวตี้ฟรีเบาๆแล้วก็มานั่งรอที่เกทค่า ตอนนนี้เริ่มรู้สึกเหงานิดนึงแล้ว ฮ่าๆ ไม่มีคนคุยด้วย
จะเป็นแบบนี้ไปอีก 8 วัน แต่ยังดีที่เรามีมือถือก็เลยคุยกับเพื่อนๆ พอแก้เหงาไปได้ค่า
ตอนเช็คอินจะได้ boarding pass มา 2 ใบนะคะ กระเป๋า check through ไปที่นาริตะเลยค่า
ขึ้นเครื่องไปก็แอบลุ้นค่ะ ว่าจะได้นั่งข้างใคร สรุปเป็นอาม่ากรุ๊ปทัวร์ชาวจีนค่า
โชคดีที่บนเครื่องมี PTV ด้วยค่า เลยได้ดู FROZEN แบบไม่มีซับ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
สรุปก็คือไม่ได้นอนค่า ปกติจะนอนไม่หลับอยู่แล้วเลยดูการ์ตูนเลยละกันนน
ไฟล์ทนี้เสริฟอาหารหลัง take off เลยนะคะ คือตอนนั้นเวลาประมาณตีสาม แต่เราก็สามารถทานได้ค่ะ 55 เราเลือกออมเลท อีกอย่างนึงจำไม่ได้แล้วค่าว่าเป็นอะไร รูปก็ไม่ได้ถ่ายมาาา
หลังจากดู Frozen เครื่องก็แลนด์พอดีค่า
น่าจะเป็นเพราะฝนตกเลยได้เดินผ่านงวงช้างเข้าเกทเลย ที่เคยนั่งมาต้องลงไปต่อ shuttle bus ไปเกท ขากลับก็ต้องต่อรถไปค่า
เดินตามป้ายไปเรื่อยๆจะเจอเค้าเตอร์สำหรับ transfer ค่า เจ้าหน้าที่จะปั้มอะไรสักอย่างบนboarding pass ของเรา จากนั้นก็เดินไปแสกนกระเป๋าอีกรอบนะคะ เราฝากของที่ซื้อจากดิวตี้ฟรีไว้ ไปรับวันกลับเลยไม่มีปัญหาค่า
บรรยากาศสนามบินผู่ตงนะคะ มีไวไฟฟรีให้ใช้ด้วยค่า ขอรหัสได้ที่counter information ใกล้ๆ gate 16 นะคะ ต้องใช้พาสปอร์ตด้วย เราเลยส่งข่าวให้ที่บ้านทราบว่าถึงผู่ตงแล้ววว แต่ตามคาดค่ะ ยังไม่มีใครตื่น 5555
ถ้าพูดถึงจีนสิ่งที่นึกถึงอันดับแรกสำหรับเราคือ "ห้องน้ำ" ค่ะ เวลาจะเปิดประตูห้องน้ำนี่ต้องเปิดแบบระวังๆทุกที กลัวไปเจอสิ่งไม่น่าดู 5555 โชคดียังไม่เจออะไรแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้สะอาด
นอกจากห้องน้ำแล้วต่อไปคงต้องพูดถึงวัฒนธรรมการไม่ต่อแถว ซึ่งก็เกิดขึ้นตอนต่อแถวเข้าเกทค่ะ
= = ขึ้นเครื่องไปแล้ว เราพยายามจะหลับค่าเนื่องจากเริ่มเพลียๆแล้ววว
ไฟล์ทนี้ได้นั่งข้างๆผู้ชายชาวจีนค่ะ ยังไม่หนุ่มแต่ก็ยังไม่แก่ ตอนเดินไปถึงที่นั่ง มีคนนั่งที่เราอยู่ก่อน
ตอนนั้นเลยหันไปหาแอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดค่า เป็นคนญี่ปุ่นเพราะเห็นเข็มบนเสื้อมีธงญี่ปุ่นอยู่
เราบอกไปว่า "Excuse me, my seat is taken." ประโยคนี้สมองประมวลผลในเวลา 2 วินาที
ไม่รู้ว่าสุภาพไหม เอาเป็นว่านางเข้าใจและเดินมาขอดูตั๋ว สรุปว่ามีคนนั่งผิดค่า
อาหารที่เสริฟบนเครื่องมีอย่างเดียวนะคะ เลือกไม่ได้ มีซาลาเปาใส่เป็นผัก ลูกๆนั้นเป็นเกี๊ยว
ถ้าถามถึงรสชาติ ต้องบอกเลยค่ะว่าเป็นมื้อที่ไม่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาบนเครื่องบิน T^T
แต่ก็พยายามกินค่ะ ตอนนั้นหิว 555 พยายามแล้วก็ไม่หมดนะคะ
พยายามจะนอนแต่ก็ไม่หลับค่า สักพักนึงก็ได้ยินเสียงประกาศว่าจะแลนด์ที่นาริตะแล้ววว
จากนี้ไปจะขอเล่าประสบการณ์การผ่านตม.ของญี่ปุ่นนะคะ
พาสสปอร์ตเราเคยไปญี่ปุ่นมาแล้วรอบนึงค่ะ เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว รอบนั้นไปกับคุณแม่
เคยไปเกาหลีมา 2 รอบ และจีนอีก 1 เมื่อปีที่แล้ว
เราผ่านตม.เกาหลีและญี่ปุ่นรอบที่แล้วได้โดยที่ตม.ไม่ถามอะไรเลยค่า
สำหรับการผ่านตม.ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะเป็นคนบอกให้เราไปตามเค้าทเตอร์ต่างๆที่เค้าเห็นว่าว่างนะคะ
แถวที่เราต่อ เราสังเกตว่าตม. ตรวจนานกว่าแถวอื่นค่ะ แถวอื่นขยับไปได้เร็วกว่า
เนื่องจากเรามาจากสายการบินจีน รอบๆจะเต็มไปด้วยคนจีนทั้งนั้นเลยยยย
ระหว่างที่ยืนรอ แถวข้างๆเป็นผู้ชายคนนึงก็ถูกเรียกเข้าห้องเย็นค่ะ
มาญี่ปุ่นรอบที่แล้วเราไม่เห็นใครโดนเลยนะคะ
พอถึงตาเรา เราก็ยื่นพาสสปอร์ตให้เค้าปกติค่ะ คุณตม.ยังหนุ่มๆอยู่นะคะ ใส่แว่นด้วย ^-^
ตม : How many people?
เรา : Only one.
ตม : Only one?
(ตอนนั้นก็แบบ ตกใจนิดนึง)
เรา : Yes, but I already booked the returning flight.
Do you want to see?
(เราออกตัวไปก่อนเลยว่าฉันจองไฟล์ทขากลับละนะ อยากดูไหมคะ ? ไม่รู้ใช้คำผิดรึเปล่าแต่เราตอบไปเร็วๆค่ะ เลยไม่ได้มีเวลามาคิดถึงภาษาเท่าไหร่
เหมือนคุณตม.จะเปิดมาเจอหน้าวีซ่าครั้งที่แล้วพอดีค่ะ)
ตม : Yepto
(เราเลยหยิบe-ticketที่เตรียมไว้ส่งให้ พร้อมชี้ให้ดูค่ะ)
เรา : I will be back on 25th this month.
จากนั้นคุณตม.ก็แปะวีช่าให้ค่าาา ที่หน้าเดียวหน้าเดิมกับของคราวที่แล้วเลยย
ก่อนจากมาเราได้พูดภาษาญี่ปุ่นคำแรกนั้นคือ arigatou gozaimasu ありがとうございます
: )
เราเชื่อว่าถ้าเราไปเที่ยวจริงๆ ตอบคำถามเค้าได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ
ไปถึงสายพานรับกระเป๋า มีเจ้าหน้าที่ยกมาวางไว้ให้แล้วค่ะ ดีจังเลย เพราะกระเป๋าเราใหญ่และหนักค่ะ
แค่ขาไปก็ 19 โลแล้ว เราเอาใบใหญ่ขนาด 29 นิ้วไปค่ะ เพราะกลัวใส่ของที่ช็อปไม่พอ 555
ตอนผ่านศุลกากรก็โดนตรวจค่ะ เจ้าหน้าที่ถามก่อนว่า นิฮงโกะ ไดโจวบุเดสก๊ะ ?
เราทำหน้าเอ๋ยใส่ค่ะ จริงๆเคยเรียนญี่ปุ่นมา2ปี เมื่อ 4 ปีแล้ววว คือเซนเซแทบหมดละคะ T^T
เค้าก็เลยเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษแทนนน ว่า Can you speak japaness ?
แต่เราพูดไม่ได้นะคะ เลย โน ไป เค้าก็ถามว่ามาเที่ยวหรอๆ บลาๆ ขอดูกระเป๋าได้ไหม?
เรากำลังจะลงไปยกกระเป๋าอันใหญ่และหนักขึ้นมา แค่กำลังจะก้มเท่านั้น เค้าถามว่า
Heavy? เราตอบว่า เยสสสส เท่านั้นละ เจ้าหน้าที่อีก 2 คนปรี่เข้ามาช่วยยกค่ะ
ก่อนจะยกก็พูดเหมือนขออนุญาติด้วยนะคะ จากนั้นก็เปิดดูค่า เราไม่ได้พกของต้องห้ามมาอยู่แล้ว
ในกระเป๋าเรามีกระเป๋าผ้าอีกใบค่ะ เตรียมมาใส่ของเผื่อขากลับใบเดียวจะเกิน 23 โล
(โหลดกระเป๋าได้ 2 ใบๆละไม่เกิน 23 โลค่ะ) เค้าก็ถามว่า Shopping ? เราก็เยสๆไป
เวลาตรวจเค้าก็เอามือล้วงไปใต้เสื้อผ้าอะไรแบบนี่ค่ะ แอบอายนิดนึง รกไปหน่อย ตอนจัดรีบๆค่ะ
หยิบไรได้ยัดๆไป 55555 พอปิดกระเป๋า เจ้าหน้าที่สองคนเดิมก็จะมายกลงให้ค่ะ
จากนั้นก็ได้ออกมาสู่โลกกว้างจริงๆซะที ก่อนอื่นเราต้องไปเอาซิม b-mobile ที่สั่งไว้ก่อนค่ะ
เราไปรับที่สนามบินนะคะ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ชั้น 3 ต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปค่ะ
จากนี้ไปต้องเข้าสู่โหมดชิดซ้ายค่ะ จากนั้นก็ลงมาซื้อ 3 day pass สำหรับรถไฟใต้ดินค่ะ
เราคำนวนไว้แล้วว่าจะมีวันที่เราจะเที่ยวในเส้นทางที่ต้องใช้subway 3 วันค่ะ
แต่สุดท้ายใช้ไปวันแรกก็ทำหายค่า ใครใช้pass แบบเราต้องระวังนะคะ เก็บดีๆ T^T
ตอนแรกแพลนจะนั่ง N'EX เที่ยวละ 1500 เยน ไปshinjukuค่ะ เพราะใกล้ๆที่พัก
แต่เนื่องจากเราไม่ทันรอบในตอนนั้น แล้วต้องรอ บวกกับความอยากสบาย
ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้สบายกว่าเท่าไหรค่ะ 5555 ก็เลยเลือกนั่ง airport limusine bus ไปลงชินจูกุแทน

มีคนยกกระเป๋าเข้ารถให้สบายๆ เจ้าหน้าที่จะติด tag ที่กระเป๋าเราตามที่ๆเราจะลงนะคะแล้วเราจะได้
กระดาษใบเล็กๆมาเก็บไว้รับกระเป๋าตอนลงค่ะ ด้านบนเป็นรูปตั๋วรถบัสค่ะ
บรรยากาศในสบามบินค่า
ระหว่างทางเราก็แกะซิมใส่มือถือค่ะ เผื่อที่จะบอกที่บ้านว่ามาถึงอย่างปลอดภัยแล้ว
แต่ !!! เราหาใบที่บอกวิธีตั้งค่าไม่เจอค่ะ เราจำได้ว่ารอบที่แล้วที่มาในซองจะบอกวิธีตั้งค่าให้หมด
ไม่แน่ใจว่าเราทำใบนั้นหล่นหายตอนแกะซองหรือเปล่า สรุปคือยังใช้ไม่ได้ค่ะ
เลยต้องรอไปถึงโรงแรมแล้วใช้ไฟไวที่โรงแรมเข้าเว็บของ b mobile เพื่อเปิดดูอีกที
ระหว่างนั้นก็ชมวิวและพักสายตา ประมาณ 4 โมงก็มาถึง shinjuku ค่า
เป้าหมายแรกของเราคือจะไปจองตั๋วรถบัส Keio ไป kawakuchigo ในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งพอไปถึงก็ต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยค่ะ ไปถึงเราถามเจ้าหน้าที่ก่อนเลย
เค้าพาไปหาลิฟต์ค่ะ เพราะเราคงไม่สามารถแบกกระเป๋าขึ้นบันไดได้
แต่แล้วก็ต้องผิดหวังค่ะ เพราะมีการซ้อมทาง ทำให้รถรอบแรกออกในเวลา 11 โมง
และจะใช้เวลาจาก 2 ชม. เป็น 4 ชม. เราก็เลยถอดใจค่ะ ไม่ไปก็ได้ ง่ายไปไหมคะT^T
จริงๆเราเคยไปดูฟูจิที่ฮาโกเนะมาแล้วรอบนึง เราก็ไม่ค่อยซีเรียสกับการดูฟูจิเท่าไหร
เราปรับแผนไปได้เรื่อยๆไม่ซีเรียสค่ะ แต่ก็แอบเสียดายยยย
เนื่องจากลากกระเป๋าใหญ่มากเลยไม่ได้ถ่ายรูปเลยนะคะ ต่อพาตัวเองและกระเป๋าไปถึงโรงแรมให้เร็วที่สุด 55
[CR] Alone Around Tokyo Trip ประสบการณ์เที่ยวรอบๆโตเกียวคนเดียวค่ะ [1]
ข้อมูลในทริปเราอาจจะไม่ได้แน่นเป๊ะๆ เราจะเน้นเล่าประสบการณ์ โดยเฉพาะการไปลุยเดี่ยวในครั้งนี้ค่ะ
ในชีวิตนี้ยังไม่เคยคิดเลยค่ะ ว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว อะไรดลใจก็ไม่รู้
เราแค่รู้สึกว่าอยากไป อยากไปใช้ชีวิตปิดเทอมครั้งสุดท้ายในชีวิตเด็กมหาลัยที่ญี่ปุ่นสักอาทิตย์นึง
เพราะหลังจากนี้ เราจะเริ่มทำงานแล้ว ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่า ทำงานแล้วจะมีเวลาไปไหม จะลาได้ไหม
ชีวิตไม่แน่นอนงั้นของไปอีกสักรอบก่อนทำงานละกัน ไปแบบ สอบเสร็จปุ๊ปไปปั๊ปเลยค่า
ตั้งแต่วันที่ 18 - 25 พ.ค. 2557 ที่สำคัญคือไปคนเดียว ชวนคนนู้นคนนี่แล้วไม่มีใครไปด้วยเลย
5555 ไปคนเดียวก็ได้ เพราะถ้ารอคนไปด้วย สุดท้ายคิดว่าคงไม่ได้ไปค่าาา ^-^
ทริปนี้เป็นทริปที่ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะไปอย่างประหยัดค่ะ เลยยอมนั่งสายการบินจีน China Eastern Airline ไปต่อเครื่องที่เซี่ยงไฮ้
แต่แพลนก็ล่มเพราะ ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะพักที่ไหนดี
เสิรจดูโรงแรมแทบทุกวัน 555 ตอนแรกจะนอน hostel แบบห้องเดี่ยวแต่ห้องน้ำรวมแล้วนะ แต่ก็แอบกลัวนิดนึง สุดท้ายก็ไปเจอ DEAL ของ Hotel Sunroute Higashi-Shinjuku ลด 25% ใน agoda
เราแพ้คำว่า discount อีกแล้วววววว เลยกดจองไป ดันเผลอกดแบบตัดเงินเลยทันทีอีกด้วย คราวนี้เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วละคะ กลายเป็นว่าค่าโรงแรมพอๆกะค่าตั๋วเครื่องบินเลย = =
ออกเดินทางกันเลยดีกว่าาา .....
ไฟล์ทขาไปผู่ตงคือ MU548 01.55 ของวันที่ 18 (คืนวันที่ 17)
ก่อนไปเราสวดมนตร์ภาวนาไม่ให้ไฟล์ทดีเลย์ เพราะเคยมีประสบการณ์เคยไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้
ด้วยไฟล์ทเดียวกันนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้วค่า ครั้งนั้นดีเลย์ถึง 4 ชม. 0___0
โชคดีที่ไม่ดีเลย์ค่า ^/^
counter check in เปิดประมาณ 5 ทุ่มนะคะ วันนี้ป๊าม๊าและน้องมาส่งกันครบ อย่างกับจะไปเรียนต่อ 555 ตอนเช็คอินพนักงานถามด้วยนะคะว่าไปกี่วัน น่าจะเป็นเพราะเราไปคนเดียวละมั้ง เหมือนเค้าจะต้องสกรีนคนออกนอกประเทศก่อนหรือเปล่า
ช็อปดิวตี้ฟรีเบาๆแล้วก็มานั่งรอที่เกทค่า ตอนนนี้เริ่มรู้สึกเหงานิดนึงแล้ว ฮ่าๆ ไม่มีคนคุยด้วย
จะเป็นแบบนี้ไปอีก 8 วัน แต่ยังดีที่เรามีมือถือก็เลยคุยกับเพื่อนๆ พอแก้เหงาไปได้ค่า
ตอนเช็คอินจะได้ boarding pass มา 2 ใบนะคะ กระเป๋า check through ไปที่นาริตะเลยค่า
ขึ้นเครื่องไปก็แอบลุ้นค่ะ ว่าจะได้นั่งข้างใคร สรุปเป็นอาม่ากรุ๊ปทัวร์ชาวจีนค่า
โชคดีที่บนเครื่องมี PTV ด้วยค่า เลยได้ดู FROZEN แบบไม่มีซับ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
สรุปก็คือไม่ได้นอนค่า ปกติจะนอนไม่หลับอยู่แล้วเลยดูการ์ตูนเลยละกันนน
ไฟล์ทนี้เสริฟอาหารหลัง take off เลยนะคะ คือตอนนั้นเวลาประมาณตีสาม แต่เราก็สามารถทานได้ค่ะ 55 เราเลือกออมเลท อีกอย่างนึงจำไม่ได้แล้วค่าว่าเป็นอะไร รูปก็ไม่ได้ถ่ายมาาา
หลังจากดู Frozen เครื่องก็แลนด์พอดีค่า
น่าจะเป็นเพราะฝนตกเลยได้เดินผ่านงวงช้างเข้าเกทเลย ที่เคยนั่งมาต้องลงไปต่อ shuttle bus ไปเกท ขากลับก็ต้องต่อรถไปค่า
เดินตามป้ายไปเรื่อยๆจะเจอเค้าเตอร์สำหรับ transfer ค่า เจ้าหน้าที่จะปั้มอะไรสักอย่างบนboarding pass ของเรา จากนั้นก็เดินไปแสกนกระเป๋าอีกรอบนะคะ เราฝากของที่ซื้อจากดิวตี้ฟรีไว้ ไปรับวันกลับเลยไม่มีปัญหาค่า
บรรยากาศสนามบินผู่ตงนะคะ มีไวไฟฟรีให้ใช้ด้วยค่า ขอรหัสได้ที่counter information ใกล้ๆ gate 16 นะคะ ต้องใช้พาสปอร์ตด้วย เราเลยส่งข่าวให้ที่บ้านทราบว่าถึงผู่ตงแล้ววว แต่ตามคาดค่ะ ยังไม่มีใครตื่น 5555
ถ้าพูดถึงจีนสิ่งที่นึกถึงอันดับแรกสำหรับเราคือ "ห้องน้ำ" ค่ะ เวลาจะเปิดประตูห้องน้ำนี่ต้องเปิดแบบระวังๆทุกที กลัวไปเจอสิ่งไม่น่าดู 5555 โชคดียังไม่เจออะไรแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้สะอาด
นอกจากห้องน้ำแล้วต่อไปคงต้องพูดถึงวัฒนธรรมการไม่ต่อแถว ซึ่งก็เกิดขึ้นตอนต่อแถวเข้าเกทค่ะ
= = ขึ้นเครื่องไปแล้ว เราพยายามจะหลับค่าเนื่องจากเริ่มเพลียๆแล้ววว
ไฟล์ทนี้ได้นั่งข้างๆผู้ชายชาวจีนค่ะ ยังไม่หนุ่มแต่ก็ยังไม่แก่ ตอนเดินไปถึงที่นั่ง มีคนนั่งที่เราอยู่ก่อน
ตอนนั้นเลยหันไปหาแอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดค่า เป็นคนญี่ปุ่นเพราะเห็นเข็มบนเสื้อมีธงญี่ปุ่นอยู่
เราบอกไปว่า "Excuse me, my seat is taken." ประโยคนี้สมองประมวลผลในเวลา 2 วินาที
ไม่รู้ว่าสุภาพไหม เอาเป็นว่านางเข้าใจและเดินมาขอดูตั๋ว สรุปว่ามีคนนั่งผิดค่า
อาหารที่เสริฟบนเครื่องมีอย่างเดียวนะคะ เลือกไม่ได้ มีซาลาเปาใส่เป็นผัก ลูกๆนั้นเป็นเกี๊ยว
ถ้าถามถึงรสชาติ ต้องบอกเลยค่ะว่าเป็นมื้อที่ไม่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาบนเครื่องบิน T^T
แต่ก็พยายามกินค่ะ ตอนนั้นหิว 555 พยายามแล้วก็ไม่หมดนะคะ
พยายามจะนอนแต่ก็ไม่หลับค่า สักพักนึงก็ได้ยินเสียงประกาศว่าจะแลนด์ที่นาริตะแล้ววว
จากนี้ไปจะขอเล่าประสบการณ์การผ่านตม.ของญี่ปุ่นนะคะ
พาสสปอร์ตเราเคยไปญี่ปุ่นมาแล้วรอบนึงค่ะ เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว รอบนั้นไปกับคุณแม่
เคยไปเกาหลีมา 2 รอบ และจีนอีก 1 เมื่อปีที่แล้ว
เราผ่านตม.เกาหลีและญี่ปุ่นรอบที่แล้วได้โดยที่ตม.ไม่ถามอะไรเลยค่า
สำหรับการผ่านตม.ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะเป็นคนบอกให้เราไปตามเค้าทเตอร์ต่างๆที่เค้าเห็นว่าว่างนะคะ
แถวที่เราต่อ เราสังเกตว่าตม. ตรวจนานกว่าแถวอื่นค่ะ แถวอื่นขยับไปได้เร็วกว่า
เนื่องจากเรามาจากสายการบินจีน รอบๆจะเต็มไปด้วยคนจีนทั้งนั้นเลยยยย
ระหว่างที่ยืนรอ แถวข้างๆเป็นผู้ชายคนนึงก็ถูกเรียกเข้าห้องเย็นค่ะ
มาญี่ปุ่นรอบที่แล้วเราไม่เห็นใครโดนเลยนะคะ
พอถึงตาเรา เราก็ยื่นพาสสปอร์ตให้เค้าปกติค่ะ คุณตม.ยังหนุ่มๆอยู่นะคะ ใส่แว่นด้วย ^-^
ตม : How many people?
เรา : Only one.
ตม : Only one?
(ตอนนั้นก็แบบ ตกใจนิดนึง)
เรา : Yes, but I already booked the returning flight.
Do you want to see?
(เราออกตัวไปก่อนเลยว่าฉันจองไฟล์ทขากลับละนะ อยากดูไหมคะ ? ไม่รู้ใช้คำผิดรึเปล่าแต่เราตอบไปเร็วๆค่ะ เลยไม่ได้มีเวลามาคิดถึงภาษาเท่าไหร่
เหมือนคุณตม.จะเปิดมาเจอหน้าวีซ่าครั้งที่แล้วพอดีค่ะ)
ตม : Yepto
(เราเลยหยิบe-ticketที่เตรียมไว้ส่งให้ พร้อมชี้ให้ดูค่ะ)
เรา : I will be back on 25th this month.
จากนั้นคุณตม.ก็แปะวีช่าให้ค่าาา ที่หน้าเดียวหน้าเดิมกับของคราวที่แล้วเลยย
ก่อนจากมาเราได้พูดภาษาญี่ปุ่นคำแรกนั้นคือ arigatou gozaimasu ありがとうございます
: )
เราเชื่อว่าถ้าเราไปเที่ยวจริงๆ ตอบคำถามเค้าได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ
ไปถึงสายพานรับกระเป๋า มีเจ้าหน้าที่ยกมาวางไว้ให้แล้วค่ะ ดีจังเลย เพราะกระเป๋าเราใหญ่และหนักค่ะ
แค่ขาไปก็ 19 โลแล้ว เราเอาใบใหญ่ขนาด 29 นิ้วไปค่ะ เพราะกลัวใส่ของที่ช็อปไม่พอ 555
ตอนผ่านศุลกากรก็โดนตรวจค่ะ เจ้าหน้าที่ถามก่อนว่า นิฮงโกะ ไดโจวบุเดสก๊ะ ?
เราทำหน้าเอ๋ยใส่ค่ะ จริงๆเคยเรียนญี่ปุ่นมา2ปี เมื่อ 4 ปีแล้ววว คือเซนเซแทบหมดละคะ T^T
เค้าก็เลยเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษแทนนน ว่า Can you speak japaness ?
แต่เราพูดไม่ได้นะคะ เลย โน ไป เค้าก็ถามว่ามาเที่ยวหรอๆ บลาๆ ขอดูกระเป๋าได้ไหม?
เรากำลังจะลงไปยกกระเป๋าอันใหญ่และหนักขึ้นมา แค่กำลังจะก้มเท่านั้น เค้าถามว่า
Heavy? เราตอบว่า เยสสสส เท่านั้นละ เจ้าหน้าที่อีก 2 คนปรี่เข้ามาช่วยยกค่ะ
ก่อนจะยกก็พูดเหมือนขออนุญาติด้วยนะคะ จากนั้นก็เปิดดูค่า เราไม่ได้พกของต้องห้ามมาอยู่แล้ว
ในกระเป๋าเรามีกระเป๋าผ้าอีกใบค่ะ เตรียมมาใส่ของเผื่อขากลับใบเดียวจะเกิน 23 โล
(โหลดกระเป๋าได้ 2 ใบๆละไม่เกิน 23 โลค่ะ) เค้าก็ถามว่า Shopping ? เราก็เยสๆไป
เวลาตรวจเค้าก็เอามือล้วงไปใต้เสื้อผ้าอะไรแบบนี่ค่ะ แอบอายนิดนึง รกไปหน่อย ตอนจัดรีบๆค่ะ
หยิบไรได้ยัดๆไป 55555 พอปิดกระเป๋า เจ้าหน้าที่สองคนเดิมก็จะมายกลงให้ค่ะ
จากนั้นก็ได้ออกมาสู่โลกกว้างจริงๆซะที ก่อนอื่นเราต้องไปเอาซิม b-mobile ที่สั่งไว้ก่อนค่ะ
เราไปรับที่สนามบินนะคะ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ชั้น 3 ต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปค่ะ
จากนี้ไปต้องเข้าสู่โหมดชิดซ้ายค่ะ จากนั้นก็ลงมาซื้อ 3 day pass สำหรับรถไฟใต้ดินค่ะ
เราคำนวนไว้แล้วว่าจะมีวันที่เราจะเที่ยวในเส้นทางที่ต้องใช้subway 3 วันค่ะ
แต่สุดท้ายใช้ไปวันแรกก็ทำหายค่า ใครใช้pass แบบเราต้องระวังนะคะ เก็บดีๆ T^T
ตอนแรกแพลนจะนั่ง N'EX เที่ยวละ 1500 เยน ไปshinjukuค่ะ เพราะใกล้ๆที่พัก
แต่เนื่องจากเราไม่ทันรอบในตอนนั้น แล้วต้องรอ บวกกับความอยากสบาย
ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้สบายกว่าเท่าไหรค่ะ 5555 ก็เลยเลือกนั่ง airport limusine bus ไปลงชินจูกุแทน
มีคนยกกระเป๋าเข้ารถให้สบายๆ เจ้าหน้าที่จะติด tag ที่กระเป๋าเราตามที่ๆเราจะลงนะคะแล้วเราจะได้
กระดาษใบเล็กๆมาเก็บไว้รับกระเป๋าตอนลงค่ะ ด้านบนเป็นรูปตั๋วรถบัสค่ะ
บรรยากาศในสบามบินค่า
ระหว่างทางเราก็แกะซิมใส่มือถือค่ะ เผื่อที่จะบอกที่บ้านว่ามาถึงอย่างปลอดภัยแล้ว
แต่ !!! เราหาใบที่บอกวิธีตั้งค่าไม่เจอค่ะ เราจำได้ว่ารอบที่แล้วที่มาในซองจะบอกวิธีตั้งค่าให้หมด
ไม่แน่ใจว่าเราทำใบนั้นหล่นหายตอนแกะซองหรือเปล่า สรุปคือยังใช้ไม่ได้ค่ะ
เลยต้องรอไปถึงโรงแรมแล้วใช้ไฟไวที่โรงแรมเข้าเว็บของ b mobile เพื่อเปิดดูอีกที
ระหว่างนั้นก็ชมวิวและพักสายตา ประมาณ 4 โมงก็มาถึง shinjuku ค่า
เป้าหมายแรกของเราคือจะไปจองตั๋วรถบัส Keio ไป kawakuchigo ในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งพอไปถึงก็ต้องแบกกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยค่ะ ไปถึงเราถามเจ้าหน้าที่ก่อนเลย
เค้าพาไปหาลิฟต์ค่ะ เพราะเราคงไม่สามารถแบกกระเป๋าขึ้นบันไดได้
แต่แล้วก็ต้องผิดหวังค่ะ เพราะมีการซ้อมทาง ทำให้รถรอบแรกออกในเวลา 11 โมง
และจะใช้เวลาจาก 2 ชม. เป็น 4 ชม. เราก็เลยถอดใจค่ะ ไม่ไปก็ได้ ง่ายไปไหมคะT^T
จริงๆเราเคยไปดูฟูจิที่ฮาโกเนะมาแล้วรอบนึง เราก็ไม่ค่อยซีเรียสกับการดูฟูจิเท่าไหร
เราปรับแผนไปได้เรื่อยๆไม่ซีเรียสค่ะ แต่ก็แอบเสียดายยยย
เนื่องจากลากกระเป๋าใหญ่มากเลยไม่ได้ถ่ายรูปเลยนะคะ ต่อพาตัวเองและกระเป๋าไปถึงโรงแรมให้เร็วที่สุด 55