เมื่อสองวันก่อน ผมได้รับเชิญจาก Supplier ให้เข้าร่วมในงานเปิดตัวสินค้าตัวหนึ่ง
ซึ่งในงานพบปะเหล่านี้จะเป็นโอกาสที่ทำให้ได้เจอเพื่อนร่วมอาชีพ ที่นานๆอาจจะเจอกันซักที
สิ่งที่คุยกันก็จะเป็นเรื่องสัพเพเหระ และ เรื่องการทำการค้าในวงการ แต่เรื่องหนึ่งที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากคือ
เริ่มมีการ รีไทร์ฯ ของเจ้าของกิจการ รุ่นพ่อ รุ่นอาผม ในอัตราส่วนที่มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
อันนี้ผมพูดถึง เจ้าของกิจการที่ประสพความสำเร็จ นะครับ ไม่นับถึงคนที่ขาดทุน หรือ เจ๊ง แล้วเลิก
แต่ก่อน การเป็นเจ้าของกิจการมักจะเป็นอะไรที่สืบทอดจากรุ่นพ่อ มายังรุ่นลูก ต่อๆไป
การที่จะได้เห็นคนที่ทำกิจการดีๆ แล้วเลิกทำ เพราะไม่มีผู้สืบทอดต่อ เป็นอะไรที่เห็นได้ยากมากๆ .........
แต่อย่างน้อยๆในงานเมื่อคืน ผมได้ทราบจากเจ้าของกิจการเองว่ากำลังจะเลิก และ มีบางท่านที่ไม่ได้มา เพราะ รีไทร์ไปแล้ว
ไม่ต่ำกว่า 4-5 ราย !!! วงการผมเล็กนะครับ ที่เจอกันบ่อยๆก็น่าจะมีซัก 100 ราย
เหตุผลส่วนใหญ่เลยก็จะเป็นที่ ลูกๆ ไปทำอาชีพอื่นและไม่สนใจทำในไลน์ที่ทำอยู่ มีบางท่านที่ไม่มีทายาทสืบต่อ อันนี้ก็เข้าใจได้
อย่างน้อยๆที่ได้พบและพูดคุย ผมรู้ว่าบางท่านก็เลิกไปเลย บางท่านก็ขายกิจการต่อ แล้วแต่แนวทางของแต่ละคน
ผมได้ลองนั่งนึกดูแล้วก็ตั้งคำถามกับตนเองเหมือนกัน เพราะหากลูกๆผมไม่สนใจที่จะทำกิจการต่อ
ผมและภรรยา ก็ไม่ได้แปลนที่จะทำธุรกิจไปจนแก่แล้วทำไม่ไหวเป็นแน่
ตอนนี้ผมต้องเริ่มวิเคราะห์ว่าทำไมถึงมีคนออกจากวงการในอัตราที่เยอะขึ้น
1) ธุรกิจนี้เริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้น กำไรน้อยลงอย่างมาก (อันนี้เป็นธรรมดาของธุรกิจค้าปลีกและส่ง)
2) มีการเข้ามาของ รายใหญ่ๆ ทำให้ลูกค้าหันไปใช้บริการ ห้างใหญ่ๆมากขึ้น (อันนี้เริ่มมีผลมากขึ้น)
3) เด็กรุ่นหลังๆ มี Life Style ที่ต่างกัน อาจจะไม่ชอบที่จะทำงานเฝ้าธุรกิจตลอดเวลา จึงไม่สนใจที่จะมาสืบทอดกิจการ
4) ผลตอบแทนจากการทำกิจการอื่น หรือ การลงทุนอื่น ดีกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
คำถามสำหรับผมเองว่าจะเลิกเมื่อไหร่ ?
ตอนแรกๆเลยผมเคยคิดว่าหากเป็นอิสระทางการเงินเมื่อไหร่ ผมและภรรยา จะเลิกทำงานแล้วมาเลี้ยงลูก ส่งลูกไปโรงเรียนอย่างเดียว
**อิสระทางการเงิน**
สำหรับผมนะครับ คือ รายได้ passive income ที่เพียงพอให้ใช้ได้ใน lifestyle ที่เราเป็นอยู่ โดยมีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือน
เช่น มีรายได้จากดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือ การลงทุน xxx,000 บาท/เดือน จะเพียงพอต่อการใช้จ่ายรายเดือนของเรา ก็เรียกว่ามี อิสระภาพทางการเงินได้
อันนี้นับว่าผมโชคดีที่ผ่านจุดๆนั้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
แต่...... ผมและภรรยายังคงทำงานต่ออยู่ เพราะเลิกไปก็คงเหงา และ เป็นธรรมดาของมนุษย์มั๊งครับ ได้หนึ่ง ก็จะเอาสอง .....
อีกอย่าง ลูกๆ ต้องการแบบอย่างที่เขาจะดำรงชีวิตต่อไป
หากเขาเห็นเราไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเขาจะหาแรงบันดาลใจจากไหนในการตั้งใจเรียน และ ตามความฝันของพวกเขา
สรุป ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายในการเลิกใหม่ คือ
1) เมื่อผลตอบแทนเริ่มไม่คุ้มกับการลงทุนลงแรงของเรา ...... อันนี้ถ้าถึงจุดๆนั้นไม่ต้องรอให้ถึงจุดที่ขาดทุนหรอกนะครับ ผมคงเลิกแน่นอนครับ
เพราะทำไปเหนื่อย อยู่เฉยๆดีกว่า
2) หากลูกๆไม่สนใจทำต่อ ....... ถ้าลูกๆผมเรียนจบแล้วมีอาชีพอื่นๆทำที่มั่นคง ผมกับภรรยา แปลนไว้ว่าจะเลิกเหมือนกันครับ คงตามรอย รุ่นพ่อรุ่นอา
อาจจะต้องหาอาชีพอื่นทำที่ง่ายกว่านี้
ตอนนี้ ลูกๆผมเริ่มอยู่ ม.ปลาย และ ม.ต้น แล้ว (ถ้าคร่าวๆก็เหลืออีก 6-7 ปี ถึงตอนนั้ก็เกือบ 50 แล้วครับ T T)
ผมจึงเริ่มคิดถึงเรื่อง exit plan มากขึ้น อาจจะถึงวัยแล้วด้วยมั๊งครับ
ที่เล่าๆมาก็เพื่ออยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนๆที่ทำธุรกิจอยู่ หรือ อาจจะทำงานประจำ และหรือ ทำธุรกิจคู่ไปด้วย
ว่ามีแนวคิดในการ รีไทร์ กันอย่างไรบ้างนะครับ รบกวน เพื่อนๆ พี่ๆ มาแชร์ความเห็นกันหน่อยนะครับ ผมอยากได้หลายๆมุมมอง
ขอบคุณครับ
Exit Plan กับแนวคิดของการทำธุรกิจส่วนตัวที่เริ่มเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
ซึ่งในงานพบปะเหล่านี้จะเป็นโอกาสที่ทำให้ได้เจอเพื่อนร่วมอาชีพ ที่นานๆอาจจะเจอกันซักที
สิ่งที่คุยกันก็จะเป็นเรื่องสัพเพเหระ และ เรื่องการทำการค้าในวงการ แต่เรื่องหนึ่งที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากคือ
เริ่มมีการ รีไทร์ฯ ของเจ้าของกิจการ รุ่นพ่อ รุ่นอาผม ในอัตราส่วนที่มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
อันนี้ผมพูดถึง เจ้าของกิจการที่ประสพความสำเร็จ นะครับ ไม่นับถึงคนที่ขาดทุน หรือ เจ๊ง แล้วเลิก
แต่ก่อน การเป็นเจ้าของกิจการมักจะเป็นอะไรที่สืบทอดจากรุ่นพ่อ มายังรุ่นลูก ต่อๆไป
การที่จะได้เห็นคนที่ทำกิจการดีๆ แล้วเลิกทำ เพราะไม่มีผู้สืบทอดต่อ เป็นอะไรที่เห็นได้ยากมากๆ .........
แต่อย่างน้อยๆในงานเมื่อคืน ผมได้ทราบจากเจ้าของกิจการเองว่ากำลังจะเลิก และ มีบางท่านที่ไม่ได้มา เพราะ รีไทร์ไปแล้ว
ไม่ต่ำกว่า 4-5 ราย !!! วงการผมเล็กนะครับ ที่เจอกันบ่อยๆก็น่าจะมีซัก 100 ราย
เหตุผลส่วนใหญ่เลยก็จะเป็นที่ ลูกๆ ไปทำอาชีพอื่นและไม่สนใจทำในไลน์ที่ทำอยู่ มีบางท่านที่ไม่มีทายาทสืบต่อ อันนี้ก็เข้าใจได้
อย่างน้อยๆที่ได้พบและพูดคุย ผมรู้ว่าบางท่านก็เลิกไปเลย บางท่านก็ขายกิจการต่อ แล้วแต่แนวทางของแต่ละคน
ผมได้ลองนั่งนึกดูแล้วก็ตั้งคำถามกับตนเองเหมือนกัน เพราะหากลูกๆผมไม่สนใจที่จะทำกิจการต่อ
ผมและภรรยา ก็ไม่ได้แปลนที่จะทำธุรกิจไปจนแก่แล้วทำไม่ไหวเป็นแน่
ตอนนี้ผมต้องเริ่มวิเคราะห์ว่าทำไมถึงมีคนออกจากวงการในอัตราที่เยอะขึ้น
1) ธุรกิจนี้เริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้น กำไรน้อยลงอย่างมาก (อันนี้เป็นธรรมดาของธุรกิจค้าปลีกและส่ง)
2) มีการเข้ามาของ รายใหญ่ๆ ทำให้ลูกค้าหันไปใช้บริการ ห้างใหญ่ๆมากขึ้น (อันนี้เริ่มมีผลมากขึ้น)
3) เด็กรุ่นหลังๆ มี Life Style ที่ต่างกัน อาจจะไม่ชอบที่จะทำงานเฝ้าธุรกิจตลอดเวลา จึงไม่สนใจที่จะมาสืบทอดกิจการ
4) ผลตอบแทนจากการทำกิจการอื่น หรือ การลงทุนอื่น ดีกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
คำถามสำหรับผมเองว่าจะเลิกเมื่อไหร่ ?
ตอนแรกๆเลยผมเคยคิดว่าหากเป็นอิสระทางการเงินเมื่อไหร่ ผมและภรรยา จะเลิกทำงานแล้วมาเลี้ยงลูก ส่งลูกไปโรงเรียนอย่างเดียว
**อิสระทางการเงิน**
สำหรับผมนะครับ คือ รายได้ passive income ที่เพียงพอให้ใช้ได้ใน lifestyle ที่เราเป็นอยู่ โดยมีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือน
เช่น มีรายได้จากดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือ การลงทุน xxx,000 บาท/เดือน จะเพียงพอต่อการใช้จ่ายรายเดือนของเรา ก็เรียกว่ามี อิสระภาพทางการเงินได้
อันนี้นับว่าผมโชคดีที่ผ่านจุดๆนั้นมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
แต่...... ผมและภรรยายังคงทำงานต่ออยู่ เพราะเลิกไปก็คงเหงา และ เป็นธรรมดาของมนุษย์มั๊งครับ ได้หนึ่ง ก็จะเอาสอง .....
อีกอย่าง ลูกๆ ต้องการแบบอย่างที่เขาจะดำรงชีวิตต่อไป
หากเขาเห็นเราไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเขาจะหาแรงบันดาลใจจากไหนในการตั้งใจเรียน และ ตามความฝันของพวกเขา
สรุป ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายในการเลิกใหม่ คือ
1) เมื่อผลตอบแทนเริ่มไม่คุ้มกับการลงทุนลงแรงของเรา ...... อันนี้ถ้าถึงจุดๆนั้นไม่ต้องรอให้ถึงจุดที่ขาดทุนหรอกนะครับ ผมคงเลิกแน่นอนครับ
เพราะทำไปเหนื่อย อยู่เฉยๆดีกว่า
2) หากลูกๆไม่สนใจทำต่อ ....... ถ้าลูกๆผมเรียนจบแล้วมีอาชีพอื่นๆทำที่มั่นคง ผมกับภรรยา แปลนไว้ว่าจะเลิกเหมือนกันครับ คงตามรอย รุ่นพ่อรุ่นอา
อาจจะต้องหาอาชีพอื่นทำที่ง่ายกว่านี้
ตอนนี้ ลูกๆผมเริ่มอยู่ ม.ปลาย และ ม.ต้น แล้ว (ถ้าคร่าวๆก็เหลืออีก 6-7 ปี ถึงตอนนั้ก็เกือบ 50 แล้วครับ T T)
ผมจึงเริ่มคิดถึงเรื่อง exit plan มากขึ้น อาจจะถึงวัยแล้วด้วยมั๊งครับ
ที่เล่าๆมาก็เพื่ออยากจะแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนๆที่ทำธุรกิจอยู่ หรือ อาจจะทำงานประจำ และหรือ ทำธุรกิจคู่ไปด้วย
ว่ามีแนวคิดในการ รีไทร์ กันอย่างไรบ้างนะครับ รบกวน เพื่อนๆ พี่ๆ มาแชร์ความเห็นกันหน่อยนะครับ ผมอยากได้หลายๆมุมมอง
ขอบคุณครับ