ศาลทหารฯ ไม่ให้ประกันตัว ‘จาตุรนต์’ ฝากขังผลัด 2 อีก 12 วัน
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 มิ.ย. ที่ศาลทหาร กรุงเทพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้นำตัวนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ และสมาชิกพรรคเพื่อไทยเดินทางออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อฝากขังเป็นผลัดที่ 2 ภายหลังจากครบกำหนดที่ศาลทหารกรุงเทพฯได้อนุมัติฝากครั้งผลัดที่1 ไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยนายจาตุรนต์ใส่ชุดนักโทษ พร้อมกุญแจมือนั่งรถควบคุมผู้ต้องขัง ยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฌฟ 2841 กทม. ได้เดินทางมาศาลทหารกรุงเทพฯ
เมื่อมาถึงศาลทหารกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ฯ ได้นำรถลงชั้นใต้ดินทันที ทั้งนี้นายจาตุรนต์มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้แสดงท่าทีกังวล ท่ามกลางระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และมีสื่อมวลชนจำนวนมากปักหลักทำข่าว
ทั้งนี้นางฐิติมา ฉายแสง อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของนายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้เดินทางมาเยี่ยมนายจาตุรนต์และจะขอยื่นประกันตัว เพราะนายจาตุรนต์ไม่ได้มีความผิดอะไร ตนจะมาดูว่าทางศาลฯ ท่านจะว่าอย่างไร อย่างไรก็ตามทางนายจาตุรนต์ก็มีกองทัพทนายที่จะมาช่วยปรึกษาหารือ และก็จะทำเรื่องขอประกันตัวออกมา ในขณะเดียวกันวันนี้ตนยังไม่ได้เห็นหน้าพี่ชาย แต่รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายมีจิตใจเข้มแข็งมาก และทุกคนที่มาในวันนี้ก็มาให้กำลังใจ
หลายคนเรียกนายจาตุรนต์ว่า “เนลสัน เมืองไทย” ซึ่งสิ่งเหล่านี้นายจาตุรนต์รับทราบ ได้เห็นเอกสารที่พี่น้องประชาชนส่งมาให้ และรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง ซึ่งในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ไม่ได้สิทธิเสรีภาพเหมือนอย่างที่เราเป็นอยู่ และเหมือนกับที่หลายๆ คนเข้าไปรายงานตัวและถูกกักบริเวณ ตนเองก็ถูกกักบริเวณ 7 วัน เพราะฉะนั้นในวันนี้ ต้องมาให้กำลังใจกับผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าสิ่งที่นายจาตุรนต์ทำอยู่ในทุกวันนี้ถูกต้องหรือไม่นางฐิติมากล่าวว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเราไม่ต้องการให้คนเราได้รับความไม่เท่าเทียมกัน เราต้องการให้ประเทศชาติเจริญและเป็นไปในทิศทางสากล แนวทางที่ไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ใช้การสื่อสารพูดคุยกับพี่น้องประชาชนให้เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องที่โลกเขาทำกัน เราคิดว่าเราเดินมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว และคิดว่าศาลทหารคงเข้าใจ ในการปล่อยตัวหรือให้ประกันตัวก็ดี
เมื่อถามว่า มีการดำเนินการขั้นตอนหรือแนวทางขอประกันตัวอย่างไร นางฐิติมา กล่าว ตนยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ทีมทนายและผู้ใหญ่หลายคนให้ความกรุณามาประชุมกันเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา และในวันนี้จะมาฟังว่าศาลฯจะพิจารณาอย่างไร
“ที่ผ่านมายังไม่ได้พูดคุยกับนายจาตุรนต์มากมายในเรือนจำฯเพราะมีคนไปเยี่ยมจำนวนมากได้แค่ถามสารทุกข์สุขดิบเท่านั้นนายจาตุรนต์มีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีพี่ชายมีจิตใจเข้มแข็ง เป็นผู้นำมาตั้งแต่เด็ก ส่วนบิดาก็มีความรู้สึกเครียดเป็นปกติ เพราะอายุมาก ทั้งนี้ท่านก็รู้ว่าลูกชายเป็นผู้นำ แต่ความเป็นพ่อก็ต้องเป็นห่วงลูกธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ในเรือนจำหรือค่ายทหารก็ถือว่าขาดสิทธิและเสรีภาพตามพื้นฐาน”นางฐิติมากล่าว
เมื่อถามว่าการไม่มารายงานตัวตามคำสั่งคสช.ถือเป็นการท้าทายหรือไม่ นางฐิติมา กล่าวว่า บางคนก็คิดแบบนั้น แต่ประชาชนบางส่วนก็ไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะบางคนถือในเรื่องของการฉีกรัฐธรรมนูญ ส่วนการวางตัวทางการเมืองต่อจากนี้ก็จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามขั้นตอนก่อน ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าศาลฯจะอนุมัติฝากขังต่อหรือไม่ อย่างไรก็ตามนางฐิติมาได้ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นในส่วนที่เจ้าพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาว่านายจาตุรนต์ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา116
ผู้สื่อข่าวว่าที่บริเวณด้านหน้าศาลทหารกรุงเทพฯมีมวลชนจากจังหวัดฉะเชิงทรา และ กทม. ประมาณ 50 คน เดินทางมาให้กำลังใจนายจาตุรนต์ พร้องฝากดอกกุหลาบสีแดงให้นางฐิติมา เพื่อฝากไปให้กำลังใจ นายจาตุรนต์ โดยได้กล่าวเพียงสั้นๆว่า “ให้นายจาตุรนต์สู้ๆ” ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด ทำให้สื่อมวลชนต้องปักหลักรอด้านหน้าศาลทหารกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตามในเวลา 10.00 น. ทางสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย จะเดินทางไปยังศาลทหาร ยื่นขอให้พิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวนายจาตุรนต์ เนื่องจากญาติมาร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วย
เวลา 10.30 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม องค์คณะตุลาการศาลทหารได้ออกนั่งบังลังก์พิจารณาในคดีที่เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนจากกองบังคับการกองปราบปรามยื่นคำร้องขอฝากขังนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ เป็นผลัดที่สอง โดยพนักงานสอบสวนฯได้ชี้แจงกับศาลฯว่า เนื่องจากขณะนี้ยังสอบพยานบุคคลไม่แล้วเสร็จจำนวน 4 ปาก รวมถึงการตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นคลิปคำแถลงของนายจาตุรนต์ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง และการตรวจสอบคดีประวัติอาชญากรรม
โดย ศาลฯได้สอบถามพนักงานสอบสวนว่าในช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินการสอบสวนนายจาตุรนต์แล้วเสร็จหรือไม่ พร้อมกับขอให้ยืนยันเหตุผล ของการขอฝากขังผลัดที่สอง ซึ่งพนักงานสอบสวนระบุว่าได้สอบสวนนายจาตุรนต์เสร็จแล้ว และขอยืนยันเหตุผลในการฝากครั้ง
จากนั้นองค์คณะตุลาการศาลฯได้สอบถามนายจาตุรนต์ว่าจะคัดค้านการขอฝากขังผลัดที่สองหรือไม่ นายจาตุรนต์ได้ลุกยื่นชี้แจงว่า ขอคัดค้านการฝากครั้งที่สอง เพราะเห็นว่าการฝากครั้งผลัดแรกจำนวน 12 วัน ทางพนักงานสอบสวนสามารถตรวจสอบพยานให้แล้วเสร็จได้ ส่วนการรอผลการพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐานกลางนั้น ตนเห็นว่าทำไมเจ้าหน้าที่ไม่ตรวจสอบคลิปดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนที่จะแจ้งข้อกล่าวหา สำหรับการตรวจสอบทะเบียนประวัติอาชญากรรมนั้นตนมีอาชีพเป็นนักการเมืองดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาหลายสมัย จึงไม่มีประวัติทางอาชญากรรมอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ยังต้องฝากขังต่อไป
ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาทั้งการคัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) การรายงานตัวฉบับที่ 1/2557 และข้อกล่าวหาว่าการแถลงข่าวเป็นการยุยง ส่งเสริมถือเป็นข้อหาที่หนัก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีทนายความ และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในการพิจารณาต่อสู้คดี เพราะถือเป็นพลเรือนคนแรกในรอบ 10 ปีที่ขึ้นศาลทหาร ดังนั้นหากมีการควบคุมอยู่จะทำให้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี และที่ผ่านมาไม่เคยมีพฤติกรรมการหลบหนี จะเห็นได้ว่าในวันแถลงข่าวได้ยอมให้เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว ต่อมาศาลได้อ่านคำสั่งให้ฝากขังนายจาตุรนต์เป็นผลัดที่สอง ระหว่างวันที่ 9-20 มิ.ย. เป็นเวลา 12 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานในการพิจารณาคดีครั้งนี้ ทางศาลฯได้อนุญาตให้สื่อมวลชนจำนวน 8 คน เข้าไปติดตามรับฟังการพิจารณาในห้องพิจารณาคดีครั้งนี้ด้วยแต่ไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์สื่อสาร เครื่องบันทึกเทป รวมถึงสมุดจดบันทึกเข้าไปในห้อง เช่นเดียวกับญาติ ทีมทนายความ และผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ ซึ่งในห้องพิจารณาคดีมีนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง น.ส.ฐิติมา ฉายแสง น้องชายและน้องสาวของนายจาตุรนต์ รวมถึงนางจิราภรณ์ ฉายแสง ภรรยานายจาตุรนต์ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช.
ทั้งนี้นายจาตุรนต์ได้สวมชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาล พร้อมถูกสวมกุญแจมือ โดยมีสีหน้าเรียบเฉย และตลอดเวลาที่รับฟังศาลฯได้จดบันทึก ส่วนภรรยานั้นมีสีหน้าไม่สู้ดี ระหว่างรอฟังคำสั่งศาลฯ ทั้งนี้ศาลได้เวลาไต่สวนรวมทั้งอ่านคำสั่งเป็นเวลาประมาณ 40 นาที
จากนั้นนายวุฒิพงศ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีว่า นายจาตุรนต์ได้ฝากข้อมูลถึงทุกคนว่าขอขอบคุณที่ให้กำลังใจ เพราะเวลานี้ทุกคนควรให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งนายจาตุรนต์ยืนยันว่าจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด เพราะข้อหามีโทษหนักในเรื่องยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ที่มีโทษจำคุกถึง 7 ปี และข้อหาขัดคำสั่งคสช.ในเรื่องรายงานตัว โทษจำคุก 2 ปี รวมเป็น 9 ปี ดังนั้นจำเป็นต้องมีทนายความหลายคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคดีอาญา กฎหมายมหาชน และรัฐธรรมนูญเขตอำนาจศาลทหาร อย่างไรก็ตามตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีคดีพลเรือนขึ้นศาลทหารในคดีเกี่ยวกับความเห็นต่างทางความคิด และการที่อยู่ในเรือนจำทำให้ขาดสิทธิ์ตรงนี้ไป
“สภาพร่างกายและจิตใจของนายจาตุรนต์แข็งแรงดี ทราบว่าวานนี้ยังซ้อมมวยอยู่ในเรือนจำ และพร้อมต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยโดยสันติวิธี ด้วยหลักมนุษยธรรม” นายวุฒิพงศ์ กล่าวและว่า จากความคิดเห็นของตนนั้นตามธรรมดาของการรัฐประหารก็ต้องมีคนออกมาต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งการที่นายจาตุรนต์แถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยบอกว่าประชาชนให้สู้ด้วยสันติวิธีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ชอบแล้ว เพราะการสู้ด้วยสันติวิธีไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่สร้างความวุ่นวายในสังคม ซึ่งนายจาตุรนต์ยืนยันในหลักสันติวิธี และยุติธรรมมาโดยตลอด
เมื่อถามว่าศาลฯฝากให้ขังนายจาตุรนต์ อีก 12 วัน จะดำเนินการอย่างไร นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า นายจาตุรนต์ไม่ได้สนใจเรื่องการประกันตัวมากนัก และได้แย้งว่าการฝากขัง 12 วันแรก ควรสอบพยานหลักฐานได้หมดแล้ว แต่ทำไมอีก 4 ปากทางพนักงานสอบสวนจึงยังสอบไม่หมด ทำไมจะต้องมาฝากขังอีก ซึ่งทางพิสูจน์หลักฐานอ้างว่าการที่แถลงข่าววันนั้น จะต้องมีการสอบสวนในเรื่องคลิปต่างๆ โดยในเรื่องนี้นายจาตุรนต์แย้งว่าในวันเกิดเหตุมีนักข่าวเป็นร้อยคนแทนที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับหลักฐานคงเป็นไปไม่ได้ และศาลฯก็เชื่อพนักงานสอบสวนให้ฝากขังต่อ
ด้าน น.ส.ฐิติมา กล่าวเสริมว่า ในศาลฯ นายจาตุรนต์ลุกขึ้นแย้งต่อศาลว่าไม่ได้คิดที่จะหลบหนี และไม่ได้คิดจะยุ่งเกี่ยวกับพยานใดๆ จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะควบคุมตัวหรือกักขังอีก ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ร้องว่าจะต้องสอบพยานเพิ่มอีก 4 ปาก ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคุมขังตั้งแต่ต้น เพราะเป็นคดีของพลเรือนเต็มขั้น ไม่ได้เป็นทหาร เป็นเพียงนักศึกษาวิชาทหารเท่านั้น
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญา กฎหมายมหาชน รัฐธรรมนูญ คำสั่งของศาลทหาร หรือเขตอำนาจของศาลทหารจำกัดสิทธิ์เวลาที่เข้าไปเยี่ยม นายจาตุรนต์จะพูดกับทนายความก็พูดได้ทีละคน เพราะมีโทรศัพท์ให้เพียงเครื่องเดียว แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญมีมาก ดังนั้นอยากขอร้องอย่าได้กักขัง ขอให้ปล่อยตัวมาเพื่อสู้คดีให้ถึงที่สุดด้วยสิทธิอันควรจะมี ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึงในเรื่องการประกันตัว ซึ่งจะต้องปล่อยเป็นเรื่องของขั้นตอนต่อไป
คุณคิดว่าการปรองดองจะเป็นไปได้หรือไม่ ภายใต้มาตรฐานการปฏิบัติเช่นนี้
เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 มิ.ย. ที่ศาลทหาร กรุงเทพ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้นำตัวนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ และสมาชิกพรรคเพื่อไทยเดินทางออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อฝากขังเป็นผลัดที่ 2 ภายหลังจากครบกำหนดที่ศาลทหารกรุงเทพฯได้อนุมัติฝากครั้งผลัดที่1 ไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยนายจาตุรนต์ใส่ชุดนักโทษ พร้อมกุญแจมือนั่งรถควบคุมผู้ต้องขัง ยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฌฟ 2841 กทม. ได้เดินทางมาศาลทหารกรุงเทพฯ
เมื่อมาถึงศาลทหารกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ฯ ได้นำรถลงชั้นใต้ดินทันที ทั้งนี้นายจาตุรนต์มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้แสดงท่าทีกังวล ท่ามกลางระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และมีสื่อมวลชนจำนวนมากปักหลักทำข่าว
ทั้งนี้นางฐิติมา ฉายแสง อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของนายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้เดินทางมาเยี่ยมนายจาตุรนต์และจะขอยื่นประกันตัว เพราะนายจาตุรนต์ไม่ได้มีความผิดอะไร ตนจะมาดูว่าทางศาลฯ ท่านจะว่าอย่างไร อย่างไรก็ตามทางนายจาตุรนต์ก็มีกองทัพทนายที่จะมาช่วยปรึกษาหารือ และก็จะทำเรื่องขอประกันตัวออกมา ในขณะเดียวกันวันนี้ตนยังไม่ได้เห็นหน้าพี่ชาย แต่รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายมีจิตใจเข้มแข็งมาก และทุกคนที่มาในวันนี้ก็มาให้กำลังใจ
หลายคนเรียกนายจาตุรนต์ว่า “เนลสัน เมืองไทย” ซึ่งสิ่งเหล่านี้นายจาตุรนต์รับทราบ ได้เห็นเอกสารที่พี่น้องประชาชนส่งมาให้ และรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง ซึ่งในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ไม่ได้สิทธิเสรีภาพเหมือนอย่างที่เราเป็นอยู่ และเหมือนกับที่หลายๆ คนเข้าไปรายงานตัวและถูกกักบริเวณ ตนเองก็ถูกกักบริเวณ 7 วัน เพราะฉะนั้นในวันนี้ ต้องมาให้กำลังใจกับผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
เมื่อถามว่าสิ่งที่นายจาตุรนต์ทำอยู่ในทุกวันนี้ถูกต้องหรือไม่นางฐิติมากล่าวว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเราไม่ต้องการให้คนเราได้รับความไม่เท่าเทียมกัน เราต้องการให้ประเทศชาติเจริญและเป็นไปในทิศทางสากล แนวทางที่ไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ใช้การสื่อสารพูดคุยกับพี่น้องประชาชนให้เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องที่โลกเขาทำกัน เราคิดว่าเราเดินมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว และคิดว่าศาลทหารคงเข้าใจ ในการปล่อยตัวหรือให้ประกันตัวก็ดี
เมื่อถามว่า มีการดำเนินการขั้นตอนหรือแนวทางขอประกันตัวอย่างไร นางฐิติมา กล่าว ตนยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ทีมทนายและผู้ใหญ่หลายคนให้ความกรุณามาประชุมกันเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา และในวันนี้จะมาฟังว่าศาลฯจะพิจารณาอย่างไร
“ที่ผ่านมายังไม่ได้พูดคุยกับนายจาตุรนต์มากมายในเรือนจำฯเพราะมีคนไปเยี่ยมจำนวนมากได้แค่ถามสารทุกข์สุขดิบเท่านั้นนายจาตุรนต์มีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีพี่ชายมีจิตใจเข้มแข็ง เป็นผู้นำมาตั้งแต่เด็ก ส่วนบิดาก็มีความรู้สึกเครียดเป็นปกติ เพราะอายุมาก ทั้งนี้ท่านก็รู้ว่าลูกชายเป็นผู้นำ แต่ความเป็นพ่อก็ต้องเป็นห่วงลูกธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ในเรือนจำหรือค่ายทหารก็ถือว่าขาดสิทธิและเสรีภาพตามพื้นฐาน”นางฐิติมากล่าว
เมื่อถามว่าการไม่มารายงานตัวตามคำสั่งคสช.ถือเป็นการท้าทายหรือไม่ นางฐิติมา กล่าวว่า บางคนก็คิดแบบนั้น แต่ประชาชนบางส่วนก็ไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะบางคนถือในเรื่องของการฉีกรัฐธรรมนูญ ส่วนการวางตัวทางการเมืองต่อจากนี้ก็จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามขั้นตอนก่อน ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าศาลฯจะอนุมัติฝากขังต่อหรือไม่ อย่างไรก็ตามนางฐิติมาได้ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นในส่วนที่เจ้าพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาว่านายจาตุรนต์ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา116
ผู้สื่อข่าวว่าที่บริเวณด้านหน้าศาลทหารกรุงเทพฯมีมวลชนจากจังหวัดฉะเชิงทรา และ กทม. ประมาณ 50 คน เดินทางมาให้กำลังใจนายจาตุรนต์ พร้องฝากดอกกุหลาบสีแดงให้นางฐิติมา เพื่อฝากไปให้กำลังใจ นายจาตุรนต์ โดยได้กล่าวเพียงสั้นๆว่า “ให้นายจาตุรนต์สู้ๆ” ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด ทำให้สื่อมวลชนต้องปักหลักรอด้านหน้าศาลทหารกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตามในเวลา 10.00 น. ทางสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย จะเดินทางไปยังศาลทหาร ยื่นขอให้พิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวนายจาตุรนต์ เนื่องจากญาติมาร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วย
เวลา 10.30 น. ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม องค์คณะตุลาการศาลทหารได้ออกนั่งบังลังก์พิจารณาในคดีที่เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนจากกองบังคับการกองปราบปรามยื่นคำร้องขอฝากขังนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ เป็นผลัดที่สอง โดยพนักงานสอบสวนฯได้ชี้แจงกับศาลฯว่า เนื่องจากขณะนี้ยังสอบพยานบุคคลไม่แล้วเสร็จจำนวน 4 ปาก รวมถึงการตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นคลิปคำแถลงของนายจาตุรนต์ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง และการตรวจสอบคดีประวัติอาชญากรรม
โดย ศาลฯได้สอบถามพนักงานสอบสวนว่าในช่วงที่ผ่านมาได้ดำเนินการสอบสวนนายจาตุรนต์แล้วเสร็จหรือไม่ พร้อมกับขอให้ยืนยันเหตุผล ของการขอฝากขังผลัดที่สอง ซึ่งพนักงานสอบสวนระบุว่าได้สอบสวนนายจาตุรนต์เสร็จแล้ว และขอยืนยันเหตุผลในการฝากครั้ง
จากนั้นองค์คณะตุลาการศาลฯได้สอบถามนายจาตุรนต์ว่าจะคัดค้านการขอฝากขังผลัดที่สองหรือไม่ นายจาตุรนต์ได้ลุกยื่นชี้แจงว่า ขอคัดค้านการฝากครั้งที่สอง เพราะเห็นว่าการฝากครั้งผลัดแรกจำนวน 12 วัน ทางพนักงานสอบสวนสามารถตรวจสอบพยานให้แล้วเสร็จได้ ส่วนการรอผลการพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐานกลางนั้น ตนเห็นว่าทำไมเจ้าหน้าที่ไม่ตรวจสอบคลิปดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนที่จะแจ้งข้อกล่าวหา สำหรับการตรวจสอบทะเบียนประวัติอาชญากรรมนั้นตนมีอาชีพเป็นนักการเมืองดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาหลายสมัย จึงไม่มีประวัติทางอาชญากรรมอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ยังต้องฝากขังต่อไป
ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาทั้งการคัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) การรายงานตัวฉบับที่ 1/2557 และข้อกล่าวหาว่าการแถลงข่าวเป็นการยุยง ส่งเสริมถือเป็นข้อหาที่หนัก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีทนายความ และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในการพิจารณาต่อสู้คดี เพราะถือเป็นพลเรือนคนแรกในรอบ 10 ปีที่ขึ้นศาลทหาร ดังนั้นหากมีการควบคุมอยู่จะทำให้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี และที่ผ่านมาไม่เคยมีพฤติกรรมการหลบหนี จะเห็นได้ว่าในวันแถลงข่าวได้ยอมให้เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว ต่อมาศาลได้อ่านคำสั่งให้ฝากขังนายจาตุรนต์เป็นผลัดที่สอง ระหว่างวันที่ 9-20 มิ.ย. เป็นเวลา 12 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานในการพิจารณาคดีครั้งนี้ ทางศาลฯได้อนุญาตให้สื่อมวลชนจำนวน 8 คน เข้าไปติดตามรับฟังการพิจารณาในห้องพิจารณาคดีครั้งนี้ด้วยแต่ไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์สื่อสาร เครื่องบันทึกเทป รวมถึงสมุดจดบันทึกเข้าไปในห้อง เช่นเดียวกับญาติ ทีมทนายความ และผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ ซึ่งในห้องพิจารณาคดีมีนายวุฒิพงศ์ ฉายแสง น.ส.ฐิติมา ฉายแสง น้องชายและน้องสาวของนายจาตุรนต์ รวมถึงนางจิราภรณ์ ฉายแสง ภรรยานายจาตุรนต์ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช.
ทั้งนี้นายจาตุรนต์ได้สวมชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาล พร้อมถูกสวมกุญแจมือ โดยมีสีหน้าเรียบเฉย และตลอดเวลาที่รับฟังศาลฯได้จดบันทึก ส่วนภรรยานั้นมีสีหน้าไม่สู้ดี ระหว่างรอฟังคำสั่งศาลฯ ทั้งนี้ศาลได้เวลาไต่สวนรวมทั้งอ่านคำสั่งเป็นเวลาประมาณ 40 นาที
จากนั้นนายวุฒิพงศ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีว่า นายจาตุรนต์ได้ฝากข้อมูลถึงทุกคนว่าขอขอบคุณที่ให้กำลังใจ เพราะเวลานี้ทุกคนควรให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ซึ่งนายจาตุรนต์ยืนยันว่าจะต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด เพราะข้อหามีโทษหนักในเรื่องยุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ที่มีโทษจำคุกถึง 7 ปี และข้อหาขัดคำสั่งคสช.ในเรื่องรายงานตัว โทษจำคุก 2 ปี รวมเป็น 9 ปี ดังนั้นจำเป็นต้องมีทนายความหลายคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคดีอาญา กฎหมายมหาชน และรัฐธรรมนูญเขตอำนาจศาลทหาร อย่างไรก็ตามตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีคดีพลเรือนขึ้นศาลทหารในคดีเกี่ยวกับความเห็นต่างทางความคิด และการที่อยู่ในเรือนจำทำให้ขาดสิทธิ์ตรงนี้ไป
“สภาพร่างกายและจิตใจของนายจาตุรนต์แข็งแรงดี ทราบว่าวานนี้ยังซ้อมมวยอยู่ในเรือนจำ และพร้อมต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยโดยสันติวิธี ด้วยหลักมนุษยธรรม” นายวุฒิพงศ์ กล่าวและว่า จากความคิดเห็นของตนนั้นตามธรรมดาของการรัฐประหารก็ต้องมีคนออกมาต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งการที่นายจาตุรนต์แถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โดยบอกว่าประชาชนให้สู้ด้วยสันติวิธีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ชอบแล้ว เพราะการสู้ด้วยสันติวิธีไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่สร้างความวุ่นวายในสังคม ซึ่งนายจาตุรนต์ยืนยันในหลักสันติวิธี และยุติธรรมมาโดยตลอด
เมื่อถามว่าศาลฯฝากให้ขังนายจาตุรนต์ อีก 12 วัน จะดำเนินการอย่างไร นายวุฒิพงศ์ กล่าวว่า นายจาตุรนต์ไม่ได้สนใจเรื่องการประกันตัวมากนัก และได้แย้งว่าการฝากขัง 12 วันแรก ควรสอบพยานหลักฐานได้หมดแล้ว แต่ทำไมอีก 4 ปากทางพนักงานสอบสวนจึงยังสอบไม่หมด ทำไมจะต้องมาฝากขังอีก ซึ่งทางพิสูจน์หลักฐานอ้างว่าการที่แถลงข่าววันนั้น จะต้องมีการสอบสวนในเรื่องคลิปต่างๆ โดยในเรื่องนี้นายจาตุรนต์แย้งว่าในวันเกิดเหตุมีนักข่าวเป็นร้อยคนแทนที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับหลักฐานคงเป็นไปไม่ได้ และศาลฯก็เชื่อพนักงานสอบสวนให้ฝากขังต่อ
ด้าน น.ส.ฐิติมา กล่าวเสริมว่า ในศาลฯ นายจาตุรนต์ลุกขึ้นแย้งต่อศาลว่าไม่ได้คิดที่จะหลบหนี และไม่ได้คิดจะยุ่งเกี่ยวกับพยานใดๆ จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะควบคุมตัวหรือกักขังอีก ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ร้องว่าจะต้องสอบพยานเพิ่มอีก 4 ปาก ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคุมขังตั้งแต่ต้น เพราะเป็นคดีของพลเรือนเต็มขั้น ไม่ได้เป็นทหาร เป็นเพียงนักศึกษาวิชาทหารเท่านั้น
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญา กฎหมายมหาชน รัฐธรรมนูญ คำสั่งของศาลทหาร หรือเขตอำนาจของศาลทหารจำกัดสิทธิ์เวลาที่เข้าไปเยี่ยม นายจาตุรนต์จะพูดกับทนายความก็พูดได้ทีละคน เพราะมีโทรศัพท์ให้เพียงเครื่องเดียว แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญมีมาก ดังนั้นอยากขอร้องอย่าได้กักขัง ขอให้ปล่อยตัวมาเพื่อสู้คดีให้ถึงที่สุดด้วยสิทธิอันควรจะมี ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการพูดถึงในเรื่องการประกันตัว ซึ่งจะต้องปล่อยเป็นเรื่องของขั้นตอนต่อไป