ก่อนอื่นขอเกริ่นให้ทราบว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงทุกประการ ไม่มีการเติมแต่ง ประสบมาด้วยตัวเองล้วนๆ
เป็นกระทู้แรกที่ตั้งใจอยากมาเล่าเพื่อเป็นกำลังใจให้กับใครหลายๆคนที่ต้องเจอเช่นเดียวกัน
และเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับคนที่ไม่เคยเจอ และไม่คิดอยากจะเจอ
เมื่อกลางปีของปีที่แล้ว เราได้ทราบข่าวร้ายที่แม่พยายามปกปิดมาตลอด
คือ "แม่เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สาม"
แม่รู้สึกตัวว่าป่วยแบบผิดปกติค่ะ แม่มีไข้สูงในช่วงเวลากลางคืน
ตัวร้อนมาก ต้องห่มผ้าหนาๆทีละสามผืน แม่ตัดสินใจไปหาหมอที่คลินิกแถวๆบ้าน
หมอวินิจฉัยว่าแม่เป็นกรวยไตอักเสบ ทั้งที่ไม่แตะตัวแม่เลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่ตรวจ ไม่สแกน ไม่อะไรเลย เอาแต่ฟังที่แม่บอกเกี่ยวกับอาการ แล้วก็วินิจฉัยเอาดื้อๆ
แม่เริ่มสงสัยในความไม่มั่นใจของหมอ เลยขอไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่
ปรากฏว่า เป็นมะเร็ง
แม่ไม่ยอมบอกเราว่าเป็นอะไร บอกแค่ว่าป่วย ต้องไปรักษาที่จังหวัดอุบล
จนเราได้ทราบจากน้าว่าแม่เป็นมะเร็ง
ครั้งแรกที่ได้รับรู้ น้ำตาไหลท่วมแก้มแบบไม่รู้ตัว เข่าทรุด เก็บอาการไม่อยู่
หลังจากนั้นก็พยายามโทรหาแม่บ่อยขึ้น คอยเช็คความเคลื่อนไหวต่างๆ
จนในที่สุดก็สรุปผลว่าต้องทำคีโม ฉายแสง และให้แร่
จำเป็นต้องไปพักอยู่ที่อุบล โรงพยาบาลที่รักษาด้านมะเร็งโดยเฉพาะ
โชคดีที่แม่เคยทำงานที่อุบล และได้อยู่บ้านพักข้าราชการฟรี โดยเสียแค่ค่าน้ำค่าไฟเอง
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา แม่เป็นข้าราชการค่ะ สามารถเบิกได้ จึงทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้เยอะขึ้น
บ้านพักที่ไม่มีอะไรเลย เราต้องเตรียมไปเองทั้งหมด ประเด็นหลักคือ "แม่ต้องอยู่คนเดียว"
แม่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด เพราะพ่อแม่หย่ากันตั้งแต่เรายังเด็ก และบ้านเรากับที่ทำงานของแม่ก็อยู่คนละจังหวัดกัน
แม่ต้องย้ายที่ทำงานเรื่อยๆ เพื่อรับตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ไม่มีโอกาสได้กลับไปทำงานที่บ้าน
ซึ่งเราก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพ โอกาสที่จะได้ดูแลแม่ก็น้อยลง มีเพียงญาติๆที่จะคอยแวะเวียนไปหาทุกสัปดาห์
เราเป็นห่วงแม่มาก ถึงขั้นตัดสินใจจะลาออกจากงาน แต่แม่ไม่ยอม
แม่บอกว่า "แม่ดูแลตัวเองได้ อย่าให้อนาคตของหนูต้องจบเพราะแม่เลย"
เราฟังแล้วก็อดร้องไห้ไม่ได้ แต่จะไม่ร้องให้แม่รู้ เพราะกลัวแม่จะห่วงความรู้สึกเรามากไป
ทุกๆวันแม่ต้องขับรถไปที่โรงพยาบาล นั่งรอคิว ให้คีโมและฉายแสง จนกว่าจะครบครอส
คุณหมอสั่งห้ามให้งดบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ และของหมักดอง
ช่วงแรกแม่ไม่มีความผิดปกติอะไรเลย แต่พอให้สารเคมีเข้ามากๆ แม่ก็เริ่มมีอาการ
ทั้งท้องเสียบ่อย อาเจียน ทานข้าวไม่ลง ภายในเวลา 1 เดือน น้ำหนักแม่ลดลงไป 10 กิโล
แม่ผอมแห้ง ดูโทรมขึ้นมาก เราทำงานที่กรุงเทพ ก็ไม่ได้ไปดูแล
จนตัดสินใจขอลางานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยเล่าปัญหาทั้งหมดให้หัวหน้าฟัง
ยอมโดนหักเงินเดือนในช่วงเวลาที่ใช้วันลาเกิน เพื่อให้ได้ไปดูแลแม่ หัวหน้าก็เข้าใจและอนุญาต
เด็กจบใหม่เงินเดือนหมื่นนิดๆ บอกตรงๆว่าใช้ไม่พอจริงๆ (เป็นเด็กต่างจังหวัดด้วย)
ต้องจ่ายค่าหอ ค่ากินค่าอยู่สารพัด มีเงินเก็บแค่สี่พันกว่าบาท จากการสะสมเงินแบงค์ 50 มาเรื่อยๆ
เราเอาเงินตรงนั้นมาใช้จนหมด เพราะไม่อยากบอกแม่ว่า "ไม่มีตัง"
วันแรกที่เจอแม่ในรอบ 3 เดือน หลังจากแม่ได้รับการรักษาสักระยะนึง
“แม่ผอมและโทรมมาก” น้ำตาของลูกเอ่อเต็มตา แต่ไม่กล้าให้มันไหลออกมา
เรายิ้มและเดินเข้าไปกอดแม่ ทรุดตัวลงกอดแม่จากด้านหลัง เพราะมั่นใจว่าอีกไม่นานน้ำตาต้องไหล
เพื่อไม่ให้แม่เห็นเราต้องแอบร้องไห้อยู่ข้างหลังแม่ “คิดถึงแม่นะ คิดถึงมากเลย”
แม่ : แม่ก็คิดถึงหนูนะ หิวมั้ย กินอะไรรึยัง
เรา : กินแล้วค่ะ ขอกอดแม่ให้หายคิดถึงก่อน
เรากอดแม่ไว้แน่น แล้วค่อยๆแอบเช็ดน้ำตา เมื่อมั่นใจว่าเช็ดคราบน้ำตาจนหมด
เราลุกขึ้นแล้วนั่งพูดคุยกับแม่เป็นเวลานาน สิ่งที่สังเกตได้คือ แม่ดูไม่ร่าเริง ไม่ปกติ
ไม่ค่อยคุยกับเราเหมือนเมื่อก่อน ปกติเราจะคุยกันเยอะมาก มีอะไรจะแบ่งปันให้กันและกันรับรู้
แม่ดูเหนื่อยหน่าย เอาแต่นอนอย่างเดียว จะลุกทีก็เมื่ออยากเข้าห้องน้ำ
แม่ท้อมากค่ะช่วงแรกๆ ท้อ จะไม่สู้ จะไม่รักษา เราก็เหนื่อยใจ ทำได้เพียงดูแลและให้กำลังใจเท่านั้น
แม่และยายฉันเป็นมะเร็ง
เป็นกระทู้แรกที่ตั้งใจอยากมาเล่าเพื่อเป็นกำลังใจให้กับใครหลายๆคนที่ต้องเจอเช่นเดียวกัน
และเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับคนที่ไม่เคยเจอ และไม่คิดอยากจะเจอ
เมื่อกลางปีของปีที่แล้ว เราได้ทราบข่าวร้ายที่แม่พยายามปกปิดมาตลอด
คือ "แม่เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สาม"
แม่รู้สึกตัวว่าป่วยแบบผิดปกติค่ะ แม่มีไข้สูงในช่วงเวลากลางคืน
ตัวร้อนมาก ต้องห่มผ้าหนาๆทีละสามผืน แม่ตัดสินใจไปหาหมอที่คลินิกแถวๆบ้าน
หมอวินิจฉัยว่าแม่เป็นกรวยไตอักเสบ ทั้งที่ไม่แตะตัวแม่เลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่ตรวจ ไม่สแกน ไม่อะไรเลย เอาแต่ฟังที่แม่บอกเกี่ยวกับอาการ แล้วก็วินิจฉัยเอาดื้อๆ
แม่เริ่มสงสัยในความไม่มั่นใจของหมอ เลยขอไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่
ปรากฏว่า เป็นมะเร็ง
แม่ไม่ยอมบอกเราว่าเป็นอะไร บอกแค่ว่าป่วย ต้องไปรักษาที่จังหวัดอุบล
จนเราได้ทราบจากน้าว่าแม่เป็นมะเร็ง
ครั้งแรกที่ได้รับรู้ น้ำตาไหลท่วมแก้มแบบไม่รู้ตัว เข่าทรุด เก็บอาการไม่อยู่
หลังจากนั้นก็พยายามโทรหาแม่บ่อยขึ้น คอยเช็คความเคลื่อนไหวต่างๆ
จนในที่สุดก็สรุปผลว่าต้องทำคีโม ฉายแสง และให้แร่
จำเป็นต้องไปพักอยู่ที่อุบล โรงพยาบาลที่รักษาด้านมะเร็งโดยเฉพาะ
โชคดีที่แม่เคยทำงานที่อุบล และได้อยู่บ้านพักข้าราชการฟรี โดยเสียแค่ค่าน้ำค่าไฟเอง
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา แม่เป็นข้าราชการค่ะ สามารถเบิกได้ จึงทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้เยอะขึ้น
บ้านพักที่ไม่มีอะไรเลย เราต้องเตรียมไปเองทั้งหมด ประเด็นหลักคือ "แม่ต้องอยู่คนเดียว"
แม่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด เพราะพ่อแม่หย่ากันตั้งแต่เรายังเด็ก และบ้านเรากับที่ทำงานของแม่ก็อยู่คนละจังหวัดกัน
แม่ต้องย้ายที่ทำงานเรื่อยๆ เพื่อรับตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ไม่มีโอกาสได้กลับไปทำงานที่บ้าน
ซึ่งเราก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพ โอกาสที่จะได้ดูแลแม่ก็น้อยลง มีเพียงญาติๆที่จะคอยแวะเวียนไปหาทุกสัปดาห์
เราเป็นห่วงแม่มาก ถึงขั้นตัดสินใจจะลาออกจากงาน แต่แม่ไม่ยอม
แม่บอกว่า "แม่ดูแลตัวเองได้ อย่าให้อนาคตของหนูต้องจบเพราะแม่เลย"
เราฟังแล้วก็อดร้องไห้ไม่ได้ แต่จะไม่ร้องให้แม่รู้ เพราะกลัวแม่จะห่วงความรู้สึกเรามากไป
ทุกๆวันแม่ต้องขับรถไปที่โรงพยาบาล นั่งรอคิว ให้คีโมและฉายแสง จนกว่าจะครบครอส
คุณหมอสั่งห้ามให้งดบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ และของหมักดอง
ช่วงแรกแม่ไม่มีความผิดปกติอะไรเลย แต่พอให้สารเคมีเข้ามากๆ แม่ก็เริ่มมีอาการ
ทั้งท้องเสียบ่อย อาเจียน ทานข้าวไม่ลง ภายในเวลา 1 เดือน น้ำหนักแม่ลดลงไป 10 กิโล
แม่ผอมแห้ง ดูโทรมขึ้นมาก เราทำงานที่กรุงเทพ ก็ไม่ได้ไปดูแล
จนตัดสินใจขอลางานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยเล่าปัญหาทั้งหมดให้หัวหน้าฟัง
ยอมโดนหักเงินเดือนในช่วงเวลาที่ใช้วันลาเกิน เพื่อให้ได้ไปดูแลแม่ หัวหน้าก็เข้าใจและอนุญาต
เด็กจบใหม่เงินเดือนหมื่นนิดๆ บอกตรงๆว่าใช้ไม่พอจริงๆ (เป็นเด็กต่างจังหวัดด้วย)
ต้องจ่ายค่าหอ ค่ากินค่าอยู่สารพัด มีเงินเก็บแค่สี่พันกว่าบาท จากการสะสมเงินแบงค์ 50 มาเรื่อยๆ
เราเอาเงินตรงนั้นมาใช้จนหมด เพราะไม่อยากบอกแม่ว่า "ไม่มีตัง"
วันแรกที่เจอแม่ในรอบ 3 เดือน หลังจากแม่ได้รับการรักษาสักระยะนึง
“แม่ผอมและโทรมมาก” น้ำตาของลูกเอ่อเต็มตา แต่ไม่กล้าให้มันไหลออกมา
เรายิ้มและเดินเข้าไปกอดแม่ ทรุดตัวลงกอดแม่จากด้านหลัง เพราะมั่นใจว่าอีกไม่นานน้ำตาต้องไหล
เพื่อไม่ให้แม่เห็นเราต้องแอบร้องไห้อยู่ข้างหลังแม่ “คิดถึงแม่นะ คิดถึงมากเลย”
แม่ : แม่ก็คิดถึงหนูนะ หิวมั้ย กินอะไรรึยัง
เรา : กินแล้วค่ะ ขอกอดแม่ให้หายคิดถึงก่อน
เรากอดแม่ไว้แน่น แล้วค่อยๆแอบเช็ดน้ำตา เมื่อมั่นใจว่าเช็ดคราบน้ำตาจนหมด
เราลุกขึ้นแล้วนั่งพูดคุยกับแม่เป็นเวลานาน สิ่งที่สังเกตได้คือ แม่ดูไม่ร่าเริง ไม่ปกติ
ไม่ค่อยคุยกับเราเหมือนเมื่อก่อน ปกติเราจะคุยกันเยอะมาก มีอะไรจะแบ่งปันให้กันและกันรับรู้
แม่ดูเหนื่อยหน่าย เอาแต่นอนอย่างเดียว จะลุกทีก็เมื่ออยากเข้าห้องน้ำ
แม่ท้อมากค่ะช่วงแรกๆ ท้อ จะไม่สู้ จะไม่รักษา เราก็เหนื่อยใจ ทำได้เพียงดูแลและให้กำลังใจเท่านั้น