http://www.peopleunitynews.com/web02/2014/hi-light-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93-%E0%B9%81/
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - หากไม่นับ “กากเดน” ของระบอบทักษิณที่ยังพยายามเคลื่อนไหวต่อต้านการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าของ คสช. ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปลุกกระแสต่อต้าน คสช.ของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ที่นัดจัดกิจกรรมตามสถานที่ต่างๆกลางกรุงฯเพื่อสร้างข่าวให้สื่อต่างชาติเอาไปเผยแพร่ หรือการพยายามตั้งตัวเป็นผู้นำในการต่อต้าน คสช.ของ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ต้องถือว่าขณะนี้ คสช.สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว โดยสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ค่อนข้างนิ่งแล้ว อันเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศมีความพอใจและต้องการมานานกับสถานการณ์ของประเทศที่สงบลงเสียที
กรณีความเคลื่อนไหวของนายสมบัติ ซึ่งขณะนี้เจ้าตัวยังหลบหนีและกบดานอยู่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ตัวนายสมบัติพยายามสร้างความสำคัญให้กับตัวเองในช่วงที่คนอื่นๆยอมจำนนต่อ คสช. ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมานายสมบัติไม่ถูกให้ความสำคัญจาก “นายใหญ่” และแกนนำ นปช. เท่าใดนัก เพราะแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของนายสมบัติในช่วงที่ผ่านมาถูกมองว่า “เป็นเรื่องเด็กๆ” และหน่อมแน้ม จึงทำให้การเคลื่อนไหวของนายสมบัติไม่ได้รับการสนับสนุนด้านน้ำเลี้ยงเหมือนกับกลุ่มอื่นๆ
การออกมา “ลองของ” คสช.ของนายสมบัติจึงเป็นการเรียกร้องความสนใจและความสำคัญจาก “นายใหญ่”
กรณีของนายสมบัตินี้ แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า มีคนที่พร้อมเสนอตัวเป็นข้ารับใช้ระบอบทักษิณอยู่ไม่ได้ขาด เพราะหากผลงานเป็นที่เข้าตา นั่นหมายถึงเงินที่จะมีมาและการมีอนาคตทางการเมืองภายใต้ระบอบทักษิณ
เงินและการอวยยศหรือมอบตำแหน่งทางการเมืองให้ คือสิ่งล่อใจที่ได้ผลที่สุดของระบอบทักษิณในการ “ซื้อใจคน” ให้มาเป็นไพร่พล ซึ่งนับเป็นการซื้อที่ได้ผลเพราะทำให้ใครต่อใครยอมเป็นข้าทาสบริวารของระบอบทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ผิดรู้ถูก
ส่วนกรณีของนายจารุพงศ์นั้น ซึ่งขณะนี้ยังหลบหนีอยู่เช่นกัน เป็นเพราะนายจารุพงศ์ได้รับการสถาปนาให้เป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและ รมว.มหาดไทย นอกจากนี้ นายจารุพงศ์ยังเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในข่ายได้เป็นนายกฯนอมินีของระบอบทักษิณ
นายจารุพงศ์จึงถือว่าประสบความสำเร็จทางการเมืองอย่างสูงคนหนึ่งภายใต้ระบอบทักษิณ ดังนั้น หากระบอบทักษิณมีโอกาสกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก ทักษิณย่อมนึกถึงนายจารุพงศ์คนแรก
กรณีของนายจารุพงศ์เป็นกรณีเดียวกับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ที่แสดงตนต่อต้าน คสช. ต่อหน้าผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความสำคัญให้ตัวเองในระดับนานาชาติและแสดงตัวให้ “นายใหญ่” เห็นว่าตนเองกล้าลุกขึ้นสู้ในขณะที่คนอื่นจำนน
นายจาตุรนต์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกระบอบทักษิณอวยตำแหน่งทางการเมืองให้อย่างจุใจ โดยได้เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงภายใต้ระบอบทักษิณ จากที่ก่อนหน้านั้นไม่ประสบความสำเร็จทางการเมืองมากนักและชีวิตการเมืองค่อนข้างลุ่มๆดอนๆก่อนนำตัวเองเข้าสู่ระบอบทักษิณ
ทักษิณ ชินวัตร ฉลาดล้ำลึก รู้ว่านักการเมืองทุกคนมีกิเลส อยากมีตำแหน่งทางการเมืองเป็นรัฐมนตรี หรือขอให้มีตำแหน่งทางการเมืองประดับบารมีตัวเอง ทักษิณจึงซื้อใจคนให้จงรักภักดีอย่างถวายหัวด้วยการมอบตำแหน่งทางการเมืองให้ทุกคน โดยการสลับสับเปลี่ยนให้เป็นรัฐมนตรีหรือมีตำแหน่งอื่นในรัฐบาลและรัฐสภากันถ้วนหน้า บางคนเป็น 3 เดือนถูกปลดก็มี แต่คนเหล่านั้นก็ยังทุ่มเทเป็นข้ารับใช้ต่อไป เพราะหวังว่าทักษิณจะเรียกกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีก บางคนไม่มีอนาคตทางการเมืองในพรรคอื่น หรือไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อน พอมาอยู่กับทักษิณ ทักษิณมอบตำแหน่งทางการเมืองให้ก็ทำงานรับใช้ถวายหัว ไม่สนใจว่าอะไรผิดอะไรถูก
ขณะที่ในภาคราชการและรัฐวิสาหกิจก็เช่นกัน ทักษิณใช้วิธีการซื้อใจแบบเดียวกัน โดยแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวง อธิบดี หรือตำแหน่งผู้นำของรัฐวิสาหกิจ คนเหล่านั้นจึงทำงานรับใช้และยอมเป็นเครื่องมือให้ระบบทักษิณจนบ้านเมืองเสียหาย
จากวิธีการดังกล่าวที่ทักษิณใช้มานานกว่า 10 ปีที่ระบอบทักษิณครอบงำประเทศไทย จึงเป็นคำตอบที่แท้จริงว่าทำไมคนจำนวนหนึ่ง ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ และคนที่ต้องการเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง จึงสวามิภักดิ์ต่อระบอบทักษิณเกือบทุกคน ส่วนคนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ก็ถูกปลด ถูกย้าย ซึ่งสิ่งนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ฝังรากลึกมาในการเมืองไทยและระบบราชการไทยจนถึงขณะนี้
คงเลิกสงสัยกันแล้วว่า ทำไมนักการเมือง ข้าราชการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ จำนวนมาก จึงยอมรับใช้ระบอบทักษิณ ทั้งที่ระบอบทักษิณจาบจ้วงสถาบัน และทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งสร้างความแตกแยกให้ประเทศถึงขั้นมีความคิดแบ่งแยกประเทศ
คำตอบคือ คนเหล่านั้นอยากมีอำนาจทางการเมือง และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ซึ่งคนเหล่านั้นไม่มีจิตสำนึกของความดีงาม และความรักชาติรักสถาบันแม้แต่น้อย
ถึงบรรทัดนี้คงต้องฝากไปยัง คสช.ว่า หากอยากเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น อย่าเอากากเดนของระบอบทักษิณไว้ทำงานต่อไป เพราะคนพวกนี้จะไม่มีวันทำงานให้ คสช.หรือเพื่อบ้านเมืองอย่างจริงใจ แต่จะแทงกั๊กหรือรอให้ระบอบทักษิณกลับมา
คนพวกนี้ไม่ได้ “เปลี่ยนสี” จริง
Hi-Light // “กากเดน” ระบอบทักษิณ และคน “เปลี่ยนสี”
โดย – พูลเดช กรรณิการ์
2 มิถุนายน 2557
13.10 น.
Hi-Light // “กากเดน” ระบอบทักษิณ และคน “เปลี่ยนสี”
สำนักข่าวออนไลน์ พีเพิล ยูนิตี้ - หากไม่นับ “กากเดน” ของระบอบทักษิณที่ยังพยายามเคลื่อนไหวต่อต้านการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าของ คสช. ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปลุกกระแสต่อต้าน คสช.ของ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ที่นัดจัดกิจกรรมตามสถานที่ต่างๆกลางกรุงฯเพื่อสร้างข่าวให้สื่อต่างชาติเอาไปเผยแพร่ หรือการพยายามตั้งตัวเป็นผู้นำในการต่อต้าน คสช.ของ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ต้องถือว่าขณะนี้ คสช.สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว โดยสถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้ค่อนข้างนิ่งแล้ว อันเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศมีความพอใจและต้องการมานานกับสถานการณ์ของประเทศที่สงบลงเสียที
กรณีความเคลื่อนไหวของนายสมบัติ ซึ่งขณะนี้เจ้าตัวยังหลบหนีและกบดานอยู่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ตัวนายสมบัติพยายามสร้างความสำคัญให้กับตัวเองในช่วงที่คนอื่นๆยอมจำนนต่อ คสช. ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมานายสมบัติไม่ถูกให้ความสำคัญจาก “นายใหญ่” และแกนนำ นปช. เท่าใดนัก เพราะแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองของนายสมบัติในช่วงที่ผ่านมาถูกมองว่า “เป็นเรื่องเด็กๆ” และหน่อมแน้ม จึงทำให้การเคลื่อนไหวของนายสมบัติไม่ได้รับการสนับสนุนด้านน้ำเลี้ยงเหมือนกับกลุ่มอื่นๆ
การออกมา “ลองของ” คสช.ของนายสมบัติจึงเป็นการเรียกร้องความสนใจและความสำคัญจาก “นายใหญ่”
กรณีของนายสมบัตินี้ แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า มีคนที่พร้อมเสนอตัวเป็นข้ารับใช้ระบอบทักษิณอยู่ไม่ได้ขาด เพราะหากผลงานเป็นที่เข้าตา นั่นหมายถึงเงินที่จะมีมาและการมีอนาคตทางการเมืองภายใต้ระบอบทักษิณ
เงินและการอวยยศหรือมอบตำแหน่งทางการเมืองให้ คือสิ่งล่อใจที่ได้ผลที่สุดของระบอบทักษิณในการ “ซื้อใจคน” ให้มาเป็นไพร่พล ซึ่งนับเป็นการซื้อที่ได้ผลเพราะทำให้ใครต่อใครยอมเป็นข้าทาสบริวารของระบอบทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ผิดรู้ถูก
ส่วนกรณีของนายจารุพงศ์นั้น ซึ่งขณะนี้ยังหลบหนีอยู่เช่นกัน เป็นเพราะนายจารุพงศ์ได้รับการสถาปนาให้เป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและ รมว.มหาดไทย นอกจากนี้ นายจารุพงศ์ยังเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในข่ายได้เป็นนายกฯนอมินีของระบอบทักษิณ
นายจารุพงศ์จึงถือว่าประสบความสำเร็จทางการเมืองอย่างสูงคนหนึ่งภายใต้ระบอบทักษิณ ดังนั้น หากระบอบทักษิณมีโอกาสกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก ทักษิณย่อมนึกถึงนายจารุพงศ์คนแรก
กรณีของนายจารุพงศ์เป็นกรณีเดียวกับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ที่แสดงตนต่อต้าน คสช. ต่อหน้าผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความสำคัญให้ตัวเองในระดับนานาชาติและแสดงตัวให้ “นายใหญ่” เห็นว่าตนเองกล้าลุกขึ้นสู้ในขณะที่คนอื่นจำนน
นายจาตุรนต์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกระบอบทักษิณอวยตำแหน่งทางการเมืองให้อย่างจุใจ โดยได้เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงภายใต้ระบอบทักษิณ จากที่ก่อนหน้านั้นไม่ประสบความสำเร็จทางการเมืองมากนักและชีวิตการเมืองค่อนข้างลุ่มๆดอนๆก่อนนำตัวเองเข้าสู่ระบอบทักษิณ
ทักษิณ ชินวัตร ฉลาดล้ำลึก รู้ว่านักการเมืองทุกคนมีกิเลส อยากมีตำแหน่งทางการเมืองเป็นรัฐมนตรี หรือขอให้มีตำแหน่งทางการเมืองประดับบารมีตัวเอง ทักษิณจึงซื้อใจคนให้จงรักภักดีอย่างถวายหัวด้วยการมอบตำแหน่งทางการเมืองให้ทุกคน โดยการสลับสับเปลี่ยนให้เป็นรัฐมนตรีหรือมีตำแหน่งอื่นในรัฐบาลและรัฐสภากันถ้วนหน้า บางคนเป็น 3 เดือนถูกปลดก็มี แต่คนเหล่านั้นก็ยังทุ่มเทเป็นข้ารับใช้ต่อไป เพราะหวังว่าทักษิณจะเรียกกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีก บางคนไม่มีอนาคตทางการเมืองในพรรคอื่น หรือไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อน พอมาอยู่กับทักษิณ ทักษิณมอบตำแหน่งทางการเมืองให้ก็ทำงานรับใช้ถวายหัว ไม่สนใจว่าอะไรผิดอะไรถูก
ขณะที่ในภาคราชการและรัฐวิสาหกิจก็เช่นกัน ทักษิณใช้วิธีการซื้อใจแบบเดียวกัน โดยแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวง อธิบดี หรือตำแหน่งผู้นำของรัฐวิสาหกิจ คนเหล่านั้นจึงทำงานรับใช้และยอมเป็นเครื่องมือให้ระบบทักษิณจนบ้านเมืองเสียหาย
จากวิธีการดังกล่าวที่ทักษิณใช้มานานกว่า 10 ปีที่ระบอบทักษิณครอบงำประเทศไทย จึงเป็นคำตอบที่แท้จริงว่าทำไมคนจำนวนหนึ่ง ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ และคนที่ต้องการเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง จึงสวามิภักดิ์ต่อระบอบทักษิณเกือบทุกคน ส่วนคนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ก็ถูกปลด ถูกย้าย ซึ่งสิ่งนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ฝังรากลึกมาในการเมืองไทยและระบบราชการไทยจนถึงขณะนี้
คงเลิกสงสัยกันแล้วว่า ทำไมนักการเมือง ข้าราชการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ จำนวนมาก จึงยอมรับใช้ระบอบทักษิณ ทั้งที่ระบอบทักษิณจาบจ้วงสถาบัน และทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งสร้างความแตกแยกให้ประเทศถึงขั้นมีความคิดแบ่งแยกประเทศ
คำตอบคือ คนเหล่านั้นอยากมีอำนาจทางการเมือง และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ซึ่งคนเหล่านั้นไม่มีจิตสำนึกของความดีงาม และความรักชาติรักสถาบันแม้แต่น้อย
ถึงบรรทัดนี้คงต้องฝากไปยัง คสช.ว่า หากอยากเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น อย่าเอากากเดนของระบอบทักษิณไว้ทำงานต่อไป เพราะคนพวกนี้จะไม่มีวันทำงานให้ คสช.หรือเพื่อบ้านเมืองอย่างจริงใจ แต่จะแทงกั๊กหรือรอให้ระบอบทักษิณกลับมา
คนพวกนี้ไม่ได้ “เปลี่ยนสี” จริง
Hi-Light // “กากเดน” ระบอบทักษิณ และคน “เปลี่ยนสี”
โดย – พูลเดช กรรณิการ์
2 มิถุนายน 2557
13.10 น.