ตอนที่ 1
เสียงตึงตังดังมาจากหลังประตูไม้หนาที่ปิดสนิทบานหนึ่งของบ้านเรือนไทยหลังคาทรงสูง แสงแดดที่ลอดผ่านระเบียงเข้ามาค่อนข้างจัด บ่งบอกว่าเป็นเวลาสายพอสมควร เรือนหลังนี้เป็นเรือนยกใต้ถุนตามแบบเรือนไทยสมัยโบราณ ชายคาบ้านยาวออกไปนอกตัวบ้านเพื่อบังแดดบังฝน ปกคลุมทั่วบริเวณระเบียงที่ยื่นออกมาทางทิศตะวันออก หากนั่งบนระเบียงฝั่งนี้จะมองเห็นสวนที่เต็มไปด้วยผลไม้ทั้งขนุน ชมพู่ น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอและดอกไม้สีสันต่าง ๆ ที่ออกดอกบานสะพรั่งตัดกันเต็มไปหมด
ถัดมาอีกไม่ไกลเป็นบริเวณชานไม้ไม่มีหลังคา อาศัยก็แต่ไม้ใหญ่ปกคลุมให้ร่มเงา มีม้านั่งยาวทำด้วยไม้สำหรับนั่งเล่น หมอนใบเล็กบุผ้าฝ้ายทอมือสีแดง สีเหลือง สีน้ำตาลถูกวางสลับไว้ ใช้หนุนก็ได้ ใช้อิงก็ได้ ทิศตะวันตกของบ้านติดกับคลองลัดมะยม ทุกวันจะมีชาวบ้านพายเรือนำผัก ผลไม้หรืออาหารคาวหวานไปขายที่ตลาด บางวันจะมีเด็ก ๆ มากระโดดน้ำเล่นทำให้คลองแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา บ้านที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังแบบนี้ จะทำอะไรแต่ละทีเสียงดังโครมครามได้ยินไปทั่วบ้าน คนที่อยู่ในห้องพยายามแล้วที่จะส่งเสียงให้น้อยที่สุด แต่ในเวลาที่กำลังรีบแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีเสียงเล็ดลอดไปจนถึงข้างนอก
“ริสา ทำอะไรน่ะลูก? เสียงดังเชียว”
หญิงสาวร่างบางในชุดนิสิตเปิดประตูผางออกมา ในมือมีทั้งสมุดหนังสือ ตำราเรียนเล่มโต โทรศัพท์มือถือและกุญแจรถพะรุงพะรังไปหมด ดวงตากลมโตยังมีแววอ่อนล้าคล้ายอดนอน ใบหน้างามกระจ่างใสปราศจากเครื่องสำอางขมวดมุ่นมีร่องรอยของความเร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนหล่อนนอนดึกไปหน่อยเพราะมัวแต่ไปดูควายที่บ้านป้าจันออกลูก ป้าจันได้แม่ของมันมาจากตลาดควาย คนเขากำลังจะเอามันไปฆ่า แกสงสารจึงไปซื้อมาเลี้ยงไว้โดยที่ไม่รู้ว่ามันกำลังตั้งท้อง ชาวบ้านแห่ไปดูควายตัวใหม่กันจนเต็มลานคอก หล่อนก็ไปดูกับเขาด้วย แม่ควายตัวโตยืนเบ่งอยู่นานสองนานกว่าลูกของมันจะหล่นตุ๊บลงมาพร้อมถุงน้ำคร่ำที่แตกกระจาย ลูกควายตัวใหม่น่ารักน่าชัง ตาใสแจ๋วน่าเอ็นดู หญิงสาวยืนลุ้นให้มันลุกยืนขณะที่แม่ของมันเอาใจช่วยอยู่ข้าง ๆ เกือบสองชั่วโมงลูกควายตัวน้อยจึงตั้งไข่ได้
“ตื่นสายไปหน่อยค่ะคุณยาย ริสาไม่กินข้าวนะคะ ต้องไปแล้ว”
หญิงสูงวัยในชุดผ้าซิ่นยาวก้าวออกมาจากห้องครัว ทันได้ยินเสียงพูดรัว ๆ และเสียงวิ่งซอยเท้าตึง ๆ ลงบันไดไป ซึ่งบอกชัดว่าคนพูดคงกำลังรีบจริง ๆ เป็นแบบนี้ทุกที เวลาเจออะไรถูกใจก็สนุกจนลืมเวลา เมื่อคืนกว่าจะกลับบ้านได้ก็เกือบตีสอง
ร่างสูงเพรียวในชุดนิสิตวิ่งเอาของไปเก็บในรถโฟล์คเต่าสีเขียวมะนาวคันเล็กแล้วทำท่าจะเดินไปเปิดประตูรั้ว ปลายผมดำยาวสลวยสะบัดเบา ๆ ตามแรงลม
“รีบไปเถอะจ๊ะ เดี๋ยวยายเปิดประตูให้...”
ผู้สูงวัยกว่าพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแฝงไปด้วยความเอ็นดู ประตูไม้สีเขียวสภาพกลางเก่ากลางใหม่ถูกเปิดอ้ารอ เสียงสตาร์ทรถทำให้คุณยายเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงเดินอ้อมไปทางฝั่งคนขับและยืนรออยู่หน้าประตูรั้วด้วยท่าทีใจเย็น
“คุณยายมีอะไรเหรอคะ?” ไอริสาลดกระจกลงพร้อมส่งยิ้มกว้าง
“วันนี้ยายจะไปปฏิบัติธรรม จำได้หรือเปล่า?”
“จำได้ค่ะคุณยาย... แล้วริสาจะรีบกลับค่ะ”
“ดีจ๊ะ” คุณยายพยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจขณะที่มองหลานสาวขับรถออกไป ไม่ห่วง ไม่กังวล...
คุณยายศรีหันหลังกลับขึ้นเรือนก้มหน้าเล็กน้อย ย่างเท้าก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ อย่างมีสติ จดจ่ออยู่กับลมหายใจของตัวเอง เสียงเรือหางยาวแล่นผ่านคลองหลังบ้านดังสนั่นจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดรอบตัว ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกระซิบเตือนที่กำลังลอยผ่านมาตามสายลมอันแผ่วเบา
โชคชะตาที่ถูกกำหนด ผู้ใดเล่า...จะหาญกล้าฝ่าฝืน
“ริสา! นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาดีเดินเข้ามาทักทีที่เขาเห็นหล่อน
“รีบแทบแย่แน่ะภัทร”
ไอริสาหยิบหนังสือที่วางอยู่ด้านหลังและปิดล็อครถอย่างรีบร้อน วิชาแรกวันนี้ไม่ใช่วิชาบังคับของคณะฯ แต่เป็นวิชาเลือกที่ณภัทรบ่นแล้วบ่นอีกว่าไอริสาเลือกวิชายากทำให้เขามีสิทธิอดได้เกรดเฉลี่ยสูง ๆ ในเทอมนี้ แต่จนแล้วจนรอดคนที่บ่นไม่หยุดก็ตามมาเรียนด้วยจนได้
ทั้งคู่เดินมาด้วยกันตามทางเดินเพื่อขึ้นตึก อาคารคณะแพทย์ศาสตร์เป็นอาคารสีขาวสูง 18 ชั้น รูปทรงมีดีไซน์แปลกตา คนส่วนใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยกับที่นี่มักจะไม่คิดว่าที่นี่เป็นอาคารเรียนของคณะแพทย์ฯ เพราะดูทันสมัยเกินไป น่าจะเป็นหอศิลป์หรือไม่ก็พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยมากกว่า
“ใกล้จะสอบแล้ว อ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วล่ะ?” เขาชวนคุย
“ก็อ่านทุกวัน...”
“ดีเลย ติวให้เราด้วยนะ แล้วเล็คเชอร์น่ะเอามาให้เราซีร็อกซ์ซะดีดี”
ตั้งแต่ปีหนึ่งจนเข้าปีสี่ ณภัทรก็ยังเหมือนเดิม คงเห็นว่าไม่มีใครว่าอะไรจึงเรียน ๆ เล่น ๆ เล็คเชอร์ก็จดบ้างไม่จดบ้าง มาเรียนก็แอบหลับ แต่คนอย่างณภัทรจะต้องกังวลอะไร ถึงจะเรียนได้เกรดแย่แค่ไหน เรียนจบก็มีงานทำอยู่ดี หรือถึงแม้ว่าจะไม่ทำงาน ไม่ทำอะไรเลย ณภัทรก็ไม่มีวันอดตายอยู่แล้ว
“ตลอดอะ... ก็เห็นอัดคลิปที่อาจารย์สอนไว้แล้ว ยังจะเอาเล็คเชอร์อีกเหรอ ซีร็อกซ์ไปนี่อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้?”
“อ่านสิ เราอ่านหมดทุกตัวอักษรล่ะ”
“ให้มันจริงเถอะ”
“จริงสิ เราไม่ได้โกหก เราชอบอ่านลายมือริสา ไม่รู้เหรอ?” คนตอบสายตาเป็นประกาย สายตาที่มองคู่สนทนาเปี่ยมไปด้วยความหมาย
“นี่แสดงว่าลายมือเราสวย”
“โห!” คนพูดทำตาโตคล้ายจะล้อเลียน “อะไรกัน? ชมตัวเองก็เป็นด้วย” รอยยิ้มพราวผุดขึ้น ทำให้ใบหน้าดูกระจ่างมีเสน่ห์จนนิสิตสาว ๆ ที่เดินสวนมาพากันมองตามแล้วก็ยิ้มเขิน
“แน่ล่ะสิ ไม่มีใครชมเรา เราชมตัวเองก็ได้” ไอริสาเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“เราก็ชมริสาอยู่บ่อย ๆ จะหาว่าไม่มีใครชมได้ยังไง”
“ภัทรคงจะชมเราบ่อยเกินไปจนเราไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะมั้ง”
คนพูดยังยิ้มแย้มคล้ายไม่ได้อินังขังขอบกับคำพูดของตัวเอง ผิดกับคนฟังที่รอยยิ้มกว้างเลือนหายไป ชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อยเหมือนพยายามจะสะกดกลั้นความรู้สึกแล้วก็สลัดมันออกไปได้ในเสี้ยววินาที เขาชินเสียแล้วกับระยะห่างที่หญิงสาวมีให้ ตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งจนจวนเจียนจะจบการศึกษาอยู่รอมร่อ กริยาเอาอกเอาใจและคอยพะเน้าพะนออยู่ไม่ห่างของเขาทำให้คนที่สนิทชิดเชื้อต่างก็รู้ดีโดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย เพื่อน ๆ ในคณะทุกคนหรือแม้แต่ครูบาอาจารย์รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่บ้านต่างก็รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับหล่อน มีแต่เจ้าตัวคนเดียวที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของเขา
“เออ... จริงสิ! ที่บ้านมีลูกม้าตัวใหม่มา เย็นนี้ริสาอยากไปดูไหม?” เขาเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากฟังถ้อยคำที่ทำให้ปวดใจ
“จริงหรือ... พันธุ์อะไรล่ะ สวยหรือเปล่า?” คนฟังตาโตทันทีที่ได้ยินเรื่องถูกใจ
“พันธุ์อาหรับสีน้ำตาลแดง ตัวเล็กดูคล่องแคล่วดี แผงคอมันสวยเชียวแต่เราว่าหัวมันเล็กไปหน่อย น่าจะเป็นจิ้งจกมากกว่าจะเป็นม้า”
ไอริสาหัวเราะให้กับความคิดประหลาดของเพื่อน ที่บ้านของณภัทรมีคอกม้าและมีม้าสวย ๆ พันธุ์ดีหลายตัว เมื่อไรที่เขาชวนไปดูม้าหล่อนแทบจะไม่เคยปฏิเสธ ที่จริงแล้วบ้านณภัทรเรียกได้ว่ามีทุกอย่างจะถูกกว่า เพราะมีทั้งสระว่ายน้ำ คอร์ทเทนนิส สนามม้าไปจนถึงสนามกอล์ฟขนาดย่อม ณภัทรหัดขี่ม้าตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนไอริสาเพิ่งขออนุญาตคุณยายไปหัดตอนปีหนึ่งนี่เอง แม้จะใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่ไอริสาก็เรียนรู้และเข้ากับม้าได้ดีจนอาจารย์ผู้สอนยังเอ่ยปากชมว่าหล่อนมีทักษะดี
“อยากให้สอบเสร็จเร็ว ๆ จัง อยากขี่ม้า ไม่ได้ขี่มาตั้งนานแล้ว ถ้าเราเป็นภัทรนะจะขี่ม้าเล่นทุกวันเลย”
“ริสาก็ไปบ้านเราสิ ไปทุกวันก็ได้ แม่บ่นหาริสาด้วยว่าไม่ยอมไปที่บ้านบ้างเลย”
ชายหนุ่มอ้างชื่อมารดา อันที่จริงแม่ของเขาเพียงถามถึงหล่อนเท่านั้น ไม่ได้บ่นถึงอะไรมากมายอย่างที่เขาพูดสักนิด เมื่อไรที่ณภัทรอยากให้ไอริสาไปที่บ้าน เขาต้องหาเรื่องมาอ้างสารพัด แม่บ้าง ม้าบ้าง สารพัดจะยกมา ถึงแม้ว่าจะดูลำบากไปสักหน่อยแต่เขาก็พอใจให้มันเป็นแบบนี้ ถ้าไอริสาเป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่วิ่งแจ้นไปหาเขาถึงบ้านบ่อย ๆ โดยไม่ได้รับเชิญแล้วล่ะก็ เขาคงไม่ผูกจิตผูกใจไว้กับหล่อนได้นานขนาดนี้เป็นแน่
“รอให้สอบเสร็จก่อนเถอะจะตระเวนเที่ยวให้หนำใจ อยากไปทะเลอยากไปภูเขา จะไปให้หมดทุกที่เลย คอยดู!” หญิงสาวชะงักกึกเมื่อเห็นรอยยิ้มที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าชายหนุ่ม “ยิ้มอะไร?”
“ก็ขำโปรแกรมเที่ยวทั่วไทยของริสาน่ะสิ แล้วที่จะไปเที่ยวเนี่ยจะไปกับใครเหรอ มีบอดี้การ์ดหรือยัง?”
“ถามทำไม จะไปด้วยเหรอ?” รอยยิ้มแกมรู้ทันผุดขึ้นบนใบหน้างาม “ไม่ให้ไปหรอก”
“อ้าว! ทำไมล่ะ? เราเป็นคาราเต้นะ ดูแลปกป้องริสาได้สบาย อีกอย่างให้เราไปเป็นบอดี้การ์ดรับรองไม่มีหนุ่มหน้าไหนกล้ามาจีบ”
“ก็เพราะอย่างนั้นล่ะถึงไม่ให้ไป”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มจางหายไปเกือบจะทันทีที่ได้ยินคำพูดตัดรอนของหญิงสาว ใบหน้าจ๋อยสนิทของเขาทำให้หล่อนอดสงสารไม่ได้ แค่จะหยอกเล่นหน่อยเดียวทำเป็นใจน้อยไปได้
“เอาอย่างนี้มั้ย? แข่งขี่ม้ากัน... ถ้าภัทรชนะเรา เราจะยอมให้ภัทรไปด้วย”
“ไหนเคยบอกว่าแข่งกับเราไม่สนุกไง” เขาย้อนถาม
“ภัทรก็ตั้งใจแข่งหน่อยสิ เลิกแกล้งทำเป็นแพ้เราซะที...”
คำพูดของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มอึ้งไป นี่รู้ด้วยว่าเขาตั้งใจแพ้?
ไอริสาขี่ม้าเก่ง หล่อนไม่เคยกลัวเลยที่ต้องควบม้าเร็ว ๆ หรือกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ทั้งคู่แข่งขี่ม้ากันบ่อย ฝีไม้ฝีมือเรียกได้ว่าสูสี หลายครั้งที่เขาและหล่อนขี่ม้าตีคู่เสมอกัน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลจะหันมามองพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ ทำให้ความอยากเอาชนะของอีกฝ่ายมลายหายไปเสียดื้อ ๆ มันช่วยไม่ได้ที่เขาเต็มใจจะเป็นฝ่ายแพ้เพียงเพราะอยากจะเห็นรอยยิ้มกว้างนั้นซ้ำ ๆ
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ก่อนที่จะเดินดักหน้าดักหลังพร่ำขอโทษขอโพยหล่อนเป็นการใหญ่พร้อมเอาไอศกรีมถ้วยใหญ่เข้าล่อ นี่ถ้าหล่อนรู้ใจเขาเหมือนที่รู้ว่าเขาแกล้งแพ้มาตลอดก็คงจะดี...
“งั้นไปวันนี้เลยนะ” เขาชวน ความหวังเล็ก ๆ ผุดขึ้นมากลางใจ
“ไม่ได้หรอก... เราต้องรีบกลับบ้าน วันนี้คุณยายจะไปค้างที่วัด” แม้จะตอบอย่างแข็งขันแต่ในใจก็อดเสียดายไม่ได้
บริเวณทางเดินหน้าห้องเรียนเป็นหินอ่อนสีขาวปูตลอดแนว ด้านซ้ายมือเป็นที่นั่งยาวสำหรับนิสิตไว้ใช้นั่งอ่านหนังสือหรือรอเปลี่ยนห้องเรียน กระถางดินเผาขนาดใหญ่ใส่ต้นไม้วางอยู่เป็นระยะพอให้ชุ่มชื่น ตอนนี้จำนวนคนบนทางเดินค่อนข้างบางตาเพราะใกล้เวลาเรียนเต็มที ไอริสากวาดสายตาเข้าไปข้างในห้อง ห้องเรียนขนาดกว้างมีลักษณะลาดลงไปด้านหน้า เก้าอี้วางเป็นแถวต่างระดับกันเกือบร้อยตัวแต่มีคนจับจองเกือบหมด ไอริสากำลังมองหาที่นั่ง มีที่ว่างตรงแถวหน้าสุดพอดี
“นั่งตรงนี้เลยเหรอ? หลับไม่ได้สิเนี่ย”
ณภัทรบ่นงึมงำ ก็ใครที่ไหนเขาเลือกที่นั่งแบบนี้กัน ที่แบบนี้เขาเอาไว้ให้คนที่ตั้งใจเรียนสุด ๆ ไม่ใช่คนเรียนบ้างไม่เรียนบ้างอย่างเขา ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาอยากจะเปลี่ยนที่นั่งใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าเพราะคนที่มาด้วยนั่งลงไปแล้ว จำใจต้องนั่งลงตามอย่างไม่เต็มใจ
“งั้นริสาก็อยู่คนเดียวสิ ให้เราไปอยู่เป็นเพื่อนไหม?” แม้จะยังขัดใจเรื่องที่นั่ง แต่ก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่ต้องหรอก เราอยู่คนเดียวได้”
“แต่ว่า...” ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากแย้ง
“อาจารย์มาแล้ว!” หญิงสาวตัดบท
หลังจากนั้นไอริสาก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนไม่สนใจคนข้าง ๆ อีกเลย สิบนาทีผ่านไป นิสิตคนอื่น ๆ กำลังฟังอาจารย์อธิบายถึงส่วนผสมของยาชนิดหนึ่งกันอย่างตั้งใจ แต่ก็คงเป็นส่วนผสมที่ณภัทรไม่มีทางได้รู้เพราะชายหนุ่มกำลังเข้าเฝ้าพระอินทร์อย่างตั้งใจเช่นกัน เมื่ออาจารย์ปรายตามองมาไอริสาก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ พยายามสะกิดณภัทรเป็นระยะแต่ก็ไม่เป็นผล หล่อนเหลือบมองชายหนุ่มที่กำลังหลับตาพริ้มซบหน้าอยู่กับท่อนแขนของตัวเองแล้วจึงส่ายหน้าเบา ๆ
“ไหนบอกว่าหลับไม่ได้ไง...”
บุหลันลอยเลื่อน ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
เสียงตึงตังดังมาจากหลังประตูไม้หนาที่ปิดสนิทบานหนึ่งของบ้านเรือนไทยหลังคาทรงสูง แสงแดดที่ลอดผ่านระเบียงเข้ามาค่อนข้างจัด บ่งบอกว่าเป็นเวลาสายพอสมควร เรือนหลังนี้เป็นเรือนยกใต้ถุนตามแบบเรือนไทยสมัยโบราณ ชายคาบ้านยาวออกไปนอกตัวบ้านเพื่อบังแดดบังฝน ปกคลุมทั่วบริเวณระเบียงที่ยื่นออกมาทางทิศตะวันออก หากนั่งบนระเบียงฝั่งนี้จะมองเห็นสวนที่เต็มไปด้วยผลไม้ทั้งขนุน ชมพู่ น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอและดอกไม้สีสันต่าง ๆ ที่ออกดอกบานสะพรั่งตัดกันเต็มไปหมด
ถัดมาอีกไม่ไกลเป็นบริเวณชานไม้ไม่มีหลังคา อาศัยก็แต่ไม้ใหญ่ปกคลุมให้ร่มเงา มีม้านั่งยาวทำด้วยไม้สำหรับนั่งเล่น หมอนใบเล็กบุผ้าฝ้ายทอมือสีแดง สีเหลือง สีน้ำตาลถูกวางสลับไว้ ใช้หนุนก็ได้ ใช้อิงก็ได้ ทิศตะวันตกของบ้านติดกับคลองลัดมะยม ทุกวันจะมีชาวบ้านพายเรือนำผัก ผลไม้หรืออาหารคาวหวานไปขายที่ตลาด บางวันจะมีเด็ก ๆ มากระโดดน้ำเล่นทำให้คลองแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา บ้านที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังแบบนี้ จะทำอะไรแต่ละทีเสียงดังโครมครามได้ยินไปทั่วบ้าน คนที่อยู่ในห้องพยายามแล้วที่จะส่งเสียงให้น้อยที่สุด แต่ในเวลาที่กำลังรีบแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีเสียงเล็ดลอดไปจนถึงข้างนอก
“ริสา ทำอะไรน่ะลูก? เสียงดังเชียว”
หญิงสาวร่างบางในชุดนิสิตเปิดประตูผางออกมา ในมือมีทั้งสมุดหนังสือ ตำราเรียนเล่มโต โทรศัพท์มือถือและกุญแจรถพะรุงพะรังไปหมด ดวงตากลมโตยังมีแววอ่อนล้าคล้ายอดนอน ใบหน้างามกระจ่างใสปราศจากเครื่องสำอางขมวดมุ่นมีร่องรอยของความเร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนหล่อนนอนดึกไปหน่อยเพราะมัวแต่ไปดูควายที่บ้านป้าจันออกลูก ป้าจันได้แม่ของมันมาจากตลาดควาย คนเขากำลังจะเอามันไปฆ่า แกสงสารจึงไปซื้อมาเลี้ยงไว้โดยที่ไม่รู้ว่ามันกำลังตั้งท้อง ชาวบ้านแห่ไปดูควายตัวใหม่กันจนเต็มลานคอก หล่อนก็ไปดูกับเขาด้วย แม่ควายตัวโตยืนเบ่งอยู่นานสองนานกว่าลูกของมันจะหล่นตุ๊บลงมาพร้อมถุงน้ำคร่ำที่แตกกระจาย ลูกควายตัวใหม่น่ารักน่าชัง ตาใสแจ๋วน่าเอ็นดู หญิงสาวยืนลุ้นให้มันลุกยืนขณะที่แม่ของมันเอาใจช่วยอยู่ข้าง ๆ เกือบสองชั่วโมงลูกควายตัวน้อยจึงตั้งไข่ได้
“ตื่นสายไปหน่อยค่ะคุณยาย ริสาไม่กินข้าวนะคะ ต้องไปแล้ว”
หญิงสูงวัยในชุดผ้าซิ่นยาวก้าวออกมาจากห้องครัว ทันได้ยินเสียงพูดรัว ๆ และเสียงวิ่งซอยเท้าตึง ๆ ลงบันไดไป ซึ่งบอกชัดว่าคนพูดคงกำลังรีบจริง ๆ เป็นแบบนี้ทุกที เวลาเจออะไรถูกใจก็สนุกจนลืมเวลา เมื่อคืนกว่าจะกลับบ้านได้ก็เกือบตีสอง
ร่างสูงเพรียวในชุดนิสิตวิ่งเอาของไปเก็บในรถโฟล์คเต่าสีเขียวมะนาวคันเล็กแล้วทำท่าจะเดินไปเปิดประตูรั้ว ปลายผมดำยาวสลวยสะบัดเบา ๆ ตามแรงลม
“รีบไปเถอะจ๊ะ เดี๋ยวยายเปิดประตูให้...”
ผู้สูงวัยกว่าพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแฝงไปด้วยความเอ็นดู ประตูไม้สีเขียวสภาพกลางเก่ากลางใหม่ถูกเปิดอ้ารอ เสียงสตาร์ทรถทำให้คุณยายเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงเดินอ้อมไปทางฝั่งคนขับและยืนรออยู่หน้าประตูรั้วด้วยท่าทีใจเย็น
“คุณยายมีอะไรเหรอคะ?” ไอริสาลดกระจกลงพร้อมส่งยิ้มกว้าง
“วันนี้ยายจะไปปฏิบัติธรรม จำได้หรือเปล่า?”
“จำได้ค่ะคุณยาย... แล้วริสาจะรีบกลับค่ะ”
“ดีจ๊ะ” คุณยายพยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจขณะที่มองหลานสาวขับรถออกไป ไม่ห่วง ไม่กังวล...
คุณยายศรีหันหลังกลับขึ้นเรือนก้มหน้าเล็กน้อย ย่างเท้าก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ อย่างมีสติ จดจ่ออยู่กับลมหายใจของตัวเอง เสียงเรือหางยาวแล่นผ่านคลองหลังบ้านดังสนั่นจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดรอบตัว ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกระซิบเตือนที่กำลังลอยผ่านมาตามสายลมอันแผ่วเบา
โชคชะตาที่ถูกกำหนด ผู้ใดเล่า...จะหาญกล้าฝ่าฝืน
“ริสา! นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาดีเดินเข้ามาทักทีที่เขาเห็นหล่อน
“รีบแทบแย่แน่ะภัทร”
ไอริสาหยิบหนังสือที่วางอยู่ด้านหลังและปิดล็อครถอย่างรีบร้อน วิชาแรกวันนี้ไม่ใช่วิชาบังคับของคณะฯ แต่เป็นวิชาเลือกที่ณภัทรบ่นแล้วบ่นอีกว่าไอริสาเลือกวิชายากทำให้เขามีสิทธิอดได้เกรดเฉลี่ยสูง ๆ ในเทอมนี้ แต่จนแล้วจนรอดคนที่บ่นไม่หยุดก็ตามมาเรียนด้วยจนได้
ทั้งคู่เดินมาด้วยกันตามทางเดินเพื่อขึ้นตึก อาคารคณะแพทย์ศาสตร์เป็นอาคารสีขาวสูง 18 ชั้น รูปทรงมีดีไซน์แปลกตา คนส่วนใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยกับที่นี่มักจะไม่คิดว่าที่นี่เป็นอาคารเรียนของคณะแพทย์ฯ เพราะดูทันสมัยเกินไป น่าจะเป็นหอศิลป์หรือไม่ก็พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยมากกว่า
“ใกล้จะสอบแล้ว อ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วล่ะ?” เขาชวนคุย
“ก็อ่านทุกวัน...”
“ดีเลย ติวให้เราด้วยนะ แล้วเล็คเชอร์น่ะเอามาให้เราซีร็อกซ์ซะดีดี”
ตั้งแต่ปีหนึ่งจนเข้าปีสี่ ณภัทรก็ยังเหมือนเดิม คงเห็นว่าไม่มีใครว่าอะไรจึงเรียน ๆ เล่น ๆ เล็คเชอร์ก็จดบ้างไม่จดบ้าง มาเรียนก็แอบหลับ แต่คนอย่างณภัทรจะต้องกังวลอะไร ถึงจะเรียนได้เกรดแย่แค่ไหน เรียนจบก็มีงานทำอยู่ดี หรือถึงแม้ว่าจะไม่ทำงาน ไม่ทำอะไรเลย ณภัทรก็ไม่มีวันอดตายอยู่แล้ว
“ตลอดอะ... ก็เห็นอัดคลิปที่อาจารย์สอนไว้แล้ว ยังจะเอาเล็คเชอร์อีกเหรอ ซีร็อกซ์ไปนี่อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้?”
“อ่านสิ เราอ่านหมดทุกตัวอักษรล่ะ”
“ให้มันจริงเถอะ”
“จริงสิ เราไม่ได้โกหก เราชอบอ่านลายมือริสา ไม่รู้เหรอ?” คนตอบสายตาเป็นประกาย สายตาที่มองคู่สนทนาเปี่ยมไปด้วยความหมาย
“นี่แสดงว่าลายมือเราสวย”
“โห!” คนพูดทำตาโตคล้ายจะล้อเลียน “อะไรกัน? ชมตัวเองก็เป็นด้วย” รอยยิ้มพราวผุดขึ้น ทำให้ใบหน้าดูกระจ่างมีเสน่ห์จนนิสิตสาว ๆ ที่เดินสวนมาพากันมองตามแล้วก็ยิ้มเขิน
“แน่ล่ะสิ ไม่มีใครชมเรา เราชมตัวเองก็ได้” ไอริสาเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“เราก็ชมริสาอยู่บ่อย ๆ จะหาว่าไม่มีใครชมได้ยังไง”
“ภัทรคงจะชมเราบ่อยเกินไปจนเราไม่รู้สึกอะไรแล้วล่ะมั้ง”
คนพูดยังยิ้มแย้มคล้ายไม่ได้อินังขังขอบกับคำพูดของตัวเอง ผิดกับคนฟังที่รอยยิ้มกว้างเลือนหายไป ชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อยเหมือนพยายามจะสะกดกลั้นความรู้สึกแล้วก็สลัดมันออกไปได้ในเสี้ยววินาที เขาชินเสียแล้วกับระยะห่างที่หญิงสาวมีให้ ตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งจนจวนเจียนจะจบการศึกษาอยู่รอมร่อ กริยาเอาอกเอาใจและคอยพะเน้าพะนออยู่ไม่ห่างของเขาทำให้คนที่สนิทชิดเชื้อต่างก็รู้ดีโดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย เพื่อน ๆ ในคณะทุกคนหรือแม้แต่ครูบาอาจารย์รวมไปถึงผู้ใหญ่ที่บ้านต่างก็รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับหล่อน มีแต่เจ้าตัวคนเดียวที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของเขา
“เออ... จริงสิ! ที่บ้านมีลูกม้าตัวใหม่มา เย็นนี้ริสาอยากไปดูไหม?” เขาเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากฟังถ้อยคำที่ทำให้ปวดใจ
“จริงหรือ... พันธุ์อะไรล่ะ สวยหรือเปล่า?” คนฟังตาโตทันทีที่ได้ยินเรื่องถูกใจ
“พันธุ์อาหรับสีน้ำตาลแดง ตัวเล็กดูคล่องแคล่วดี แผงคอมันสวยเชียวแต่เราว่าหัวมันเล็กไปหน่อย น่าจะเป็นจิ้งจกมากกว่าจะเป็นม้า”
ไอริสาหัวเราะให้กับความคิดประหลาดของเพื่อน ที่บ้านของณภัทรมีคอกม้าและมีม้าสวย ๆ พันธุ์ดีหลายตัว เมื่อไรที่เขาชวนไปดูม้าหล่อนแทบจะไม่เคยปฏิเสธ ที่จริงแล้วบ้านณภัทรเรียกได้ว่ามีทุกอย่างจะถูกกว่า เพราะมีทั้งสระว่ายน้ำ คอร์ทเทนนิส สนามม้าไปจนถึงสนามกอล์ฟขนาดย่อม ณภัทรหัดขี่ม้าตั้งแต่เด็ก ๆ ส่วนไอริสาเพิ่งขออนุญาตคุณยายไปหัดตอนปีหนึ่งนี่เอง แม้จะใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่ไอริสาก็เรียนรู้และเข้ากับม้าได้ดีจนอาจารย์ผู้สอนยังเอ่ยปากชมว่าหล่อนมีทักษะดี
“อยากให้สอบเสร็จเร็ว ๆ จัง อยากขี่ม้า ไม่ได้ขี่มาตั้งนานแล้ว ถ้าเราเป็นภัทรนะจะขี่ม้าเล่นทุกวันเลย”
“ริสาก็ไปบ้านเราสิ ไปทุกวันก็ได้ แม่บ่นหาริสาด้วยว่าไม่ยอมไปที่บ้านบ้างเลย”
ชายหนุ่มอ้างชื่อมารดา อันที่จริงแม่ของเขาเพียงถามถึงหล่อนเท่านั้น ไม่ได้บ่นถึงอะไรมากมายอย่างที่เขาพูดสักนิด เมื่อไรที่ณภัทรอยากให้ไอริสาไปที่บ้าน เขาต้องหาเรื่องมาอ้างสารพัด แม่บ้าง ม้าบ้าง สารพัดจะยกมา ถึงแม้ว่าจะดูลำบากไปสักหน่อยแต่เขาก็พอใจให้มันเป็นแบบนี้ ถ้าไอริสาเป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่วิ่งแจ้นไปหาเขาถึงบ้านบ่อย ๆ โดยไม่ได้รับเชิญแล้วล่ะก็ เขาคงไม่ผูกจิตผูกใจไว้กับหล่อนได้นานขนาดนี้เป็นแน่
“รอให้สอบเสร็จก่อนเถอะจะตระเวนเที่ยวให้หนำใจ อยากไปทะเลอยากไปภูเขา จะไปให้หมดทุกที่เลย คอยดู!” หญิงสาวชะงักกึกเมื่อเห็นรอยยิ้มที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าชายหนุ่ม “ยิ้มอะไร?”
“ก็ขำโปรแกรมเที่ยวทั่วไทยของริสาน่ะสิ แล้วที่จะไปเที่ยวเนี่ยจะไปกับใครเหรอ มีบอดี้การ์ดหรือยัง?”
“ถามทำไม จะไปด้วยเหรอ?” รอยยิ้มแกมรู้ทันผุดขึ้นบนใบหน้างาม “ไม่ให้ไปหรอก”
“อ้าว! ทำไมล่ะ? เราเป็นคาราเต้นะ ดูแลปกป้องริสาได้สบาย อีกอย่างให้เราไปเป็นบอดี้การ์ดรับรองไม่มีหนุ่มหน้าไหนกล้ามาจีบ”
“ก็เพราะอย่างนั้นล่ะถึงไม่ให้ไป”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มจางหายไปเกือบจะทันทีที่ได้ยินคำพูดตัดรอนของหญิงสาว ใบหน้าจ๋อยสนิทของเขาทำให้หล่อนอดสงสารไม่ได้ แค่จะหยอกเล่นหน่อยเดียวทำเป็นใจน้อยไปได้
“เอาอย่างนี้มั้ย? แข่งขี่ม้ากัน... ถ้าภัทรชนะเรา เราจะยอมให้ภัทรไปด้วย”
“ไหนเคยบอกว่าแข่งกับเราไม่สนุกไง” เขาย้อนถาม
“ภัทรก็ตั้งใจแข่งหน่อยสิ เลิกแกล้งทำเป็นแพ้เราซะที...”
คำพูดของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มอึ้งไป นี่รู้ด้วยว่าเขาตั้งใจแพ้?
ไอริสาขี่ม้าเก่ง หล่อนไม่เคยกลัวเลยที่ต้องควบม้าเร็ว ๆ หรือกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ทั้งคู่แข่งขี่ม้ากันบ่อย ฝีไม้ฝีมือเรียกได้ว่าสูสี หลายครั้งที่เขาและหล่อนขี่ม้าตีคู่เสมอกัน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลจะหันมามองพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ ทำให้ความอยากเอาชนะของอีกฝ่ายมลายหายไปเสียดื้อ ๆ มันช่วยไม่ได้ที่เขาเต็มใจจะเป็นฝ่ายแพ้เพียงเพราะอยากจะเห็นรอยยิ้มกว้างนั้นซ้ำ ๆ
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ก่อนที่จะเดินดักหน้าดักหลังพร่ำขอโทษขอโพยหล่อนเป็นการใหญ่พร้อมเอาไอศกรีมถ้วยใหญ่เข้าล่อ นี่ถ้าหล่อนรู้ใจเขาเหมือนที่รู้ว่าเขาแกล้งแพ้มาตลอดก็คงจะดี...
“งั้นไปวันนี้เลยนะ” เขาชวน ความหวังเล็ก ๆ ผุดขึ้นมากลางใจ
“ไม่ได้หรอก... เราต้องรีบกลับบ้าน วันนี้คุณยายจะไปค้างที่วัด” แม้จะตอบอย่างแข็งขันแต่ในใจก็อดเสียดายไม่ได้
บริเวณทางเดินหน้าห้องเรียนเป็นหินอ่อนสีขาวปูตลอดแนว ด้านซ้ายมือเป็นที่นั่งยาวสำหรับนิสิตไว้ใช้นั่งอ่านหนังสือหรือรอเปลี่ยนห้องเรียน กระถางดินเผาขนาดใหญ่ใส่ต้นไม้วางอยู่เป็นระยะพอให้ชุ่มชื่น ตอนนี้จำนวนคนบนทางเดินค่อนข้างบางตาเพราะใกล้เวลาเรียนเต็มที ไอริสากวาดสายตาเข้าไปข้างในห้อง ห้องเรียนขนาดกว้างมีลักษณะลาดลงไปด้านหน้า เก้าอี้วางเป็นแถวต่างระดับกันเกือบร้อยตัวแต่มีคนจับจองเกือบหมด ไอริสากำลังมองหาที่นั่ง มีที่ว่างตรงแถวหน้าสุดพอดี
“นั่งตรงนี้เลยเหรอ? หลับไม่ได้สิเนี่ย”
ณภัทรบ่นงึมงำ ก็ใครที่ไหนเขาเลือกที่นั่งแบบนี้กัน ที่แบบนี้เขาเอาไว้ให้คนที่ตั้งใจเรียนสุด ๆ ไม่ใช่คนเรียนบ้างไม่เรียนบ้างอย่างเขา ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาอยากจะเปลี่ยนที่นั่งใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าเพราะคนที่มาด้วยนั่งลงไปแล้ว จำใจต้องนั่งลงตามอย่างไม่เต็มใจ
“งั้นริสาก็อยู่คนเดียวสิ ให้เราไปอยู่เป็นเพื่อนไหม?” แม้จะยังขัดใจเรื่องที่นั่ง แต่ก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่ต้องหรอก เราอยู่คนเดียวได้”
“แต่ว่า...” ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากแย้ง
“อาจารย์มาแล้ว!” หญิงสาวตัดบท
หลังจากนั้นไอริสาก็ก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนไม่สนใจคนข้าง ๆ อีกเลย สิบนาทีผ่านไป นิสิตคนอื่น ๆ กำลังฟังอาจารย์อธิบายถึงส่วนผสมของยาชนิดหนึ่งกันอย่างตั้งใจ แต่ก็คงเป็นส่วนผสมที่ณภัทรไม่มีทางได้รู้เพราะชายหนุ่มกำลังเข้าเฝ้าพระอินทร์อย่างตั้งใจเช่นกัน เมื่ออาจารย์ปรายตามองมาไอริสาก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ พยายามสะกิดณภัทรเป็นระยะแต่ก็ไม่เป็นผล หล่อนเหลือบมองชายหนุ่มที่กำลังหลับตาพริ้มซบหน้าอยู่กับท่อนแขนของตัวเองแล้วจึงส่ายหน้าเบา ๆ
“ไหนบอกว่าหลับไม่ได้ไง...”