
การเดินทางของ เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต ถูกจารึกไว้น้อยมากทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นนักสำรวจและนักเขียน ถ้าหากตามหาจากพงศาวดารของแต่ละประเทศก็จะพบกับชื่อเขาถูกจารึกไว้อยู่บ้าง เขาเป็นใคร ไม่ได้เป็นทหารยศสูงไม่ได้เป็นราชวงศ์ เป็นเพียงชายโปรตุเกสจากบ้านนอกๆ ที่พลักดันตัวเองเพื่อการออกเดินทางไปกับเรือสำเภา ปินโต เป็นเหมือนนักการทูต เขารู้จักและศึกษาวัฒนธรรมของหลายๆประเทศ
ออกเดินทางจากโปรตุเกสในปี ค.ศ.1537 กับเรือ Portuguese India Armadas เรือสำเภาหลวงของโปรตุเกสเดินทางเพื่อจุดประสงค์ในการค้าขาย สำรวจ และทางการทหาร ออกเดินทางจาก ลิสบอน จุดหมายสู่ประเทศราช อินเดีย ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการเดินทางเข้าเทียบท่าทางตอนเหนือของ บอมเบย์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1539 ได้รับภารกิจในการเดินทางเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปินโต เดินทางถึงมะละกาทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราเพื่อค้าขาย แต่ภารกิจอื่นไม่ประสบความสำเร็จนักเพราะยังคงเป็นปรปักษ์ต่อมุสลิม เดินทางต่อผ่านคาบสมุทรมาเลย์ฝั่งตะวันออกสู่ เมืองปาตานี (ปัตตานี) และออกเดินทางต่อเพื่อจะเข้าสานสัมพันธไมตรีและค้าขายกับประเทศสยาม(กรุงศรีอยุธยา) แต่ระหว่างทางถูกโจรสลัดเข้าปล้นจึงหันหัวเรือออกไปทางอ่าวตังเกี๋ย (สยามประเทศพลาดในการซื้อขายครั้งสำคัญไปอย่างเฉียดฉิว แต่ยังไม่บอกนะครับว่าอะไรอยู่บนสำเภา)

เดินทางต่อไปเทียบท่ายังประเทศจีน ปินโตเข้าเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนทันที แต่เนื่องด้วยจากจีนในสมัยนั้นยังคงไม่เป็นไมตรีนักกับโปรตุเกส ปินโต ทำผิดจารีตประเพณีของจีนในการบุกรุกราชสถานของมหาจักรพรรดิจึงต้องโทษเป็นแรงงานไปสร้างกำแพงเมืองจีนอยู่ 1 ปี เมื่อพ้นโทษ ปินโตจึงออกเดินทางต่อกับพวก ตาตาร์ (เป็นพวกมองโกลผสมรัสเซียถ้าในยุคนั้นเดาว่าจักรวรรดิรัสเซียยังไม่ปลดแอก) มายังตอนใต้ของจีน (เวียดนาม) ในบันทึกของ ปินโต ระบุเอาไว้ว่าเขาได้พบกับผู้นำทางศาสนาที่เหมือนกับ สมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งมีการคาดเดาก่อนต่อมาว่าน่าจะคือ องค์ดาไลลามะ แต่ชาวยุโรปอาจจะไม่เคยได้ยิน
ปินโต กับพวกอีก2คน หนีขึ้นเรือโจรสลัด และไปเรือแตกอยู่ที่เกาะในเขตประประเทศญี่ปุ่นทางตอนใต้ของ คิวชิว ต่อมามีการกล่าวอ้างกันว่า ปินโตและเพื่อนเป็นชาวตะวันตกกลุ่มแรกที่เข้าสู่ญี่ปุ่น
เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไปตลอดกาล
ราวๆปี ค.ศ.1542 ปินโต เร่งเจริญสัมพันธไมตรีกับ ไดเมียว โอดะ โนะบุนางะ เปิดท่าทำการค้าขายให้สำเภาโปรตุเกสเข้าเทียบท่า และจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ของสำเภาโปรตุเกสหลายลำที่เข้ามาในทวีปเอเชีย นอกจากทำการค้าขายสินค้า และเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว หากแต่สำเภาโปรตุเกสทุกลำขนสรรพาวุธปืนไฟติดมาด้วยทุกลำ ปินโต นำปืนไฟ (ปืนคาบชุด Matchlock) สาธิตให้กับ ไดเมียว โอดะ ได้ชม กล่าวในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเคยมีระบุไว้ว่า กองทัพญี่ปุ่นเคยเผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกในปี 1259 เมือจักรพรรดิกุบไรข่านรุกรานญี่ปุ่น ส่งผลให้กองทัพญี่ปุ่นเสียหายย่อยยับแต่ก็ยังสามารถรักษาอธิปไตยเอาไว้ได้ ไดเมียว โอดะ ชื่นชอบในปืนไฟมากจึงได้ซื้อเอาไว้เป็นจำนวนมาก และนำให้กองทหารนำไปฝึกวิธีการใช้งาน ต่อมาจึงให้ช่างชาวญี่ปุ่นนำกลไกรของปืนและนำไปผลิตขึ้นมาเอง ต่อมามันได้ชื่อว่า Tanegashima เมื่อผลิตเองได้มากแล้วจึงฝึกกองทหารราบด้วยชาวนาหรือที่รู้จักกันในชื่อ “อาชิการุ” ทหารราบติดปืนเหมือนชาวยุโรป รบในรูปแบบยุโรป ในปี ค.ศ.1575 โนบุนางะ นำกองทหารติดอาวุธปืนยึดปราสาท นางาชิโน และตั้งตนเป็น โชกุน ด้วยความได้เปรียบที่มีความแม่นยำและยิงได้ไกลและหวังผลกว่าธนู และสามารถระดมยิงใส่ทหารดาบก่อนประชิดถึงตัว ในแนวป้องกันยังสามารถติดดาบปลายปืนที่ปลายลำกล้องใช้แทนหอกได้ ด้วยความได้เปรียบทุกประการจึงทำให้ทหารของทาเคดะล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อ โอดะ โนบุนาระถึงแก่อนิจกรรม โตโยโตมิ ได้รับตำแหน่งโชกุนแทน และสร้างกองทหารในการรุกรานประเทศเกาหลีในปี 1592 ปืนและกองทหารราบของญี่ปุ่นสามารถสู้รบกับทหารเกาหลีที่มากกว่าหลายเท่าตัวได้ด้วยการตั้งรับและสร้างแนวยิง ต่อมาญี่ปุ่นถอนทัพกลับเพราะ โตโยโตมิถึงอนิจกรรมในปี 1598 ต่อมาในปี 1603 โทกุงาวะ อิเยยะสึ ดำเนินนโยบายเพื่อความมั่นคงในประเทศเพื่อป้องกันตำแหน่งของตนจึงสั่งให้ญี่ปุ่นปิดประเทศห้ามค้าขายกับชาวต่างชาติเพื่อความมั่นคงในสถานภาพของ โชกุน ต่อก็มาก้าวเข้าสู่สงครามที่ยาวนานที่สุดของญี่ปุ่นเป็นการแย่งชิงกันขึ้นเป็นใหญ่ของเหล่าขุนนางต่างตั้งตนเป็นโชกุน สร้างกองทัพ ลักลอบนำเข้าค้างขายติดต่อซื้ออาวุธกับต่างชาติเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ
250 ปี ในการปิดประเทศญี่ปุ่น นายพลแมททิว เพอร์รี่ จากสหรัฐอเมริกา ขู่ให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศมิเช่นนั้นจะทำการเอากองเรือเข้าบุก (นี่อเมริกามันนิสัยแบบนี้มานานแล้วนะ 555) ตอนแรกญี่ปุ่นแข็งข้อไม่ยอมเปิดก็เลยโดนระดมยิงด้วยปืนใหญ่จากเรือจนมืดฟ้ามัวดิน สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ผู้ที่มีการฝักใฝ่ทางการต่างประเทศทรงรับสั่งให้เปิดประเทศต้อนรับการมาเยือนของเพื่อนที่แสนดีจากทะเลอันไกลโพ้น สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ด้วยการช่วยเหลือของอเมริกาทางด้านอาวุธสมัยใหม่เข้ายึดอำนาจจาก โชกุนโทกุงาวะ โยชิโนบุ (หาดูเรื่อง The Last Samurai) มีการจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่ด้วยการมาของอาวุธปืนแบบ ฟริ๊นท์ล็อก (Flintlock) เทคโนโลยี่สมัยใหม่สามารถบรรจุกระสุนจากทางด้านท้ายปืนบรรจุได้รวดเร็วและยิงได้อย่างรวดเร็ว อเมริกาขายให้ญี่ปุ่นด้วยสนธิสัญญาห้ามผลิตใช้เอง แต่อเมริกาไม่ยอมขายปืนไรเฟิลยุคใหม่ที่เป็นเทคโนโลยี่สมัยใหม่ให้กับญี่ปุ่นเพราะเกรงว่าจะกลับมาเป็นภัยต่อตน ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ อยากได้ปืนชนิดใหม่นี้มาประจำกองทัพมาก แต่อย่างไรอเมริกาก็ไม่ยอมขายให้ แต่ว่าส่งกองทหารอเมริกันเองที่มาร่วมรบกับเหล่าขุนนางเพื่อรวมประเทศแทน ต่อมาญี่ปุ่นได้ลักลอบศึกษาและนำมาผลิตเองในที่สุด
จากปืนไฟของโปรตุเกสในวันนั้นทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคหลายสมัย
บทต่อไปผมจะกล่าวถึงความเป็นมาการแพร่หลายของปืนไฟในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงปืนไฟที่กู้เอกราชของสยามประเทศ
เมื่อ เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต นิราศโปรตุเกส เดินทางถึงสยามประเทศ
เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต ชายผู้เปลี่ยนเอเชียไปตลอดกาล
การเดินทางของ เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต ถูกจารึกไว้น้อยมากทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นนักสำรวจและนักเขียน ถ้าหากตามหาจากพงศาวดารของแต่ละประเทศก็จะพบกับชื่อเขาถูกจารึกไว้อยู่บ้าง เขาเป็นใคร ไม่ได้เป็นทหารยศสูงไม่ได้เป็นราชวงศ์ เป็นเพียงชายโปรตุเกสจากบ้านนอกๆ ที่พลักดันตัวเองเพื่อการออกเดินทางไปกับเรือสำเภา ปินโต เป็นเหมือนนักการทูต เขารู้จักและศึกษาวัฒนธรรมของหลายๆประเทศ
ออกเดินทางจากโปรตุเกสในปี ค.ศ.1537 กับเรือ Portuguese India Armadas เรือสำเภาหลวงของโปรตุเกสเดินทางเพื่อจุดประสงค์ในการค้าขาย สำรวจ และทางการทหาร ออกเดินทางจาก ลิสบอน จุดหมายสู่ประเทศราช อินเดีย ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการเดินทางเข้าเทียบท่าทางตอนเหนือของ บอมเบย์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1539 ได้รับภารกิจในการเดินทางเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปินโต เดินทางถึงมะละกาทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราเพื่อค้าขาย แต่ภารกิจอื่นไม่ประสบความสำเร็จนักเพราะยังคงเป็นปรปักษ์ต่อมุสลิม เดินทางต่อผ่านคาบสมุทรมาเลย์ฝั่งตะวันออกสู่ เมืองปาตานี (ปัตตานี) และออกเดินทางต่อเพื่อจะเข้าสานสัมพันธไมตรีและค้าขายกับประเทศสยาม(กรุงศรีอยุธยา) แต่ระหว่างทางถูกโจรสลัดเข้าปล้นจึงหันหัวเรือออกไปทางอ่าวตังเกี๋ย (สยามประเทศพลาดในการซื้อขายครั้งสำคัญไปอย่างเฉียดฉิว แต่ยังไม่บอกนะครับว่าอะไรอยู่บนสำเภา)
เดินทางต่อไปเทียบท่ายังประเทศจีน ปินโตเข้าเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนทันที แต่เนื่องด้วยจากจีนในสมัยนั้นยังคงไม่เป็นไมตรีนักกับโปรตุเกส ปินโต ทำผิดจารีตประเพณีของจีนในการบุกรุกราชสถานของมหาจักรพรรดิจึงต้องโทษเป็นแรงงานไปสร้างกำแพงเมืองจีนอยู่ 1 ปี เมื่อพ้นโทษ ปินโตจึงออกเดินทางต่อกับพวก ตาตาร์ (เป็นพวกมองโกลผสมรัสเซียถ้าในยุคนั้นเดาว่าจักรวรรดิรัสเซียยังไม่ปลดแอก) มายังตอนใต้ของจีน (เวียดนาม) ในบันทึกของ ปินโต ระบุเอาไว้ว่าเขาได้พบกับผู้นำทางศาสนาที่เหมือนกับ สมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งมีการคาดเดาก่อนต่อมาว่าน่าจะคือ องค์ดาไลลามะ แต่ชาวยุโรปอาจจะไม่เคยได้ยิน
ปินโต กับพวกอีก2คน หนีขึ้นเรือโจรสลัด และไปเรือแตกอยู่ที่เกาะในเขตประประเทศญี่ปุ่นทางตอนใต้ของ คิวชิว ต่อมามีการกล่าวอ้างกันว่า ปินโตและเพื่อนเป็นชาวตะวันตกกลุ่มแรกที่เข้าสู่ญี่ปุ่น
เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไปตลอดกาล
ราวๆปี ค.ศ.1542 ปินโต เร่งเจริญสัมพันธไมตรีกับ ไดเมียว โอดะ โนะบุนางะ เปิดท่าทำการค้าขายให้สำเภาโปรตุเกสเข้าเทียบท่า และจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ของสำเภาโปรตุเกสหลายลำที่เข้ามาในทวีปเอเชีย นอกจากทำการค้าขายสินค้า และเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว หากแต่สำเภาโปรตุเกสทุกลำขนสรรพาวุธปืนไฟติดมาด้วยทุกลำ ปินโต นำปืนไฟ (ปืนคาบชุด Matchlock) สาธิตให้กับ ไดเมียว โอดะ ได้ชม กล่าวในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเคยมีระบุไว้ว่า กองทัพญี่ปุ่นเคยเผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกในปี 1259 เมือจักรพรรดิกุบไรข่านรุกรานญี่ปุ่น ส่งผลให้กองทัพญี่ปุ่นเสียหายย่อยยับแต่ก็ยังสามารถรักษาอธิปไตยเอาไว้ได้ ไดเมียว โอดะ ชื่นชอบในปืนไฟมากจึงได้ซื้อเอาไว้เป็นจำนวนมาก และนำให้กองทหารนำไปฝึกวิธีการใช้งาน ต่อมาจึงให้ช่างชาวญี่ปุ่นนำกลไกรของปืนและนำไปผลิตขึ้นมาเอง ต่อมามันได้ชื่อว่า Tanegashima เมื่อผลิตเองได้มากแล้วจึงฝึกกองทหารราบด้วยชาวนาหรือที่รู้จักกันในชื่อ “อาชิการุ” ทหารราบติดปืนเหมือนชาวยุโรป รบในรูปแบบยุโรป ในปี ค.ศ.1575 โนบุนางะ นำกองทหารติดอาวุธปืนยึดปราสาท นางาชิโน และตั้งตนเป็น โชกุน ด้วยความได้เปรียบที่มีความแม่นยำและยิงได้ไกลและหวังผลกว่าธนู และสามารถระดมยิงใส่ทหารดาบก่อนประชิดถึงตัว ในแนวป้องกันยังสามารถติดดาบปลายปืนที่ปลายลำกล้องใช้แทนหอกได้ ด้วยความได้เปรียบทุกประการจึงทำให้ทหารของทาเคดะล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อ โอดะ โนบุนาระถึงแก่อนิจกรรม โตโยโตมิ ได้รับตำแหน่งโชกุนแทน และสร้างกองทหารในการรุกรานประเทศเกาหลีในปี 1592 ปืนและกองทหารราบของญี่ปุ่นสามารถสู้รบกับทหารเกาหลีที่มากกว่าหลายเท่าตัวได้ด้วยการตั้งรับและสร้างแนวยิง ต่อมาญี่ปุ่นถอนทัพกลับเพราะ โตโยโตมิถึงอนิจกรรมในปี 1598 ต่อมาในปี 1603 โทกุงาวะ อิเยยะสึ ดำเนินนโยบายเพื่อความมั่นคงในประเทศเพื่อป้องกันตำแหน่งของตนจึงสั่งให้ญี่ปุ่นปิดประเทศห้ามค้าขายกับชาวต่างชาติเพื่อความมั่นคงในสถานภาพของ โชกุน ต่อก็มาก้าวเข้าสู่สงครามที่ยาวนานที่สุดของญี่ปุ่นเป็นการแย่งชิงกันขึ้นเป็นใหญ่ของเหล่าขุนนางต่างตั้งตนเป็นโชกุน สร้างกองทัพ ลักลอบนำเข้าค้างขายติดต่อซื้ออาวุธกับต่างชาติเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ
250 ปี ในการปิดประเทศญี่ปุ่น นายพลแมททิว เพอร์รี่ จากสหรัฐอเมริกา ขู่ให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศมิเช่นนั้นจะทำการเอากองเรือเข้าบุก (นี่อเมริกามันนิสัยแบบนี้มานานแล้วนะ 555) ตอนแรกญี่ปุ่นแข็งข้อไม่ยอมเปิดก็เลยโดนระดมยิงด้วยปืนใหญ่จากเรือจนมืดฟ้ามัวดิน สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ผู้ที่มีการฝักใฝ่ทางการต่างประเทศทรงรับสั่งให้เปิดประเทศต้อนรับการมาเยือนของเพื่อนที่แสนดีจากทะเลอันไกลโพ้น สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ด้วยการช่วยเหลือของอเมริกาทางด้านอาวุธสมัยใหม่เข้ายึดอำนาจจาก โชกุนโทกุงาวะ โยชิโนบุ (หาดูเรื่อง The Last Samurai) มีการจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่ด้วยการมาของอาวุธปืนแบบ ฟริ๊นท์ล็อก (Flintlock) เทคโนโลยี่สมัยใหม่สามารถบรรจุกระสุนจากทางด้านท้ายปืนบรรจุได้รวดเร็วและยิงได้อย่างรวดเร็ว อเมริกาขายให้ญี่ปุ่นด้วยสนธิสัญญาห้ามผลิตใช้เอง แต่อเมริกาไม่ยอมขายปืนไรเฟิลยุคใหม่ที่เป็นเทคโนโลยี่สมัยใหม่ให้กับญี่ปุ่นเพราะเกรงว่าจะกลับมาเป็นภัยต่อตน ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ อยากได้ปืนชนิดใหม่นี้มาประจำกองทัพมาก แต่อย่างไรอเมริกาก็ไม่ยอมขายให้ แต่ว่าส่งกองทหารอเมริกันเองที่มาร่วมรบกับเหล่าขุนนางเพื่อรวมประเทศแทน ต่อมาญี่ปุ่นได้ลักลอบศึกษาและนำมาผลิตเองในที่สุด
จากปืนไฟของโปรตุเกสในวันนั้นทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคหลายสมัย
บทต่อไปผมจะกล่าวถึงความเป็นมาการแพร่หลายของปืนไฟในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงปืนไฟที่กู้เอกราชของสยามประเทศ
เมื่อ เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต นิราศโปรตุเกส เดินทางถึงสยามประเทศ