[๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม้แก่น เสาะหาไม้แก่น เที่ยว
แสวงหาไม้แก่นอยู่ ถือเอาจอบอันคม พึงเข้าไปสู่ป่า บุรุษนั้นพึงเห็นต้นกล้วยใหญ่ ตรง ใหม่
ยังไม่เกิดแก่นในป่านั้น พึงตัดโคนต้นกล้วยนั้นแล้วจึงตัดปลาย แล้วจึงปอกกาบใบออก บุรุษ
นั้นปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยใหญ่นั้น จะพึงได้แก่นแต่ที่ไหน บุรุษผู้มีจักษุ
พึงเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย ซึ่งต้นกล้วยใหญ่นั้น เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณา
อยู่โดยแยบคาย ต้นกล้วยใหญ่นั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้ แก่นในต้นกล้วย
พึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด. สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ
อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น
เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย สังขารนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้ สาระใน
สังขารทั้งหลายพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.
อรรถกถา
สังขาร
บทว่า อกุกฺกุชกชาตํ ได้แก่ ไม่มีแก่นเกิดอยู่ในภายใน. แม้สังขารทั้งหลายก็ชื่อว่าเป็นเหมือนต้นกล้วย เพราะอรรถว่าไม่มีสาระ (แก่น) อนึ่ง ชื่อว่าเป็นเหมือนต้นกล้วย เพราะอรรถว่าจับคว้าไม่ได้.
เปรียบเหมือนว่า ใครๆ ไม่สามารถจะจับคว้าอะไรๆ จากต้นกล้วยแล้วนำเข้าไปใช้ประโยชน์เป็นกลอนเรือนเป็นต้น แม้นำเข้าไปใช้ประโยชน์แล้ว ก็จะไม่เป็นอย่างนั้น (ไม่เป็นไปตามประสงค์) ฉันใด แม้สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น ใครๆ ไม่สามารถจะยึดถือว่าเที่ยงเป็นต้นได้ แม้ยึดถือแล้วก็ไม่เป็นอย่างนั้น.
อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ต้นกล้วยเป็นที่รวมของกาบจำนวนมากฉันใด สังขารทั้งหลายแม้ฉันนั้น เป็นที่รวมของธรรมมาก.
อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ต้นกล้วยมีลักษณะต่างๆ กัน คือกาบภายนอกสีเป็นอย่างหนึ่ง กาบในๆ ถัดจากกาบนั้นเข้าไปก็มีสีเป็นอีกอย่างหนึ่งฉันใด แม้ในสังขารขันธ์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผัสสะมีลักษณะเป็นอย่างหนึ่ง (เจตนาเป็นต้นก็มีลักษณะเป็นอีกอย่างหนึ่ง) แต่ครั้นรวมเจตนาเป็นต้นเข้าแล้ว จึงเรียกว่าสังขารขันธ์อย่างเดียว เพราะฉะนั้น สังขารขันธ์เป็นเหมือนต้นกล้วยอย่างนี้บ้าง.
บทว่า จกฺขุมา ปุริโส ความว่า มีจักษุดีด้วยจักษุทั้งสอง คือมังสจักษุและปัญญาจักษุ. อธิบายว่า แม้มังสจักษุของบุรุษนั้นก็บริสุทธิ์ ปราศจากต้อต่อมก็ใช้ได้ แม้ปัญญาจักษุ ก็สามารถมองเห็นว่าไม่มีสาระก็ใช้ได้.
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๓๑๓๒ - ๓๑๙๑. หน้าที่ ๑๓๔ - ๑๓๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=3132&Z=3191&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=242
สังขาร เปรียบเหมือนต้นกล้วย
[๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม้แก่น เสาะหาไม้แก่น เที่ยว
แสวงหาไม้แก่นอยู่ ถือเอาจอบอันคม พึงเข้าไปสู่ป่า บุรุษนั้นพึงเห็นต้นกล้วยใหญ่ ตรง ใหม่
ยังไม่เกิดแก่นในป่านั้น พึงตัดโคนต้นกล้วยนั้นแล้วจึงตัดปลาย แล้วจึงปอกกาบใบออก บุรุษ
นั้นปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยใหญ่นั้น จะพึงได้แก่นแต่ที่ไหน บุรุษผู้มีจักษุ
พึงเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย ซึ่งต้นกล้วยใหญ่นั้น เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณา
อยู่โดยแยบคาย ต้นกล้วยใหญ่นั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้ แก่นในต้นกล้วย
พึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด. สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ
อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น
เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย สังขารนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้ สาระใน
สังขารทั้งหลายพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.
อรรถกถา
สังขาร
บทว่า อกุกฺกุชกชาตํ ได้แก่ ไม่มีแก่นเกิดอยู่ในภายใน. แม้สังขารทั้งหลายก็ชื่อว่าเป็นเหมือนต้นกล้วย เพราะอรรถว่าไม่มีสาระ (แก่น) อนึ่ง ชื่อว่าเป็นเหมือนต้นกล้วย เพราะอรรถว่าจับคว้าไม่ได้.
เปรียบเหมือนว่า ใครๆ ไม่สามารถจะจับคว้าอะไรๆ จากต้นกล้วยแล้วนำเข้าไปใช้ประโยชน์เป็นกลอนเรือนเป็นต้น แม้นำเข้าไปใช้ประโยชน์แล้ว ก็จะไม่เป็นอย่างนั้น (ไม่เป็นไปตามประสงค์) ฉันใด แม้สังขารทั้งหลายก็ฉันนั้น ใครๆ ไม่สามารถจะยึดถือว่าเที่ยงเป็นต้นได้ แม้ยึดถือแล้วก็ไม่เป็นอย่างนั้น.
อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ต้นกล้วยเป็นที่รวมของกาบจำนวนมากฉันใด สังขารทั้งหลายแม้ฉันนั้น เป็นที่รวมของธรรมมาก.
อนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ต้นกล้วยมีลักษณะต่างๆ กัน คือกาบภายนอกสีเป็นอย่างหนึ่ง กาบในๆ ถัดจากกาบนั้นเข้าไปก็มีสีเป็นอีกอย่างหนึ่งฉันใด แม้ในสังขารขันธ์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผัสสะมีลักษณะเป็นอย่างหนึ่ง (เจตนาเป็นต้นก็มีลักษณะเป็นอีกอย่างหนึ่ง) แต่ครั้นรวมเจตนาเป็นต้นเข้าแล้ว จึงเรียกว่าสังขารขันธ์อย่างเดียว เพราะฉะนั้น สังขารขันธ์เป็นเหมือนต้นกล้วยอย่างนี้บ้าง.
บทว่า จกฺขุมา ปุริโส ความว่า มีจักษุดีด้วยจักษุทั้งสอง คือมังสจักษุและปัญญาจักษุ. อธิบายว่า แม้มังสจักษุของบุรุษนั้นก็บริสุทธิ์ ปราศจากต้อต่อมก็ใช้ได้ แม้ปัญญาจักษุ ก็สามารถมองเห็นว่าไม่มีสาระก็ใช้ได้.
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๓๑๓๒ - ๓๑๙๑. หน้าที่ ๑๓๔ - ๑๓๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=3132&Z=3191&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=242