วันที่ลูกคนไกลสูญเสียคุณพ่อ และสิ่งที่ดิฉันได้จากการสูญเสีย

ในโลกนี้ไม่มีใครไม่ทุกข์  ไม่มีใครจะทุกข์ไปตลอดชีวิต  
ความทุกข์มันอยู่กับเราไม่นาน เช่นเดียวกันกับความสุขก็อยู่กับเราไม่นานเหมือนกัน

.........

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2012  คือวันสุดท้ายที่ดิฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณพ่อ  ดิฉันเข้าไปกราบลาและขอขมาท่านที่ห้อง
แล้วเกาะที่หัวเข่าของท่าน ถามท่านว่า  “ ยังมีอะไรที่ลูกคนนี้ยังไม่ได้ทำให้พ่อบ้าง และมีอะไรที่พ่ออยากให้ลูกคนนี้ทำอีกบ้าง”

คุณพ่อก็ตอบกลับมาว่า “ ไม่มีลูก ทุกอย่างที่ลูกทำมันดีแล้ว ลูกทำดีแล้ว พ่อพอใจทุกอย่าง”

ดิฉัน “พรุ่งนี้ลูกคนนี้จะเดินทางกลับเยอรมัน ปีหน้า ลูกคงไม่ได้กลับมาเพราะอยากประหยัด อยากหยุดเดินทางสักปี
และก็ไม่รู้ว่าปีหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ขอให้พ่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อที่จะได้อยู่กับลูก หลาน ไปนานๆ
แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เราก็คงจะฝืนมันไม่ได้ มันเป็นธรรมดาของโลกใช่ไหมค่ะพ่อ   เกิด แก่ เจ็บ ตาย  ทุกคนต้องพบเจอ”  

คุณพ่อก็บอกว่า “ อืมๆ พ่อรู้ ๆ พ่อเข้าใจ” แล้วก็ให้พรดิฉันมากมาย (คุณพ่อดิฉันท่านเข้าวัด สวดมนต์และศึกษาธรรมะเป็นประจำ)

ดิฉัน “ ถ้าวันหนึ่งมีเหตุให้พ่อต้องละสังขารนี้ พ่อไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วงถึงลูกนะคะ  เพราะลูกอยู่ไกล
ลูกอาจไม่มีโอกาศกลับมาทันเห็นใจพ่อ  ขอให้พ่อรับรู้ไว้ว่า  เราสวดมนต์บทเดียวกัน  เราสื่อสารกันทางธรรมะนี้ได้
และถ้าถึงเวลานั้น ถ้าพ่อได้ยินเสียงสวดมนต์ขอให้พ่อรับรู้ไว้เลยนะคะว่า  มันคือเสียงสวดมนต์ของลูกคนนี้  
ขอให้พ่อตั้งใจฟังและไปตามเสียงสวดมนต์นั้นนะคะ”

วันนั้นทั้งดิฉันและคุณพ่อต่างน้ำตาซึม ดิฉันไม่รู้หรอกว่า ทำไม อะไร ที่ทำให้ดิฉันต้องได้พูดกับคุณพ่อแบบนั้น  
แต่ที่รู้ๆคือ ทั้งดิฉันและคุณพ่อ เราเข้าใจในหลักธรรมะที่ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีใครหนีพ้น



วันที่ 25 กันยายน 2013  หลังจากที่ดิฉันไปต่ออายุพาสปอร์ตแค่วันเดียว  
ดิฉันโทรกลับบ้านที่ไทย รู้ข่าวจากคุณแม่ว่า  คุณพ่อป่วยอาจต้องเข้า รพ ผ่าตัดไส้เลื่อน  
ดิฉันอึ้ง เป็นไปได้ไง เมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่โทรไปคุณพ่อยังไม่เป็นอะไรเลย  
พอโทรไปคุยกะคุณพ่อ ท่านก็บอกไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องห่วง  แต่ดิฉันมีลางสังหรณ์ว่า มันมีอะไรที่ไม่ปกติแน่ๆ  

หลังจากนั้นดิฉันโทรกลับบ้านทุกวัน จากที่เคยโทร 2 สัปดาห์ต่อครั้ง และทุกวันที่โทรคุยกะคุณพ่อ ดิฉันจะจับน้ำเสียงของคุณพ่อได้ว่า
ท่านป่วยมากนะ น้ำเสียงท่านเพลียๆมาก  แต่เมื่อสอบถามทางพี่น้อง ก็บอกว่า  ท่านไม่เป็นอะไรมาก  ท่านป่วยตามประสาคนแก่
และพี่น้องทุกก็ช่วยกันดูแลท่านดีและพาท่านไปหาหมอแล้ว

แต่สำหรับลูกคนไกลอย่างดิฉัน มันไม่คิดแบบนั้นเลย จิตใต้สำนึกมันบอกแต่ว่า  สวดมนต์ ๆๆๆๆ
และทุกครั้งที่สวดมนต์ ดิฉันต้องร้องไห้ทุกครั้ง  และใจร้อนอยากจะกลับเมืองไทยมาก แต่กลับไม่ได้เพราะไม่มีพาสปอร์ต

(คุณพ่อของดิฉันมีโรคประจำตัวอยู่แล้วหลายอย่างคือ  ความดัน เบาหวานและที่ต้องไปตรวจตลอดคือ ค่าของตับท่านไม่ดี
ท่านเคยมีอาการป่วยหนักอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2006 แล้วอาการก็ดีขึ้นจนปกติ ท่านดูแข็งแรงดีไม่มีอาการแสดงออกว่า ท่านป่วยหนักเลย)



วันที่ 7 ตุลาคม 2013  ดิฉันมีนัดผ่าตัดต้อเนื้อ ก่อนไป รพ ดิฉันโทรกลับไปคุยกะคุณพ่ออีกครั้ง
พอได้ยินเสียงที่คุณพ่อพูดออกมา ดิฉันก็น้ำตาไหลทันที เพราะน้ำเสียงของคุณพ่อแหบแห้งมาก เรียกว่า แทบไม่ได้ยินเสียงเลย  
ใจมันไม่ดีเลย พอวางโทรศัพท์ดิฉันร้องไห้จนสามี งง ว่าเกิดอะไรขึ้น สามีบอกว่า ดิฉันคิดมาก คิดแง่ร้ายเกินไป



วันที่ 9 ตุลา คุณพ่อ ต้องเข้า รพ โดยด่วน เพราะอาการไม่น่าไว้ใจ
ดิฉันโทรไปที่สถานกงศุลแฟรงเฟริต์เพื่อขอเร่งรับพาสปอร์ต เพราะอยากกลับไปดูแลคุณพ่อมาก
ทาง จนท รับปากว่า จะตรวจสอบว่า จะสามารถเร่งทำให้เสร็จไวได้หรือไม่



วันที่ 13 ตุลา ดิฉันได้มีโอกาสคุยกะคุณพ่อทาง sky  ได้เห็นหน้าของท่านและท่านก็ได้เห็นหน้าครอบครัวของดิฉัน  
ดิฉันจำได้ว่า ทันทีที่คุณพ่อเห็นหน้าลูกสาวของดิฉัน  น้ำเสียงที่ท่านพูดออกมามันชัดแจ๋วเหมือนท่านไม่ได้ป่วย
แต่แค่ประโยคเดียวเท่านั้นว่า

“โอโห้ หลานคุณตานี่สวยจริงๆ..”

แล้วท่านก็ไม่มีเสียงพูดอีกแต่ท่านก็ยังทำท่า ส่งจูบกะลูกสาวของดิฉันได้  แล้วก็บอกว่า

... พ่อเหนื่อย อยากนอนแล้ว...



วันที่ 14 ตุลา  วันที่ความโชคร้ายกำลังมาเยือน
ดิฉันได้รับพาสปอร์ตแต่สามีเห็นความไม่ปกติในส่วนของวีซ่าที่อยู่ในเล่มเก่า ( วีซ่าดิฉันตลอดชีพ แต่ต้องเปลี่ยนทุกครั้ง
เมื่อพาสปอร์ตเปลี่ยนเล่มใหม่ และทาง จนท กงศุลบอกว่า ดิฉันสามารถใช้พลาสปอร์เล่มเก่าเดินทางคู่กะเล่มใหม่ได้เลย )
แต่เพื่อความแน่ใจ สามีเลยโทรไปหา จนท ที่ทำวีซ่าของเยอรมัน เพื่อนัดทำเรื่องทำวีซ่าใหม่ไว้ก่อนเดินทางและสอบถามเรื่องวีซ่าในเล่มเก่าด้วย

และเมื่อดิฉันโทรกลับไปบ้าน ก็ได้รู้ว่า อาการของคุณพ่อทรุดหนัก ดิฉันยังไม่รู้สาเหตุว่า  คุณพ่อป่วยด้วยโรคอะไร
และทำไมท่านถึงได้ทรุดเร็วขนาดนี้  ช่วงที่ท่านเข้า รพ ใหม่ๆ คุณพ่อท่านพูดแต่ว่า

“...มันไม่สบายใจ มันยังกังวล...”  

แล้วทุกคนก็คิดว่า ท่านคงกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของท่าน แต่พอหลังจากที่ได้คุย sky กับดิฉัน ท่านก็บอกกับน้องสาวดิฉันว่า

“ ..สบายใจแล้ว ไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว.. ”    แล้วท่านก็หลับ หลับแบบไม่รู้สึกตัว

จนน้องสาวดิฉัน ร้องไห้ บอกกับดิฉันว่า    ..พี่กลับมาบ้านเร็วๆ หนูไม่สบายใจเลย พ่ออาการไม่ดีเลย..  

มันบรรยายไม่ถูกว่า ดิฉันรู้สึกอย่างไร แต่ที่ดิฉันรู้คือ ดิฉันต้องตั้งสติให้มากที่สุด  ลำดับเรื่องสำคัญที่ต้องทำ
เรื่องวีซ่าและยื่นเรื่องขอหยุดเรียนของลูกสาวด้วย  
(ที่นี่เด็กที่เข้า รร  เด็กจะไม่สามารถหยุดยาวๆได้ โดยไม่มีเหตุที่สำคัญ และการจะพาเด็กเดินทางออกนอกประเทศ
ต้องมีหนังสือรับรองจากทาง รร ว่า อนุญาติให้เด็กหยุดเรียนได้)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่