ทัศนคติคนปฏิบัติธรรม...ไม่ควรยุ่งการเมืองจริงหรือไม่?

ผมคิดว่าทุกวันนี้ มีสิ่งที่เราเข้าใจผิดอยู่ประการหนึ่ง คือ การไม่ให้ยุ่งการเมือง หมายถึง คนปฏิบัติธรรมไม่ให้ยุ่งการเมืองผมว่านั่นเป็นแนวคิดที่ให้ใช้กับพระสงฆ์เท่านั้นนะครับโดยเฉพาะในเรื่อง ติรัจฉานกถา, เดรัจฉานวิชา  แต่ถ้าเป็นในด้านของฆราวาสผู้ครองเรือนแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้น ไม่มีคำสอนที่ไม่ให้สนใจให้บ้านเมืองดี ไม่ช่วยกันรักษาบ้านเมือง มีแต่ทรงสอนให้สนใจบ้านเมืองด้วยท่าทีที่ถูกต้องอย่างที่เราได้เห็นในหลักการปกครองหลักบริการบ้านเมืองต่างๆ ตั้งแต่ ระดับพระราชา เช่น ทศพิธราชธรรม เป็นต้น และระดับข้าราชการ คือ ราชวสดีธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเล่าสมัยเสวยพระชาติเป็นวิธูรบัณฑิต และหลักประชาชนทั่วไป เช่น สังคหวัตถุ ๔, สัปปุริสธรรม ๗, ศีล ๕ เป็นต้น และหลักใหญ่ คือ พรหมวิหาร ๔, อธิปไตย ๓ ฯลฯ

ซึ่งถ้าได้อ่านแล้วก็จะเข้าใจว่าพุทธธรรมมีประโยชน์ไพศาล และคลอบคลุมทุกระดับ แทรกซึมทุกภาคส่วน แต่ถ้าไม่นำมาใช้ก็ไม่มีประโยชน์ต้องสาปสูญไป การสนใจบ้านเมืองมองให้ลึกคือการแบ่งหน้าที่ และการบำเพ็ญบารมีด้วย คือ แบ่งหน้าที่กันระหว่างฆราวาส หมายถึง พระสงฆ์มีหน้าที่เผยแผ่ข้อธรรมดังข้างต้น  ฆราวาสที่มีเรี่ยวแรงมีหน้าที่นำมาปฏิบัติในวงกว้าง นี่คือแบ่งหน้าที่กันอย่างนี้ ส่วนการบำเพ็ญบารมี คือ เอามาจากพระทุทธเจ้า สมัยบำเพ็ญบารมีด้านสัจจบารมีช่วยบ้านเมืองเป็นวิธูรบัณฑิต, บำเพ็ญปัญญาบารมีช่วยบ้านเมืองด้วยการเป็นมโหสบัญฑิต จากที่บอกไปนี้ทำให้เห็นว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างไร

การที่คนดีไปช่วยบ้านเมือง มีคำศัพท์ เรียกอยู่ว่า "ขุนนางแก้ว", "คฤหบดีแก้ว", "ขุนคลังแก้ว", "ขุนพลแก้ว", "นางแก้ว" แล้วแต่หน้าที่ ที่เป็นสมบัติที่จะปรากฎแก่พระเจ้าจักรพรรดิ์ บุคคลเหล่านั้นล้วนเก่งกาจ มีคุณธรรม ช่วยคิด แนะนำ ทำงานอย่างมีคุณภาพประสิทธิภาพสูงสุด ดั่งอดีตชาติของพระพทธเจ้าที่ยกมาข้างต้นนั่นก็เป็นตัวอย่างขุนนางแก้ว

ดังนั้นเราอาจต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ คนปฏิบัติธรรมที่เป็นฆราวาสต้องช่วยบ้านเมือง เอาธรรมะมาใช้จริง ช่วยประชาชนในวงกว้าง ไม่ช่วยเฉพาะคนใดคนหนึ่ง จะทำให้ได้บุญมาก อาจเทียบได้กับบุญที่ทำให้สังคมย่อมได้บุญมากกว่าทำให้เฉพาะบุคคล เพราะในสังคมมีคนทุกประเภท พระสงฆ์ พระอริยบุคคล พระโพธิสัตว์ ก็อยู่ในสังคมได้ประโยชน์จากการกระทำไปด้วย ทีนี้พุทธธรรมจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะพุทธธรรมมีประโยชน์ทุกระดับทุกสังคมตั้งแต่ระดับปัจเจกชน ชุมชน สังคม ประเทศชาติ สมดั่งที่ในหลวงของเรารัชกาลที่ ๙ ได้ทรงกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และทรงตรัสไว้ว่า...



"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได"้

พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512

 

แต่ปัญหามีอยู่ว่า คนดีไม่ยุ่งการเมือง แล้วเราจะมีคนดีไปปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร แล้วเราก็มาบ่นกันว่าต้องมีแต่นักการเมืองที่ไม่ดี ทำไมไม่เลือกคนดี แล้วฆราวาสจะไปเรียน ธรรมะ ให้สูงลึกล้ำทำไม เช่น ปริญญาโท, ปริญญาเอก หากเรียนมาเผื่อเผยแผ่ พระท่านทำอยู่แล้ว หากเรียนเพื่อมาปฏิบัติ อ่านหนังสือธรรมะสักเล่ม ฟังเทศสักหน่อย ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเลยก็ได้ ไม่ต้องมานั่งเรียนขนาดนี้ก็ได้

ในสมัยอดีตประเทศจีนมีปราชญ์ ชื่อว่า ข๋งจื้อ ท่านก็มีความคิดอย่างนี้เช่นเดียวกัน คือ พัฒนาให้คุณธรรมความรู้แก่ประชาชนไม่จำกัดชั้นวรรณะ แล้วให้ไปรับใช้บ้านเมือง บ้านเมืองยุคนั้นจึงดี และคำสอนของข๋งจื้อจึงมีอิทธิพลอยู่ยาวนานในวิถีชีวิตการปกครองของจีนมาจนทุกวันนี้


เพราะฉนั้น คนดีที่มีเรี่ยวแรง ควรพิจารณาดูใหม่ให้ดีๆ ว่าท่านควรเก็บตัวปัจเจกชน แล้วไม่สนใจบ้านเมืองให้ดีขึ้นนี่เป็นความคิดที่ถูกต้องจริงหรือไม่ ผมเชื่อว่า ถ้าคนเดียวไม่ไหว หลายคนช่วยกันมากๆ แล้ว สิ่งที่ยากดุจขุนเขาย่อมสะเทือนได้

จาประชาธิปไตย จะกลายเป็น ธรรมาธิปไตย คือ ประชาธิปไตยที่ไม่มีคอรัปชั่น ไม่มีแตกแยก แล้วไทยจะเป็นผู้นำโลกด้านศีลธรรมจนต่างประเทศต้องหันมาดูเราเป็นแบบอย่าง สู่ยุคใหม่ "แสงทองผ่องอำไผ" แสงทอง คือ แสงแห่งพระธรรม

ศิรัสพล (27 พ.ค. 2557)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่