X-Men: Days of Future Past ความน่าสนใจของ X-Men ภาคนี้ คือการได้ ไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้ซึ่งเคยกำกับ X-Men 2 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น X-Men ภาคที่ดีที่สุด กลับมากำกับอีกครั้ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นที่น่าพอใจ X-Men ภาคนี้มีส่วนผสมของความเข้มข้นของเนื้อหาและความมันส์อย่างลงตัว
แม้ตัวหนังจะมี scope เรื่องราวที่ใหญ่โตและลึกซึ้ง เช่นการเดินทางข้ามเวลากลับมาแก้ไขอดีต และยังต้องโยงเรื่องราวเข้ากับสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นจริง แถมยังต้องผูกเรื่องราวให้แนบสนิทกับ X-Men ภาคอื่นๆอีก แต่หนังเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่ได้อย่างครบถ้วน เล่าเรื่องผสมผสานเหตุการณ์ต่างๆได้ดี ไม่มีสะดุด อาจจะมีส่วนที่ขาดหายตกหล่นไปบ้าง เช่นเรื่องราวในอนาคตที่ไม่ได้เล่าถึงสภาพของโลกอนาคตที่ละเอียดมากพอ แค่มีฉากเปิดโอกาสให้ X-Men กลุ่มโลกอนาคตได้โชว์พลังสู้กับหุ่น Sentnel แค่นั้น กับแผนการส่งวูฟเวอรีนกลับมาแก้ไขอดีต ที่ดูเหมือนคิดเร็ว ทำเร็ว ง่ายไปหน่อย แผนการใหญ่ๆที่มีอนาคตของโลกเป็นเดิมพันแบบนี้ มันน่าจะมีความตึงเครียดมากกว่านี้หน่อย แต่ถ้ามองข้ามเรื่องตรงนี้ไป ก็ยอมรับว่าหนังเล่าเรื่องราวยากๆแบบนี้ ได้กระชับและเข้าใจง่าย ซึ่งน่าจะถูกใจกลุ่มคนดูส่วนใหญ่ได้มากกว่า
ฝีมือของผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งก็คือ เขาเป็นผู้กำกับที่ผสมการเล่าเรื่องราวแบบหนังสมัยก่อน เข้ากับการใช้เอฟเฟค CG เวอร์ๆได้อย่างลงตัว แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้มีฉากแอคชั่นที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่ก็ยังมีเทคนิคการเล่าเรื่อง การแสดง การใช้กล้อง การตัดต่อที่ดี รวมถึงมุกตลกแบบบ้านๆที่ถูกใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะ ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือฉากแอคชั่นของ ตัวละคร ควิกซิลเวอร์ ในเรื่องนี้
หากจะมีสิ่งหนึ่งที่หนัง X-Men ควรจะปรับปรุงก็คือต้องหาแก่นของเรื่องอันใหม่ที่จะมาเล่าบ้างแล้วแหละ เพราะทุกภาคที่ผ่านมาตั้งแต่ภาคแรก จนถึงภาคนี้ ก็เล่าแต่ถึงเรื่องความแตกต่าง ความหวาดกลัว ที่ทำให้ X-Men ถูกกีดกันจากสังคมคนปกติ เล่าซ้ำไปซ้ำมาจนมันแทบจะไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกแล้ว
แต่ก็ถือว่า X-Men: Days of Future Past เป็น X-Men ภาคที่สนุกมากๆ เทียบกับ X-Men ภาคอื่นๆ แต่ก็ยังคงเป็นรอง X-Men 2 อยู่นะ แต่ก็เป็นฝีมือของผู้กำกับคนเดียวกันล่ะนะ
3 ดาวครึ่งครับ
สารวัตรโรงหนังไปดูมาแล้ว "X-Men: Days of Future Past" ไม่เสียที ที่ ไบรอัน ซิงเกอร์ กลับมากำกับ
แม้ตัวหนังจะมี scope เรื่องราวที่ใหญ่โตและลึกซึ้ง เช่นการเดินทางข้ามเวลากลับมาแก้ไขอดีต และยังต้องโยงเรื่องราวเข้ากับสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นจริง แถมยังต้องผูกเรื่องราวให้แนบสนิทกับ X-Men ภาคอื่นๆอีก แต่หนังเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่ได้อย่างครบถ้วน เล่าเรื่องผสมผสานเหตุการณ์ต่างๆได้ดี ไม่มีสะดุด อาจจะมีส่วนที่ขาดหายตกหล่นไปบ้าง เช่นเรื่องราวในอนาคตที่ไม่ได้เล่าถึงสภาพของโลกอนาคตที่ละเอียดมากพอ แค่มีฉากเปิดโอกาสให้ X-Men กลุ่มโลกอนาคตได้โชว์พลังสู้กับหุ่น Sentnel แค่นั้น กับแผนการส่งวูฟเวอรีนกลับมาแก้ไขอดีต ที่ดูเหมือนคิดเร็ว ทำเร็ว ง่ายไปหน่อย แผนการใหญ่ๆที่มีอนาคตของโลกเป็นเดิมพันแบบนี้ มันน่าจะมีความตึงเครียดมากกว่านี้หน่อย แต่ถ้ามองข้ามเรื่องตรงนี้ไป ก็ยอมรับว่าหนังเล่าเรื่องราวยากๆแบบนี้ ได้กระชับและเข้าใจง่าย ซึ่งน่าจะถูกใจกลุ่มคนดูส่วนใหญ่ได้มากกว่า
ฝีมือของผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่โดดเด่นอย่างหนึ่งก็คือ เขาเป็นผู้กำกับที่ผสมการเล่าเรื่องราวแบบหนังสมัยก่อน เข้ากับการใช้เอฟเฟค CG เวอร์ๆได้อย่างลงตัว แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้มีฉากแอคชั่นที่ใหญ่โตมโหฬาร แต่ก็ยังมีเทคนิคการเล่าเรื่อง การแสดง การใช้กล้อง การตัดต่อที่ดี รวมถึงมุกตลกแบบบ้านๆที่ถูกใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะ ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือฉากแอคชั่นของ ตัวละคร ควิกซิลเวอร์ ในเรื่องนี้
หากจะมีสิ่งหนึ่งที่หนัง X-Men ควรจะปรับปรุงก็คือต้องหาแก่นของเรื่องอันใหม่ที่จะมาเล่าบ้างแล้วแหละ เพราะทุกภาคที่ผ่านมาตั้งแต่ภาคแรก จนถึงภาคนี้ ก็เล่าแต่ถึงเรื่องความแตกต่าง ความหวาดกลัว ที่ทำให้ X-Men ถูกกีดกันจากสังคมคนปกติ เล่าซ้ำไปซ้ำมาจนมันแทบจะไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกแล้ว
แต่ก็ถือว่า X-Men: Days of Future Past เป็น X-Men ภาคที่สนุกมากๆ เทียบกับ X-Men ภาคอื่นๆ แต่ก็ยังคงเป็นรอง X-Men 2 อยู่นะ แต่ก็เป็นฝีมือของผู้กำกับคนเดียวกันล่ะนะ
3 ดาวครึ่งครับ