ไม่เชิงวิจารณ์นะครับ เพราะหัวกระทู้ใช้คำว่าชื่นชม
ปกติดูหนังจบ ถ้าชอบมากๆก็แค่ทวีต แต่เรื่องนี้ถ้าไม่ระบายจะกลายเป็นเก็บกด เพราะวินาทีที่หนังจบ ชื่อของ ‘ไบรอัน ซิงเกอร์’ ก็เด้งเข้าลิสต์สุดยอดผู้กำกับสำหรับเราเลย
X-Men: Days of Future Past
ก็ไม่มีอะไรมาก แค่หุ่นยักษ์ฆ่าล้างโคตรพวกมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วลามไปถึงปุถุชนคนปกติด้วย ไม่มีทางที่จะชนะสงครามครั้งนี้ คือเก่งแค่ไหนยังไงก็ตายอ่ะ เหลือแค่วิธีเดียวคือทำให้สงครามครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น หรือก็คือย้อนเวลาไปหาสาเหตุแล้วเปลี่ยนมันซะ แล้วคนที่ย้อนก็คือโลแกนหรือวูฟเวอร์ลีนของพวกเรานี่แหละ ไทม์ไลน์มี2ช่วง ปัจจุบันคือหลังจากภาคล่าสุด อดีตที่ย้อนไปคือหลังจาก X-Men: First Class
ให้วิจารณ์ปกติคงต้องบอกว่าสนุกครับ ฉากบู๊แทบไม่มี แต่มันไม่จำเป็นต้องมี เพราะดราม่าที่ตัวละครเจอมันหนักอึ้งมากๆ บทดี แต่ในแง่ของหนัง X-Men: First Class ครบรสและสุดมากกว่า
“แล้วอะไรที่ว่าสุดยอด ?”
อ่ะ เข้าเรื่อง หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่มากกว่าแค่เป็น ‘ภาคต่อ’ ครับ X-Men ทุกภาคที่สร้างมารวมแล้วเกินทศวรรษเนี่ย ไม่ได้ถูกจัดเรียงไทม์ไลน์ไว้ตั้งแต่แรก (ขออนุญาตเปรียบเทียบ) อย่าง The Avengers ทุกอย่างที่ทำถูกวางแผนไว้แล้ว เนื้อเรื่องทั้งหมดถูกใส่รายละเอียดลงไปตั้งแต่แรก ทำให้แต่ละเรื่องมันสอดคล้องซึ่งกันและกัน แต่ X-Men การสร้างหนังชุดนี้ไม่ได้ถูกวางแผนไว้ทั้งหมดตั้งแต่แรก เมื่อมีการสร้างภาคต่อไป ผู้กำกับและทีมเขียนบทจะมีหน้าที่แค่ภาคที่ตัวเองสร้างเป็นหลัก ทำให้รายละเอียดต่างๆระหว่างภาคดูขัดแย้งกัน เช่นใน X-Men: The Last Stand และ X-Men Origins: Wolverine มีฉากที่ศาสตราจารย์Xยังเดินได้อยู่ ซึ่งเป็นเวอชั่นที่ศาสตราจารย์แก่แล้ว แต่ใน X-Men: First Class ตอนจบของหนัง ศาสตราจารย์X เดินไม่ได้ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเวอชั่นหนุ่มอยู่เลย สรุปก็คือเดินไมได้ตั้งแต่หนุ่มๆ ไปขัดแย้งกับ2ภาคที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
ปัญหาความขัดแย้งทางไทม์ไลน์เหล่านี้ถูก X-Men: Days of Future Past แก้ไขได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ ขอย้ำว่า ‘แก้ไข’ นะ ไม่ใช่การทำของใหม่ให้ดีกว่าแล้วลืมๆอันเก่าไป แต่หนังเรื่องนี้จะทำให้เหตุการณ์จากทุกภาคมีความสอดคล้องกัน เป็นเหตุเป็นผลกัน และเชื่อจริงๆว่าอยู่ในไทม์ไลน์เดียวกัน คิดว่าทำได้ยังไงใช่มั้ย ไปดูเอง
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้ นอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกในตัวเองแล้ว ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ยกระดับ X-Men ทั้งหมดขึ้นไปอีก เป็นตัวแก้ไขอดีตของหนัง และฉาบจบจะทำให้รู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นตัวเปิดอนาคตด้วยครับ สำหรับแฟน X-Men ดูฉากจบแล้วอาจจะน้ำตาไหลได้นะ อะไรที่คุณเคยผิดหวังกับ X-Men มันจะหายไปเองแบบไม่ต้องร้องขอการให้อภัย
ขอพูดถึงตัวละครใหม่ ‘ควิกซิลเวอร์’ ที่ถึงแม้จะเข้ามามีบทบาทแค่ช่วงสั้นๆ แต่จะทำให้คนดูไม่ลืมแน่ๆ เพราะฉากของตัวละครตัวนี้ คือฉากเด็ดที่ผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ โชว์กึ๋นการออกแบบฉากครับ
ขอพื้นที่อีกนิดสำหรับชื่นชม ‘เจมส์ แม็กอะวอย’ ในบทของ 'ชาร์ลส์ เซเวียร์' หรือศาสตราจารย์X ตอนหนุ่มครับ ในภาคนี้บทของชาร์ลส์มีมิติกว่าใน X-Men: First Class มาก แต่พี่แกจับบทแบบอยู่หมัดเลย ผมลืมไปเลยว่าโลแกนเป็นพระเอก
ยาวละ เอาเป็นว่าทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันยิ่งใหญ่มากๆครับ ถ้าการ standing ovation หลังจากหนังจบเป็นเรื่องที่ไม่ถูกมองว่าแปลกผมคงทำไปแล้ว จะตบมือให้ดังลั่นเลยจริงๆ
“ไปดูซะ ถือว่าขอร้อง”
ปล.ควรจะดู X-Men ให้ครบทุกภาคก่อน ไม่งั้นอาจจะงง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ปล2.ไม่ชอบโปสเตอร์นี้เลย
ขอชื่นชม X-Men: Days of Future Past *ไม่มีสปอยล์*
ปกติดูหนังจบ ถ้าชอบมากๆก็แค่ทวีต แต่เรื่องนี้ถ้าไม่ระบายจะกลายเป็นเก็บกด เพราะวินาทีที่หนังจบ ชื่อของ ‘ไบรอัน ซิงเกอร์’ ก็เด้งเข้าลิสต์สุดยอดผู้กำกับสำหรับเราเลย
X-Men: Days of Future Past
ก็ไม่มีอะไรมาก แค่หุ่นยักษ์ฆ่าล้างโคตรพวกมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วลามไปถึงปุถุชนคนปกติด้วย ไม่มีทางที่จะชนะสงครามครั้งนี้ คือเก่งแค่ไหนยังไงก็ตายอ่ะ เหลือแค่วิธีเดียวคือทำให้สงครามครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น หรือก็คือย้อนเวลาไปหาสาเหตุแล้วเปลี่ยนมันซะ แล้วคนที่ย้อนก็คือโลแกนหรือวูฟเวอร์ลีนของพวกเรานี่แหละ ไทม์ไลน์มี2ช่วง ปัจจุบันคือหลังจากภาคล่าสุด อดีตที่ย้อนไปคือหลังจาก X-Men: First Class
ให้วิจารณ์ปกติคงต้องบอกว่าสนุกครับ ฉากบู๊แทบไม่มี แต่มันไม่จำเป็นต้องมี เพราะดราม่าที่ตัวละครเจอมันหนักอึ้งมากๆ บทดี แต่ในแง่ของหนัง X-Men: First Class ครบรสและสุดมากกว่า
“แล้วอะไรที่ว่าสุดยอด ?”
อ่ะ เข้าเรื่อง หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่มากกว่าแค่เป็น ‘ภาคต่อ’ ครับ X-Men ทุกภาคที่สร้างมารวมแล้วเกินทศวรรษเนี่ย ไม่ได้ถูกจัดเรียงไทม์ไลน์ไว้ตั้งแต่แรก (ขออนุญาตเปรียบเทียบ) อย่าง The Avengers ทุกอย่างที่ทำถูกวางแผนไว้แล้ว เนื้อเรื่องทั้งหมดถูกใส่รายละเอียดลงไปตั้งแต่แรก ทำให้แต่ละเรื่องมันสอดคล้องซึ่งกันและกัน แต่ X-Men การสร้างหนังชุดนี้ไม่ได้ถูกวางแผนไว้ทั้งหมดตั้งแต่แรก เมื่อมีการสร้างภาคต่อไป ผู้กำกับและทีมเขียนบทจะมีหน้าที่แค่ภาคที่ตัวเองสร้างเป็นหลัก ทำให้รายละเอียดต่างๆระหว่างภาคดูขัดแย้งกัน เช่นใน X-Men: The Last Stand และ X-Men Origins: Wolverine มีฉากที่ศาสตราจารย์Xยังเดินได้อยู่ ซึ่งเป็นเวอชั่นที่ศาสตราจารย์แก่แล้ว แต่ใน X-Men: First Class ตอนจบของหนัง ศาสตราจารย์X เดินไม่ได้ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเวอชั่นหนุ่มอยู่เลย สรุปก็คือเดินไมได้ตั้งแต่หนุ่มๆ ไปขัดแย้งกับ2ภาคที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
ปัญหาความขัดแย้งทางไทม์ไลน์เหล่านี้ถูก X-Men: Days of Future Past แก้ไขได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ ขอย้ำว่า ‘แก้ไข’ นะ ไม่ใช่การทำของใหม่ให้ดีกว่าแล้วลืมๆอันเก่าไป แต่หนังเรื่องนี้จะทำให้เหตุการณ์จากทุกภาคมีความสอดคล้องกัน เป็นเหตุเป็นผลกัน และเชื่อจริงๆว่าอยู่ในไทม์ไลน์เดียวกัน คิดว่าทำได้ยังไงใช่มั้ย ไปดูเอง
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้ นอกจากเนื้อเรื่องจะสนุกในตัวเองแล้ว ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ยกระดับ X-Men ทั้งหมดขึ้นไปอีก เป็นตัวแก้ไขอดีตของหนัง และฉาบจบจะทำให้รู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นตัวเปิดอนาคตด้วยครับ สำหรับแฟน X-Men ดูฉากจบแล้วอาจจะน้ำตาไหลได้นะ อะไรที่คุณเคยผิดหวังกับ X-Men มันจะหายไปเองแบบไม่ต้องร้องขอการให้อภัย
ขอพูดถึงตัวละครใหม่ ‘ควิกซิลเวอร์’ ที่ถึงแม้จะเข้ามามีบทบาทแค่ช่วงสั้นๆ แต่จะทำให้คนดูไม่ลืมแน่ๆ เพราะฉากของตัวละครตัวนี้ คือฉากเด็ดที่ผู้กำกับ ไบรอัน ซิงเกอร์ โชว์กึ๋นการออกแบบฉากครับ
ขอพื้นที่อีกนิดสำหรับชื่นชม ‘เจมส์ แม็กอะวอย’ ในบทของ 'ชาร์ลส์ เซเวียร์' หรือศาสตราจารย์X ตอนหนุ่มครับ ในภาคนี้บทของชาร์ลส์มีมิติกว่าใน X-Men: First Class มาก แต่พี่แกจับบทแบบอยู่หมัดเลย ผมลืมไปเลยว่าโลแกนเป็นพระเอก
ยาวละ เอาเป็นว่าทั้งหมดนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันยิ่งใหญ่มากๆครับ ถ้าการ standing ovation หลังจากหนังจบเป็นเรื่องที่ไม่ถูกมองว่าแปลกผมคงทำไปแล้ว จะตบมือให้ดังลั่นเลยจริงๆ
“ไปดูซะ ถือว่าขอร้อง”
ปล.ควรจะดู X-Men ให้ครบทุกภาคก่อน ไม่งั้นอาจจะงง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้