เมื่อฉันเป็นโรคซึมเศร้า T^T

กระทู้คำถาม
สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ห้องลุมพินี นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของเราค่ะ เรื่องอาจจะยาวสักหน่อย

ก่อนหน้านี้หนึ่งปี เราเรียนจบและได้งานเป็นครูเอกชนโรเรียนชื่อดังย่านลาดกระบัง ด้วยบุคลิกเป็นคนดูแข็งแรง
รูปร่างใหญ่ ผู้บริหารจึงมองว่าเราเป็นคนหนักเอาเบาสู้ รับภาระงานเสมือนเป็นยอดมนุษย์ นี่คือจุดเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า
เราเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สอนนักเรียนวันละ 4 ชั่วโมง ยืนเวรสัปดาห์ละ 4 วัน
มีเวลาว่าง 2 ชั่วโมงจากการสอนจะมีเวรเฝ้าห้องน้ำบ้าง สอนแทนครูอนุบาลหรือช่วงชั้นอื่นๆ บ้าง ในเวลาที่ครูประจำลาหรือขาดสอน

นิสัยส่วนตัวของเราเองเป็นคนอัธยาศัยดี ช่วยช่วยเหลือคนอื่นและเข้ากับคนอื่นได้ดีในระดับหนึ่ง
จึงเป็นข้อหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราโดนเอาเปรียบแบบปฏิเสธเสียไม่ได้ นอกจากงานหลักคือการสอนวิชาคณิตศาสตร์แล้ว
เรายังทำหน้าที่ฝ่ายวิชาการ และรับงานผลิตสื่อการสอน เช่น CAI , สื่อ IT รับทำงานของฝ่ายอื่นๆ มีค่าตอบแทนบ้าง ไม่มีบ้าง

เริ่มทำานได้ประมาณ 1 เทอม เรารู้สึกว่าเรารับภาระงานที่หนักมากเกินไปนอกจากจะไปถึงที่ทำงานเวลา 6.45 น. เลิกงาน 18.00 น. ทุกวัน
ยังแบกภาระงานที่คั่งค้าง ตรวจการบ้านนักเรียนกว่า 160 เล่ม บางวันไม่ได้หลับไม่ได้นอน บวกการกับมีโรคประจำตัวตั้งแต่อายุน้อย
ทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด โรคคนอ้วนปวดขา ประกระดูก นี่คือจุดเริ่มต้นของการท้อแท้ เบื่อ หน่าย
นอกจากภาระงานที่มากเกินไป ภาวะการกดดันจากผู้บริหาร และเพื่อนร่วมงานอายุเหลือน้อย การคาดหวังของตัวเองสูงเกินไป
ความขี้เกรงใจ และไม่ยอมรับความจริง ทุกเหตุผลล้วนเป็นสาเหตุขอโรคซึมเศร้าของเราทั้งนั้น

เรื่องมีอยู่ว่าเดือนมกราคมที่ผ่านมา ความมั่นใจ การตัดสินใจอะไรต่างๆ ของเรามันเริ่มหมดลง
สามเดือนสุดท้ายของการทำหน้าที่ ที่เราเรียกว่า "ครู"  สามเดือนสุดท้ายที่ต้องตื่นมาตีสามเพื่อมาร้องไห้
รอจนเวลาผ่านไปเจ็ดโมงถึงเริ่มอาบน้ำไปทำงานทั้งน้ำตา เราไม่แสดงออกให้เพื่อนร่วมงานเห็นว่าเรามีสภาวะจิตใจอ่อนแอ
ไม่พูดหรือบอกสิ่งที่คับข้องใจกับใครทั้งเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งครอบครัวเราเอง  จนเรามีความคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อจะได้หยุดงาน
อาการทางจิตใจเรา คือ อยากเจ็บตัว แต่ไม่อยากตาย ไม่อยากให้ครอบครัว พ่อ แม่ น้อง คนรอบข้างผิดหวัง

เราเริ่มทำร้ายตัวเราเองโดย  ครั้งแรก เรากินยาพาราไปยี่สิบเม็ด แล้วฉุกคิดว่าตายมาจะทำอย่างไร
พอมีสติเราก็โทรบอกน้องสาว แต่ครั้งแรกไม่ถึงกับต้องไปล้างท้อง เรามีอาการอาเจียน เวียนหัว แล้วก็หลับไป
เราคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า ไม่มีความหมาย คิดหรือตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองไม่ได้
ร่างกายและจิตใจมันเริ่มอ่อนแอ  เพราะหน้าที่การงาน และนิสัยที่ไม่ปฏิเสธคนและการคาดหวังที่สูงเกินไป
ไม่นานพ่อและแม่จึงตัดสินใจพาเราเข้าพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลพญาไท เราไปพบจิตแพทย์
และคุณหมอได้วินิฉัยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า จะต้องกินยา 3 ตัว กินเพื่อให้นอนหลับได้ยาวขึ้น ยาควบคุมอารมณ์ ยาปรับอารมณ์

หลังจากพบจิตแพทย์เราดีขึ้นในระดับนึง และได้ทำในสิ่งที่คุณหมดได้ห้ามนักห้ามหนา ว่ายาที่เราได้รับมาไม่สมควรจะหยุดเอง
เราหยุดยาเองเพราะคิดว่าเราหายแล้ว  เราเป็นปกติแล้ว เราไม่ได้บ้า เราไม่ได้ซึมเศร้า เราคิดไปเอง
การทำร้ายตัวเองครั้งที่สองของเราคือการพยายามจะกระโดดลงจากหอพักชั้น 4 เอามีดมากรีดแขนตัวเอง เราทำร้ายตัวเอง
เป็นครั้งที่สอง  เพราะเราไม่สามารถไปทำานได้อย่างเป็นปกติ  อีกครั้งที่เราต้องกลับไปพบคุณหมอจิตแพทย์
ต้นเดือนกุมภาพันธ์เราได้ยื่นหนังสือลาออกจากโรงเรียน สามเดือนที่ต้องร้องไห้ ท้อแท้ท้อถอย  อยากหยุด อยากออก
แต่ทำไม่ได้ จนกระทั่งวันที่ 7 - 8 มีนาคม ที่ผ่านมา สอบนักเรียนเสร็จ เราก็ตัดสินใจหยุดตัวเองโดยการหยุดไปทำงาน

จนกระทั่งวันนี้ มีเรื่องที่ติดอยู่ในใจ ให้ต้องคิดต้องเครียด
เราควรจะทำยังไงกับตัวเราเองดี จะหางานทำใหม่มันก็คิดแต่เรื่องโรงเรียน
ตอนนี้ก็ตกงานมาได้สามเดือนแล้ว  เรากับทางโรงเรียนมีเงินที่ยังไม่ได้เคลียร์กัน
ด้วยการที่เราออกมาก่อน โรงเรียนจะมีการหักเงินประกันที่เราได้จ่ายไว้ 1,000 บาท
เราสอนพิเศษเดือนสุดท้ายไว้ยังไม่ได้รับเงินคืนอีก ประมาณ 7,000 - 8,000 บาท
และเงินที่เราจะไปเที่ยวเวียดนาม และได้ cancle ไปอีกจำนวน 9,000 บาท
อยากได้เงินในส่วนที่ตัวเองควรจะได้รับคืนบ้าง แต่แค่พูดถึงชื่อโรงเรียนก็ยังแน่นอึกอัด หายใจไม่ออกบ้าง
ร้องไห้เป็นเผาเต่าบ้าง  เราควรจะทำยังไงกับตัวเองดี อยากได้กำลังใจ นอกจากเป็นภาระเป็นปัญหาของครอบครัวแล้ว
ยังทำอะไรต่อไปไม่ได้อีก ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตตัวเองดี  นึกถึงโรงเรียนนี้ก็คิดว่าทำไมเราถึงได้เกิดมาอ่อนแอขนาดนี้
โลกนี้มันยังจะพอมีที่ให้เรายืนไหม T^T
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่