(บางส่วน)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนรถที่เทียมด้วยม้าอาชาไนยซึ่งเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาดีแล้ว เดินไปตามหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ในที่มีพื้นราบเรียบ
โดยไม่ต้องใช้แส้ชั่วแต่นายสารถีผู้ฝึกหัดที่ฉลาดขึ้นรถ แล้วจับสายบังเ

ยนด้วยมือซ้าย จับแส้ด้วยมือขวาแล้ว
ก็เตือนให้ม้าวิ่งตรงไป หรือเลี้ยวกลับไป ตามถนนตามความปรารถนาได้ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจะไม่ต้องพร่ำสอนภิกษุทั้งหลายเนืองๆ ฉันนั้นเหมือนกัน การทำสติให้เกิดได้เป็นกรณียะในภิกษุเหล่านั้นแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น แม้พวกเธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำความพากเพียรแต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอก็จักถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนป่าไม้รังใหญ่ ใกล้บ้านหรือนิคม และป่านั้นดาดไปด้วยต้นละหุ่ง
ชายคนหนึ่ง เล็งเห็นประโยชน์และคุณภาพของต้นรังนั้น ใคร่จะทำให้ต้นรังนั้นให้ปลอดภัย
เขาจึงตัดต้นรังเล็กๆ ที่คดและถางต้นละหุ่งอันคอยแย่งโอชาของต้นรังนั้นออก นำไปทิ้งในภายนอกเสียสิ้น
ทำภายในป่าให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว คอยรักษาต้นรังเล็กๆ ต้นตรงที่ขึ้นแรงดี โดยถูกต้องวิธีการ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ด้วยการกระทำดังที่กล่าวมานี้แหละ กาลต่อมา ป่าไม้รังนั้นก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ขึ้นโดยลำดับ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้พวกเธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำความพากเพียรอยู่แต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเถิด
เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอ ก็จะถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ ในพระธรรมวินัยนี้ถ่ายเดียว.
-----------------------------------
แม่เรือนชื่อเวเทหิกา
[๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรื่องเคยมีมาแล้ว ที่พระนครสาวัตถีนี้แหละ
มีแม่เรือนคนหนึ่งชื่อว่าเวเทหิกา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เกียรติศัพท์อันงามของแม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา เป็นคนสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เรียบร้อย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แม่เรือนเวเทหิกา
มีทาสีชื่อกาลีเป็นคนขยัน ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี
ต่อมา นางกาลีได้คิดอย่างนี้ว่า เกียรติศัพท์อันงามของนายหญิงของเราขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาเป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อย ดังนี้
นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ หรือไม่มีความโกรธอยู่เลย
หรือว่านายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
อย่ากระนั้นเลย จำเราจะต้องทดลองนายหญิงดู วันรุ่งขึ้นนางกาลีทาสี ก็แสร้งลุกขึ้นสาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ฝ่ายแม่เรือนเวเทหิกา ก็ได้ตวาดนางกาลีทาสีขึ้นว่า : เฮ้ย อีคนใช้กาลี
นางกาลีจึงขานรับว่า: อะไรเจ้าขา.
เว.: เฮ้ย เองเป็นอะไรจึงลุกจนสาย.
กา.: ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
นางจึงกล่าวอีกว่า: อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงลุกขึ้น จนสาย ดังนี้แล้ว โกรธ ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทีนั้นนางกาลีทาสีจึงคิดว่า นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองนายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถัดจากวันนั้นมา นางกาลีทาสี จึงลุกขึ้นสายกว่านั้นอีก
ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาก็ตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า: เฮ้ย อีคนใช้กาลี.
กา.: อะไรเล่า เจ้าข้า.
เว.: อีคนใช้ เองเป็นอะไรจึงนอนตื่นสาย.
กา.: ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
นางจึงกล่าวอีกว่า: เฮ้ย อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงนอนตื่นสายเล่า.
ดังนี้แล้ว โกรธ ขัดใจ แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทีนั้น นางกาลีทาสีจึงคิดดังนี้ว่า นายหญิงของเรา ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายให้เรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แต่นั้นมา นางกาลีทาสีก็ลุกขึ้นสายกว่าทุกวัน
ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาผู้นาย ก็ร้องด่าตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า อีกาลีตัวร้าย.
กา.: อะไรเล่า เจ้าข้า.
เว.: อีคนใช้ เองเป็นอะไร จึงตื่นสายนักเล่า.
กา.: ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
นางจึงกล่าวอีกว่า: เฮ้ย อี

ก็ไม่เป็นอะไร ทำไมจึงนอนตื่นสายนักเล่า
ดังนี้แล้วโกรธจัด จึงคว้าลิ่มประตู ปาศีรษะ ปากก็ว่า กูจะทำลายหัว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คราวนั้นนางกาลีทาสีมีศีรษะแตก โลหิตไหลโซม จึงเที่ยวโพนทะนา ให้บ้านใกล้เคียงทราบว่า
คุณแม่คุณพ่อทั้งหลาย เชิญดูการกระทำของคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อยเอาเถิด
ทำไมจึงทำแก่ทาสีคนเดียวอย่างนี้เล่า เพราะโกรธเคืองว่า นอนตื่นสาย จึงคว้าลิ่มประตูปาเอาศีรษะ
ปากก็ว่ากูจะทำลายหัว ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แต่นั้นมา เกียรติศัพท์อันชั่วของแม่เรือนเวเทหิกาก็ขจรไปอย่างนี้ว่า แม่เรือนเวเทหิกา เป็นคนดุร้าย
ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยแม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้น เป็นคนสงบเสงี่ยมจัดเป็นคนอ่อนโยนจัด เป็นคนเรียบร้อยจัด
ได้ก็เพียงชั่วเวลาที่ยังไม่ได้กระทบด้วยคำอันไม่เป็นที่พอใจเท่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อใด เธอกระทบถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจเข้า ก็ยังเป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยนเรียบร้อยอยู่ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้นแหละ ควรถือว่าเธอเป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนเรียบร้อยจริง
------------------------------------------
โอปัมมวรรค
๑. กกจูปมสูตร
ว่าด้วยอุปมาด้วยเลื่อย
พระโมลิยผัคคุนะคลุกคลีกับภิกษุณี
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๔๒๐๘ - ๔๔๔๒. หน้าที่ ๑๗๑ - ๑๘๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=4208&Z=4442&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=263
เรื่องของแม่เรือนชื่อเวเทหิกา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนรถที่เทียมด้วยม้าอาชาไนยซึ่งเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาดีแล้ว เดินไปตามหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ในที่มีพื้นราบเรียบ
โดยไม่ต้องใช้แส้ชั่วแต่นายสารถีผู้ฝึกหัดที่ฉลาดขึ้นรถ แล้วจับสายบังเ
ก็เตือนให้ม้าวิ่งตรงไป หรือเลี้ยวกลับไป ตามถนนตามความปรารถนาได้ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจะไม่ต้องพร่ำสอนภิกษุทั้งหลายเนืองๆ ฉันนั้นเหมือนกัน การทำสติให้เกิดได้เป็นกรณียะในภิกษุเหล่านั้นแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น แม้พวกเธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำความพากเพียรแต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอก็จักถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนป่าไม้รังใหญ่ ใกล้บ้านหรือนิคม และป่านั้นดาดไปด้วยต้นละหุ่ง
ชายคนหนึ่ง เล็งเห็นประโยชน์และคุณภาพของต้นรังนั้น ใคร่จะทำให้ต้นรังนั้นให้ปลอดภัย
เขาจึงตัดต้นรังเล็กๆ ที่คดและถางต้นละหุ่งอันคอยแย่งโอชาของต้นรังนั้นออก นำไปทิ้งในภายนอกเสียสิ้น
ทำภายในป่าให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว คอยรักษาต้นรังเล็กๆ ต้นตรงที่ขึ้นแรงดี โดยถูกต้องวิธีการ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ด้วยการกระทำดังที่กล่าวมานี้แหละ กาลต่อมา ป่าไม้รังนั้นก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ขึ้นโดยลำดับ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้พวกเธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำความพากเพียรอยู่แต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเถิด
เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอ ก็จะถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ ในพระธรรมวินัยนี้ถ่ายเดียว.
-----------------------------------
[๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรื่องเคยมีมาแล้ว ที่พระนครสาวัตถีนี้แหละ มีแม่เรือนคนหนึ่งชื่อว่าเวเทหิกา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เกียรติศัพท์อันงามของแม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา เป็นคนสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เรียบร้อย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แม่เรือนเวเทหิกา มีทาสีชื่อกาลีเป็นคนขยัน ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี
ต่อมา นางกาลีได้คิดอย่างนี้ว่า เกียรติศัพท์อันงามของนายหญิงของเราขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาเป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อย ดังนี้
นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ หรือไม่มีความโกรธอยู่เลย
หรือว่านายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
อย่ากระนั้นเลย จำเราจะต้องทดลองนายหญิงดู วันรุ่งขึ้นนางกาลีทาสี ก็แสร้งลุกขึ้นสาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ฝ่ายแม่เรือนเวเทหิกา ก็ได้ตวาดนางกาลีทาสีขึ้นว่า : เฮ้ย อีคนใช้กาลี
นางกาลีจึงขานรับว่า: อะไรเจ้าขา.
เว.: เฮ้ย เองเป็นอะไรจึงลุกจนสาย.
กา.: ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
นางจึงกล่าวอีกว่า: อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงลุกขึ้น จนสาย ดังนี้แล้ว โกรธ ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทีนั้นนางกาลีทาสีจึงคิดว่า นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองนายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถัดจากวันนั้นมา นางกาลีทาสี จึงลุกขึ้นสายกว่านั้นอีก
ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาก็ตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า: เฮ้ย อีคนใช้กาลี.
กา.: อะไรเล่า เจ้าข้า.
เว.: อีคนใช้ เองเป็นอะไรจึงนอนตื่นสาย.
กา.: ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
นางจึงกล่าวอีกว่า: เฮ้ย อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงนอนตื่นสายเล่า.
ดังนี้แล้ว โกรธ ขัดใจ แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทีนั้น นางกาลีทาสีจึงคิดดังนี้ว่า นายหญิงของเรา ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
ที่ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายให้เรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ
อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แต่นั้นมา นางกาลีทาสีก็ลุกขึ้นสายกว่าทุกวัน
ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาผู้นาย ก็ร้องด่าตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า อีกาลีตัวร้าย.
กา.: อะไรเล่า เจ้าข้า.
เว.: อีคนใช้ เองเป็นอะไร จึงตื่นสายนักเล่า.
กา.: ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ.
นางจึงกล่าวอีกว่า: เฮ้ย อี
ดังนี้แล้วโกรธจัด จึงคว้าลิ่มประตู ปาศีรษะ ปากก็ว่า กูจะทำลายหัว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คราวนั้นนางกาลีทาสีมีศีรษะแตก โลหิตไหลโซม จึงเที่ยวโพนทะนา ให้บ้านใกล้เคียงทราบว่า
คุณแม่คุณพ่อทั้งหลาย เชิญดูการกระทำของคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อยเอาเถิด
ทำไมจึงทำแก่ทาสีคนเดียวอย่างนี้เล่า เพราะโกรธเคืองว่า นอนตื่นสาย จึงคว้าลิ่มประตูปาเอาศีรษะ
ปากก็ว่ากูจะทำลายหัว ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แต่นั้นมา เกียรติศัพท์อันชั่วของแม่เรือนเวเทหิกาก็ขจรไปอย่างนี้ว่า แม่เรือนเวเทหิกา เป็นคนดุร้าย
ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยแม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้น เป็นคนสงบเสงี่ยมจัดเป็นคนอ่อนโยนจัด เป็นคนเรียบร้อยจัด
ได้ก็เพียงชั่วเวลาที่ยังไม่ได้กระทบด้วยคำอันไม่เป็นที่พอใจเท่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อใด เธอกระทบถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจเข้า ก็ยังเป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยนเรียบร้อยอยู่ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้นแหละ ควรถือว่าเธอเป็นคนสงบเสงี่ยม เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนเรียบร้อยจริง
------------------------------------------
โอปัมมวรรค
๑. กกจูปมสูตร
ว่าด้วยอุปมาด้วยเลื่อย
พระโมลิยผัคคุนะคลุกคลีกับภิกษุณี
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๔๒๐๘ - ๔๔๔๒. หน้าที่ ๑๗๑ - ๑๘๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=4208&Z=4442&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=263